บทที่ 538 ภาพสเกตช์ตราสัญลักษณ์

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

นัทธีเงยหน้าขึ้นแล้วเดินเข้ามา

มารุตรีบลุกขึ้น “ท่านประธาน อย่างนั้นผมขอตัวก่อน”

“พาอารัณกับไอริณออกไปด้วย” นัทธีตอบรับ

มารุตจึงรู้ว่าท่านประธานกับคุณหญิงมีเรื่องต้องคุยกัน จึงพยักหน้ารับ จากนั้นจึงพาเด็กทั้งสองออกไปด้านนอก

หลังจากปิดประตูแล้ว ในห้องเหลือเพียงวารุณีกับนัทธีสองคน

วารุณีเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้านัทธี “เป็นอะไรไปคะ อารมณ์ไม่ดีเหรอ”

นัทธีนิ่งเฉยไป

อารมณ์ของเขาตอนนี้ไม่ดีจริงๆ อารมณ์หนักอึ้งและละอายใจ

“คุณหญิงอัณณ์พูดอะไรกับคุณใช่ไหมคะ” วารุณีจูงมือเขาเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลง

นัทธีนวดขมับ “ผมรู้แล้วว่าทำไมแม่ผมยกวันเฮิร์ทให้นิรุตติ์”

“ทำไมเหรอคะ” วารุณีกะพริบตา

นัทธีมองเธอ “เพราะแม่มองนิรุตติ์เหมือนเป็นลูกคนหนึ่ง จึงมอบวันเฮิร์ทให้เป็นของขวัญที่แม่ให้ลูก ไม่ใช่ในฐานะป้าให้หลายชาย”

“หมายความว่ายังไงคะ ทำไมแม่ถึงมองนิรุตติ์เป็นลูกชายไปได้” วารุณีรู้สึกสับสน

นัทธีเม้มปาก “ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยบอกคุณไปแล้ว ว่าตอนผมเด็กๆ ผมไม่ได้อยู่กับพ่อแม่”

“ค่ะ ฉันจำได้” วารุณีพยักหน้า

นัทธีหลุบตาลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตอนอายุสามขวบ ปู่เอาตัวผมไปอยู่ด้วยกันกับท่าน โดยปู้เป็นคนดูแลผมด้วยตัวเอง และด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่ค่อยมีเวลาเจอหน้าพ่อกับแม่เท่าไหร่ วันเวลานานเข้า แม้ว่าจะยังมีความรู้สึกต่อกันอยู่ แต่ไม่มีความผูกพัน ตอนผมอายุห้าขวบปู่ก็ส่งผมไปต่างประเทศเพื่อรับการศึกษาที่ดีที่สุดในตอนนั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็อยู่ที่นั่นมาตลอดและกลับมาตอนอายุสิบห้าปี”

“แสดงว่าคุณไม่ได้กลับมาเลยเป็นระยะเวลาสิบปี” วารุณีมองไปที่เขา

นัทธีตอบรับ “ถูกต้อง ตอนนั้นเทคโนโลยีก็ยังไม่ก้าวหน้าเหมือนอย่างตอนนี้ เวลาสิบปี นอกจากคุยโทรศัพท์กับพ่อแม่แล้ว ผมไม่เคยได้เจอหน้าพวกเขาสักครั้ง ต่อให้คุยกันก็จริง แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเพราะไม่รู้จะคุยอะไรกันอีก”

“ฉันเข้าใจแล้ว ด้วยนิสัยของคุณที่ไม่ค่อยพูดเสียด้วย” วารุณีจับมือของเขาเล่น

นัทธีหัวเราะเบาๆ ก่อนอารมณ์จะกลับมาเย็นชาเหมือนเดิม “สิบปีนั้น มีเพียงนิรุตติ์ที่อยู่เคียงข้างพ่อแม่ของผม”

“ฉันเข้าใจแล้ว นิรุตติ์คอยดูแลพ่อแม่ของคุณแทนคุณมาสิบปี ส่วนพ่อแม่ของคุณก็ได้สัมผัสถึงความสุขของการมีลูกคอยดูแล ดังนั้น……”

“ใช่ อาจจะด้วยเหตุนี้เอง แม่ของผมเลยยกวันเฮิร์ทให้นิรุตติ์ และไม่ได้ยกให้ผม ในหน้าที่ของลูกผมถือว่าทำหน้าที่ได้ไม่ผ่าน” นัทธีกุมหน้าผาก

วารุณีโอบเอวของเขาเอาไว้ “คุณทำหน้าที่ไม่ผ่านจริงๆ แหละค่ะ แต่คุณก็มีเหตุผล แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจเกี่ยวกับนิรุตติ์คือ เขาอยู่กับพ่อแม่คุณมาสิบปี ฉันไม่คิดว่าเขาจะไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยกับพ่อแม่ของคุณ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ทำไมเขาถึงไม่ขัดขวางแผนการสังหารพ่อแม่คุณของขงเบ้ง ต่อให้เขาไม่รู้ แต่เบื้องหลังเขาก็ต้องรู้ แล้วทำไมเขาไม่ยอมเปิดโปงล่ะ เขาไม่น่ามีความรู้สึกอะไรกับขงเบ้งหรอกนะ”

นัทธีหรี่ตา “ประเด็นนี้ ต้องถามเองจากนิรุตติ์ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าในใจของเขามีพ่อกับแม่ผมอยู่บ้างหรือไม่”

“แต่ใครบ้างที่จะรู้ว่านิรุตติ์อยู่ที่ไหน” วารุณีถอนใจ

นัทธีไม่ได้ตอบเพียงก้มหน้าลง เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป

ตอนนั้นเองโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น

เป็นหนึ่งในประธานของบริษัทคนหนึ่ง

นัทธีปล่อยมือวารุณีแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงเพื่อรับโทรศัพท์

วารุณีหยิบอัลบั้มรูปที่อยู่บนหัวเตียงขึ้นมาพลิกเปิดดู การออกแบบให้นักร้องบนนิตยสารต่างประเทศใกล้จะถึงวันต้องส่งต้นฉบับแล้ว

ทันใดนั้นเอง กระดาษใบหนึ่งก็ปลิวตกลงมาจากอัลบั้มรูปแล้วมาตกอยู่ที่เท้าของเธอพอดี

เธอก้มตัวลงไปหยิบขึ้นมา ด้านบนไม่เกี่ยวกับการออกแบบเสื้อผ้า แต่เป็นรูปสเกตช์ตราสัญลักษณ์แผ่นหนึ่ง

เป็นตราที่ปาจรีย์หยิบติดมือมาในคราวที่แล้ว หลังจากที่เธอเห็นมันแล้ว กลับมาเธอจึงวาดมันออกมาเพื่อเตรียมให้นัทธีดู

แต่สุดท้ายด้วยเรื่องของสุภัทรทำให้เธอลืมทุกอย่าง

ในขณะที่วารุณีเหม่อมองภาพสเกตช์ตราสัญลักษณ์อยู่นั้น นัทธีก็คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วกลับเข้ามาพอดี

“นี่คืออะไรเหรอ” นัทธีเดินเข้ามาแล้วมองเห็นภาพสเกตช์ในมือของวารุณี

แต่ด้วยมุมมองที่เขายืนอยู่ ทำให้เขามองเห็นภาพสเกตช์ทั้งหมดไม่ถนัดนัก

วารุณีส่งภาพสเกตช์นั้นให้เขา “นี่คือตราสัญลักษณ์ที่อยู่ในมือปาจรีย์ค่ะ เมื่อก่อนฉันเคยบอกคุณแล้วว่าระหว่างปาจรีย์กับพงศกรมีบุญคุณความแค้นติดหนี้กันไว้ ตราอันนี้คือสิ่งที่ปาจรีย์เก็บได้ในที่เกิดเหตุเมื่อสิบปีก่อน เป็นของของมือสังหาร ครั้งที่แล้วฉันกำลังจะบอกคุณเพื่อให้คุณสืบเกี่ยวกับป้ายอันนี้ สุดท้ายฉันดันลืม ตอนนี้คุณมาก็ดีแล้ว ช่วยฉันดูหน่อยนะคะ”

นัทธียื่นมือออกไปรับ จึงเห็นภาพสเกตช์ทั้งหมดอย่างชัดเจน

เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป มือกำภาพสเกตช์เอาไว้แน่น

วารุณีเห็นท่าทางของเขาจึงยืนขึ้น “ที่รัก คุณเคยเห็นตราสัญลักษณ์อันนี้มาก่อนหรือคะ”

“ผมเคยเห็นอยู่ที่นิรุตติ์” เสียงของนัทธีเย็นชา

วารุณีกะพริบตาปริบๆ “นิรุตติ์?”

“ใช่แล้ว หลายเดือนก่อนหน้านี้ นิรุตติ์กลับมาที่นี่ ผมเห็นอันนี้อยู่ที่คอของเขา” นัทธีตอบ

ริมฝีปากของวารุณีสั่น “หรือว่าการตายของพ่อแม่พงศกรจะเกี่ยวข้องกับนิรุตติ์คะ ไม่น่าใช่นะคะ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว นิรุตติ์เพิ่งจะอายุสิบกว่าขวบ เขา……”

“ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนิรุตติ์ แต่เกี่ยวข้องกับองค์กรที่อยู่เบื้องหลังเขา” นัทธีเอ่ยแทรกคำพูดของวารุณี

เขาคิดมาตลอดว่านิรุตติ์เข้าไปอยู่ในองค์กรไหนกันแน่ ถึงได้เดินทางเข้าออกได้หลายประเทศโดยไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้เขาเริ่มมีเบาะแสมากขึ้นแล้ว

นั่นก็คือตราสัญลักษณ์อันนี้!

ครั้งแรกที่เขาเห็นตราสัญลักษณ์บนคอของนิรุตติ์ เขาไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติอะไร จนกระทั่งเขาเห็นภาพสเกตช์นี้ จึงนึกขึ้นได้ถึงบุญคุณความแค้นระหว่างปาจรีย์กับพงศกรที่วารุณีเคยเล่าให้เขาฟัง

พ่อแม่ของพงศกรโดนองค์กรหนึ่งลอบสังหาร ในเมื่อตราสัญลักษณ์นี้เป็นของมือสังหาร อย่างนั้นแสดงว่านิรุตติ์ที่มีตราสัญลักษณ์เดียวกันนี้ อยู่ในองค์กรเดียวกันกับมือสังหารคนนั้น

ขอแค่ตามสืบองค์กรนี้ให้เจอ บางทีอาจจะทำให้เขาตามหานิรุตติ์เจอ

วารุณีเห็นสีหน้าของนัทธี จากนั้นจึงมองไปที่ภาพสเกตช์ที่เขาขยำเป็นก้อนแล้วเม้มปาก “นัทธีคะ คุณหมายความว่า นิรุตติ์กับคนที่ทำร้ายพ่อแม่ของพงศกรอยู่ในองค์กรเดียวกันหรือคะ”

“คงจะเป็นอย่างนั้น ผมขอภาพสเกตช์นี้นะ ผมขอตัวไปที่ห้องทำงานก่อน” นัทธีหรี่ตาแล้วกล่าวอย่างหนักแน่น

วารุณีพอเดาได้ว่าเขาจะเข้าไปสืบองค์กรที่อยู่เบื้องหลังตราสัญลักษณ์อันนี้จึงพยักหน้า “ค่ะ คุณไปเถอะ”

จากนั้นนัทธีจึงเดินออกไป

หลังจากที่เขาเดินออกไปแล้ว วารุณีจึงต่อสายไปหาปาจรีย์แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง

ปาจรีย์ดีใจจนรีบวางสาย จากนั้นจึงรีบเล่าเรื่องนี้ให้พงศกรรับรู้

ไม่นานพงศกรก็โทรมาหาวารุณี

“วารุณี คุณแน่ใจใช่ไหมครับว่าเคยเห็นตราสัญลักษณ์อยู่ที่นิรุตติ์” แว่นของพงศกรสะท้อนแสงจนมองไม่เห็นแววตาที่แท้จริงของเขา

วารุณีพยักหน้า “นัทธีเคยเห็นค่ะ แสดงว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด อีกอย่างตอนนี้นัทธีกำลังตามสืบองค์กรที่อยู่เบื้องหลังตราสัญลักษณ์นี้อยู่ค่ะ แล้วคุณล่ะคะได้ตามสืบไปแล้วบ้างไหม”

ครั้งที่แล้วปาจรีย์เคยเล่าว่า เขารับตราสัญลักษณ์นี้ไปลองตามสืบดู

ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาตามสืบได้ถึงไหนแล้ว

พงศกรขยับแว่น “ยังเลยครับ ผมเคยไปถามเพื่อนผมแล้ว เพื่อนผมยังไม่ให้คำตอบผมเลย แต่ผ่านไปนานมากแล้ว ผมคิดว่าเพื่อนผมก็คงยังหาไม่เจอเหมือนกัน”

“ไม่เป็นไรค่ะ นัทธีกำลังสืบอยู่ นัทธีได้เบาะแสมาเมื่อไหร่ ฉันจะบอกคุณอีกที” วารุณียิ้ม

พงศกรเงียบไปสองสามวินาทีแล้วเอ่ยปากอีกครั้ง “ครับ ขอบคุณคุณวารุณีมากครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ถือว่าพวกเรามีศัตรูคนเดียวกันแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ควรทำค่ะ” วารุณีโบกมือ

ริมฝีปากบางของพงศกรขยับราวกับลังเลอะไรบางอย่าง ผ่านไปพักใหญ่กว่าเขาจะกล่าวออกมา “วารุณี ผมมีเรื่องหนึ่งที่คิดว่าควรบอกคุณ”

“เรื่องอะไรคะ” วารุณีได้ยินน้ำเสียงเคร่งเครียดของเขา ตนเองจึงมีท่าทีจริงจังขึ้นมาเช่นกัน