บทที่ 537 คุณหญิงอัณณ์ต้องการหย่า

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“นัทธีปล่อยป้าไปเถอะนะ” คุณหญิงอัณณ์มองไปที่เขาด้วยสายตาอ้อนวอน

นัทธีเลิกคิ้ว “ปล่อย?”

“ใช่ ทั้งหมดเป็นฝีมือของขงเบ้ง ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย เราจะขังป้าเอาไว้แบบนี้ไม่ได้นะ ป้าอยากออกไป” คุณหญิงอัณณ์กล่าว

สีหน้าของนัทธีไร้ความรู้สึก “ผมเชื่อว่าป้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ผมจะปล่อยป้าไปแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

เมื่อได้ยินว่าเขาจะปล่อยตนไป แววตาของคุณหญิงก็เกิดประกาย จากนั้นเมื่อได้ยินเขาบอกว่าไม่ใช่ตอนนี้ แววตาของเธอจึงหมองหม่นลงอีก “อย่างนั้นเมื่อไหร่ล่ะ”

“หลังจากที่ขงเบ้งตาย” นัทธีตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ

คุณหญิงอัณณ์ตัวสั่น ร่างกายหนาวสะท้าน

หลังจากขงเบ้งตาย?

แล้วใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ขงเบ้งจะตาย

ถ้าหากต้องรออีกปีหรือสองปีล่ะ เธอไม่ต้องถูกขังอยู่ที่นี่เป็นปีๆ ด้วยเหรอ

เมื่อคิดถึงข้อนี้ คุณหญิงอัณณ์จึงรู้สึกไม่พอใจ เธอยื่นมือออกไปราวกับต้องการจะคว้าแขนของนัทธีเอาไว้

นัทธีถอยหลังหลบ

ส่วนคุณหญิงอัณณ์เองก็ถูกบอดี้การ์ดเข้ามาขวางเอาไว้ จึงไม่มีทางเข้าใกล้นัทธีได้อีก

“นัทธี ป้าขอร้องล่ะ อย่าขังป้าเอาไว้ที่นี่เลย ป้า……”

“เอาล่ะ ถ้าป้าแค่อยากให้ผมปล่อยป้าไป งั้นผมคงต้องบอกว่าเป็นไปไม่ได้” นัทธีเอ่ยขัดคำพูดของเธออย่างไม่มีเยื่อใย

คุณหญิงอัณณ์หน้าซีดเผือด “แต่ป้าถูกขังมาตั้งนานแล้ว ถ้ายังขังป้าต่อไป ป้าต้องเป็นบ้าตายแน่ เอาอย่างนี้ไหม ป้าจะหย่ากับลุงของเรา หลังจากหย่ากันแล้ว ป้าก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลไชยรัตน์อีก เราจะได้ไม่เห็นว่าป้าเป็นเมียของขงเบ้งแล้วขังป้าเอาไว้ในนี้อีก นัทธี อย่างนี้ดีไหมล่ะ”

เธอมองนัทธีอย่างมีความหวัง

นัทธีหรี่ตาลง “ป้าอยากหย่ากับขงเบ้งงั้นหรือ”

“ใช่ ป้าอยากหย่ากับเขาตั้งนานแล้ว” คุณหญิงอัณณ์พยักหน้า

เมื่อก่อนเธอเคยรักขงเบ้งด้วยใจจริง ดังนั้นเวลาที่ขงเบ้งออกไปหาผู้หญิงคนอื่น เธอจะอาละวาดทั้งวันทั้งคืน

แต่หลังจากนั้น หลังจากที่เธอเองก็ไปหาหนุ่มข้างนอกบ้านเหมือนกัน ความรู้สึกที่มีต่อขงเบ้งก็ค่อยๆ เลือนหายไป

จนถึงตอนนี้ เธอไม่เหลือความรู้สึกใดๆ กับขงเบ้งอีกแล้ว ดังนั้นทำไมเธอต้องถูกขังอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้เพราะขงเบ้งด้วยล่ะ

เธอต้องการหย่า เธอต้องการออกจากตระกูลไชยรัตน์

เธอมีเงิน หลังจากหย่า เธอสามารถออกไปหาเด็กหนุ่มได้ไม่ซ้ำหน้าอย่างสบายใจ แล้วทำไมเธอต้องมาทนทุกข์เพราะขงเบ้งด้วย

“นัทธี นี่คือเหตุผลที่ป้าอยากเจอเรา ป้าต้องการหย่ากับขงเบ้ง” คุณหญิงอัณณ์คว้าแขนของบอดี้การ์ดเอาไว้แล้วกล่าวออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด

ความประหลาดใจในตอนแรกได้มลายหายไปแล้วในตอนนี้

ขงเบ้งกำลังจะตาย คุณหญิงอัณณ์อยากหย่าก็เป็นเรื่องปกติ

“ป้าไม่จำเป็นต้องหย่ากับขงเบ้งก็ได้ หลังจากที่เขาตาย ป้าก็จะกลับไปมีสถานะโสดอีกครั้ง” นัทธีปฏิเสธคำขอของคุณหญิงอัณณ์ที่ต้องการหย่ากับขงเบ้งอย่างไร้ความรู้สึก

คุณหญิงอัณณ์ชะงัก จากนั้นอารมณ์ของเธอจึงกลับมาปั่นป่วนอีกครั้ง “ใครจะรู้ว่าขงเบ้งจะตายเมื่อไหร่ ตอนนี้ฉันทนไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว ฉันต้องการออกไปจากตระกูลไชยรัตน์แล้ว”

นัทธีมองเธอที่คล้ายกำลังจะเสียสติเต็มทีแล้วเม้มปาก “ป้าจะหย่าก็ได้ แต่ผมอยากรู้ว่าตอนนี้นิรุตติ์เป็นยังไงบ้าง ป้าเป็นแม่ของเขาคงจะเข้าใจเขาอยู่บ้าง”

เมื่อคุณหญิงอัณณ์ได้ยินดังนั้นสีหน้าของเธอจึงบิดเบี้ยว “แม่? เด็กคนนั้นไม่เคยเห็นฉันเป็นแม่ เขาเป็นคนนิสัยดี เขายอมเรียกฉันว่าแม่ แต่ที่จริงแล้วในใจของเขาไม่เคยมีฉันอยู่ในนั้น แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

“ป้าไม่รู้เหรอ” นัทธีขมวดคิ้ว

คุณหญิงอัณณ์พยักหน้า “ผมไม่รู้จริงๆ และฉันก็ไม่ได้เข้าใจเขาเหมือนอย่างที่เธอคิด สำหรับลูกคนนี้แล้วฉันกล้าพูดเลยว่า ฉันไม่รู้จักเขาเลย มันเป็นความผิดของฉันเอง เป็นเพราะฉันไม่เคยใส่ใจเขา เขาเลยไม่เคยเห็นฉันเป็นแม่”

เมื่อก่อนเนื่องจากขงเบ้งนอกใจ เธอจึงเอาแต่ตามอาละวาด คอยไล่ตามจับเมียน้อยไปทั่ว โดยไม่เคยสนใจดูแลลูกอย่างนิรุตติ์เลย

เธอถึงขั้นเคยต่อว่านิรุตติ์ บอกว่านิรุตติ์ไม่ยอมช่วยเธอรั้งพ่อเอาไว้ เธอเลยตีนิรุตติ์และเคยดุด่าเขา

จนกระทั่งเมื่อเขาปล่อยวางความรู้สึกที่มีต่อขงเบ้งได้ลง จึงเริ่มคิดถึงลูก คิดอยากจะฟื้นฟูความรู้สึกของตนกับลูกชายอีก ในตอนนั้นเธอจึงพบว่าทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว

ในหัวใจของลูกไม่มีเธออยู่ แม้ว่าภายนอกจะเรียกเธอว่าแม่ แต่เธอรู้ดีว่าในใจของเขาไม่ต่างอะไรจากงูพิษที่พร้อมจะทิ้งแม่อย่างเธอได้ตลอดเวลา

และเพราะว่าเธอรู้ความจริงข้อนี้ เธอเพียงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของลูกคนนี้เท่านั้น แต่ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นๆ ของเขาอีก เป็นเพราะว่าเธอดูแลไม่ได้

“อย่างนั้นป้าก็เป็นแม่ที่ล้มเหลวมาก” นัทธีกล่าวเยาะเย้ยอย่างเย็นชา

คุณหญิงอัณณ์ไร้คำพูดจะตอบโต้

ใช่แล้ว เธอล้มเหลวจริงๆ

เธอถูกขังอยู่ในคฤหาสน์ ขงเบ้งติดคุก เธอไม่เชื่อว่านิรุตติ์จะไม่รู้

แต่นิรุตติ์กลับไม่มีความคิดที่จะมาช่วยคนเป็นพ่อเป็นแม่ของเขาเลย ถ้าไม่ล้มเหลวจะเรียกว่าอะไรได้อีก

ดังนั้นตอนนี้เธอเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าการมีลูกกับสามีนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เพราะพึ่งพาอะไรไม่ได้ มีเพียงตนเองกับเงินในมือเท่านั้นที่ช่วยเธอได้

หย่ากับขงเบ้งแล้วหอบเอาสินสอดของตัวเองไปใช้ชีวิตอย่างอิสระอยู่ด้านนอกไม่ดีกว่าหรือ

“ยังมีอีกเรื่องที่ผมอยากรู้ เรื่องแม่ของผม ทำไมแม่ต้องยกวันเฮิร์ทให้นิรุตติ์ด้วย” นัทธีจ้องเขม็งไปที่คุณหญิงอัณณ์

อันที่จริงในใจของเขาก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าคุณหญิงอัณณ์จะไม่รู้เรื่องนี้

เพราะคุณหญิงอัณณ์ไม่สนิทกับนิรุตติ์ หากไม่รู้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ

แต่เขาก็อยากลองถามดู

“วันเฮิร์ท?” สีหน้าของคุณหญิงอัณณ์แปลกใจ “แม่ของเรายกวันเฮิร์ทให้นิรุตติ์จริงเหรอ”

เห็นท่าทางของคุณหญิงอัณณ์เช่นนี้ นัทธีจึงกำหมัดแน่น น้ำเสียงของเขาร้อนใจขึ้น “ป้ารู้ใช่ไหม”

“ฉัน……ฉันไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ ฉันรู้แค่ว่าแม่ของเธอเคยบอกเอาไว้ว่าจะยกวันเฮิร์ทให้นิรุตติ์ แต่ฉันคิดว่าเธอพูดเล่น เพราะวันเฮิร์ทคือสินสอดของเธอ คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเธอจะพูดจริงจัง” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้สีหน้าของคุณหญิงอัณณ์ก็ปรากฏความอิจฉาขึ้น

นัทธีเริ่มจับจุดได้แล้ว หมัดของเขายิ่งกำแน่นขึ้น “ทำไมถึงต้องยกให้นิรุตติ์”

“ฉันไม่รู้ แต่ฉันว่าฉันเดาได้ น่าจะเป็นเพราะแม่ของเธอเอ็นดูนิรุตติ์มาก” คุณหญิงอัณณ์มองไปที่เขา “เราโตมากับนายท่านตั้งแต่ยังเล็ก ได้รับการศึกษาที่ดีในต่างประเทศและไม่ค่อยได้อยู่กับตระกูลไชยรัตน์ เราไม่ได้อยู่กับตระกูลไชยรัตน์มาสิบกว่าปี มีแต่นิรุตติ์เท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนแม่ของเรามาตลอด แม่ของเราดีกับนิรุตติ์มาก จนแทบจะมองนิรุตติ์เป็นลูกแท้ๆ ของตัวเอง ส่วนนิรุตติ์เองก็เคารพรักแม่ของเธอเช่นกัน……”

ทั้งๆ ที่เธอเป็นแม่ของนิรุตติ์ แต่ในสายตาของนิรุตติ์กลับมองปาณีเป็นแม่ของตัวเอง

พอนัทธีได้ยินคำอธิบายของคุณหญิงอัณณ์ แววตาของเขาก็เริ่มเลื่อนลอย

ระหว่างที่เขาไม่ได้อยู่กับพ่อแม่สิบกว่าปี นิรุตติ์คือคนที่คอยอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ของเขา

นิรุตติ์ทำให้แม่รับรู้ถึงความรู้สึกของการเป็นแม่คนว่ามันมีความสุขอย่างไร ดังนั้นแม่เลยยกวันเฮิร์ทให้กับนิรุตติ์?

คิดได้เช่นนี้แล้ว คำตอบทุกอย่างก็คลี่คลาย

เมื่อเห็นนัทธีเหม่อลอย คุณหญิงอัณณ์จึงกล่าวขึ้นมาอีกว่า “นัทธี ฉันพูดทุกอย่างไปหมดแล้ว เรื่องหย่าของฉัน……”

“ตกลง ผมยอมให้คุณหย่า ผมจะให้มารุตพาคุณไปที่เรือนจำเพื่อพบขงเบ้งก่อน” นัทธีหลุบตาต่ำลง น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง

คุณหญิงอัณณ์ได้ยินดังนั้นก็ดีใจจนหัวเราะออกมา “ขอบคุณมากนัทธี ขอบคุณจริงๆ”

นัทธีไม่ได้ตอบอะไร เพียงหันหลังแล้วเดินออกมา แล้วมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องตัวเอง

เมื่อมาถึงห้อง ประตูห้องถูกเปิดอยู่

เด็กสองคนนั่งอยู่บนพรม รอบตัวมีของเล่นล้อมรอบ มารุตกำลังหยิบของเล่นมาเล่นกับเด็กทั้งสองอย่างสนุกสนาน

ส่วนวารุณีกำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าหน้าต่างบานใหญ่ เธอหันหลังให้เขาโดยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่

“ปะป๊า” อารัณหันมาเห็นคนแรกจึงยิ้มแล้วตะโกนเรียกนัทธี

จากนั้นไอริณจึงหันมาเรียกตาม

หลังจาก วารุณีได้ยินก็วางโทรศัพท์ลงแล้วหันมายิ้มให้เขา “กลับมาแล้วหรือคะ”