บทที่ 539 พิธีฝังของสุภัทร

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ก่อนหน้านี้ นวิยามาหาผม” คำพูดของพงศกรทำให้เธอตกใจ

สีหน้าของวารุณีเปลี่ยนไปเล็กน้อย “อะไรนะ เธอมาหาคุณเหรอ”

“ใช่ครับ”

“เธอมาหาคุณทำไม” วารุณีกำหมัดแน่น

พงศกรขยับแว่นก่อนจะตอบ “เธอให้ผมช่วยพาเธอออกไปจากจังหวัดจันทร์”

“แล้วคุณรับปากหรือคะ” เสียงของวารุณีสูงขึ้น

พงศกรส่ายหน้า “เปล่าครับ แต่ผมคิดว่า เธออาจจะไม่ได้อยู่ที่จังหวัดจันทร์แล้ว”

วารุณีตกใจจนเหม่อ “คุณรู้ได้ยังไง”

“หลังจากที่ผมปฏิเสธเธอ ผมบอกเธอว่า แทนที่จะมาหาผม ให้เธอไปหานิรุตติ์ดีกว่า เพราะพวกเขาเป็นพันธมิตรกัน นิรุตติ์จะต้องช่วยเธอ ดังนั้นผมเลยคิดว่าหลังจากนั้นเธอคงจะไปหานิรุตติ์ ถ้าหากเรื่องนี้เป็นความจริง ตอนนี้เธอคงไม่อยู่ในจังหวัดจันทร์แล้ว” พงศกรกล่าว

วารุณีตัวสั่นสะท้าน ในอกของเธอเดือดปุดๆ “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมคุณไม่บอกฉัน คุณก็รู้นี่ว่าฉันกับนวิยามีคดีต่อกันอยู่”

“วารุณีผมขอโทษ” พงศกรหลุบตาต่ำลงราวกับรู้สึกผิด แต่สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกผิดแต่อย่างใด

แต่วารุณีมองไม่เห็น เธอหลับตาลง “ตอนนี้คุณมาขอโทษฉันมันจะมีประโยชน์อะไร เรื่องราวผ่านมาตั้งนานแล้ว ตอนนั้นคุณไม่ยอมบอกฉัน แล้วทำไมตอนนี้ถึงยอมบอกล่ะ”

“เพราะเมื่อครู่นี้คุณบอกเบาะแสกับผม ผมเลย……”

“ดังนั้นนี่คือการตอบแทนของคุณงั้นหรือ” วารุณียิ้มเย็นชา

ดวงตาของพงศกรเป็นประกาย “ถือว่าใช่ก็แล้วกัน”

“ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่สำคัญแล้ว ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมตอนนั้นนวิยาต้องมาขอให้คุณช่วย ฉันจำได้ว่าพวกคุณสองคนไม่ได้สนิทอะไรกันมากขนาดนั้น อย่างมากคุณก็แค่เป็นหมอประจำให้เธอช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง” วารุณีหรี่ตาด้วยความสงสัย

พงศกรหัวเราะอย่างนุ่มนวล “เรื่องนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน น่าจะเป็นเพราะเธอคงไม่มีคนอื่นแล้วล่ะมั้งครับถึงได้มาหาผม”

“งั้นเหรอ……”วารุณีเม้มปากแน่น ไม่รู้เช่นกันว่าเธอเชื่อหรือไม่เชื่อ

ผ่านไปพักใหญ่ เธอก็ถามขึ้นอีก “เมื่อครู่นี้คุณบอกว่า นวิยากับนิรุตติ์เป็นพันธมิตรกัน เรื่องนี้หมายความว่ายังไง”

“ผมก็บังเอิญรู้มาน่ะครับ ก่อนที่คุณกับประธานนัทธีจะทำสงครามเย็นกัน พวกเขาเคยติดต่อกันครั้งหนึ่ง นวิยาส่งวิดีโอให้นิรุตติ์ จากนั้นนิรุตติ์จึงส่งให้ประธานนัทธี หลังจากนั้นคุณกับประธานนัทธีก็เริ่มทำสงครามเย็นกัน” พงศกรตอบ

ดวงตาของวารุณีหรี่เล็ก “วิดีโอ? หรือว่าจะเป็น……”

“ใช่แล้ว วิดีโอที่คุณคิดนั่นแหละ” พงศกรพยักหน้า

มือที่กำโทรศัพท์ของวารุณีสั่นไหวเบาๆ

ที่แท้วิดีโออันนั้นนิรุตติ์เป็นคนส่งมา

แต่สิ่งที่ทำให้วารุณีตกใจมากที่สุดคือพงศกร

เรื่องๆ นี้ เธอกับนัทธีไม่เคยรู้ แต่พงศกรรู้ว่านิรุตติ์เป็นคนส่งมา

เขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง

“วารุณี ยังอยู่ไหม” พงศกรถามมาจากปลายสาย

แววตาของวารุณีเกิดประกาย เธอเก็บซ่อนความสงสัยของตัวเองเอาไว้ แล้วตอบรับ “อยู่ค่ะ แต่ตอนนี้ฉันมีธุระต้องไปจัดการ พงศกร เดี๋ยวเราค่อยคุยกันใหม่คราวหน้านะ”

“ครับ” พงศกรพยักหน้าพลางยิ้ม

หลังจากจบบทสนทนาแล้ว วารุณีจึงวางโทรศัพท์ลง จากนั้นเธอก็ตกอยู่ในภวังค์

เธอค้นพบว่ามีหลายเรื่องราวที่มีขาวบางปิดกั้นอยู่ ทำให้เธอมองเห็นไม่ชัดเจนว่าด้านในมีอะไรซ่อนอยู่และซ่อนไว้ลึกแค่ไหน

กว่าเธอจะกระชากผ้าขาวบางออกได้ เธอก็ยังมองไม่ชัด เพราะด้านในยังมีผ้าขาวบางอีกชั้นหนึ่งปิดเอาไว้อีก

เช่นเดียวกับพงศกร

เธอคิดมาตลอดเลยว่าพงศกร นวิยาและนิรุตติ์ไม่มีทางมีความข้องเกี่ยวกัน เพราะพงศกรไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอะไรกับพวกเขา

แต่ตอนนี้เธอเพิ่งเข้าใจ ว่าเธอมองเรื่องราวทุกอย่างใสซื่อเกินไป

องค์กรเบื้องหลังของพงศกรกับนิรุตติ์คงจะมีความแค้นยิ่งใหญ่ต่อกัน และระหว่างพงศกรกับนวิยาอาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างที่เธอไม่รู้

ไม่อย่างนั้นแล้วทำไมนวิยาต้องมาขอให้เขาช่วยด้วย

เธอไม่มีทางเชื่อที่พงศกรพูดอย่างเด็ดขาด ว่านวิยาไม่มีคนอื่นให้ขอความช่วยเหลือ เลยมาขอให้เขาช่วย

“เฮ้อ……” วารุณีนวดขมับอย่างปวดหัว

นัทธีกลับเข้ามาแล้วปิดประตู “ถอนหายใจอะไร”

“ก็พงศกรน่ะสิคะ” วารุณีตอบ

สีหน้าของนัทธีเคร่งเครียดขึ้น “ทำไมพูดถึงเขาล่ะ”

“เมื่อครู่นี้ฉันคุยโทรศัพท์กับพงศกรค่ะ” วารุณีดึงเขาให้นั่งลง จากนั้นจึงเล่าบทสนทนาเมื่อครู่นี้ให้เขาฟัง

หลังจากเล่าจบ เธอก็มองเขาด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคุณไม่เห็นตกใจอะไรเลย”

“ตกใจเรื่องอะไร” นัทธีเลิกคิ้ว

วารุณีขมวดคิ้ว “ก็เรื่องที่นิรุตติ์กับนวิยาร่วมมือกันส่งวิดีโอนั้นมาให้คุณยังไงล่ะ”

นัทธีอมยิ้ม “เรื่องเรื่องนี้ ผมเดาไว้ตั้งนานแล้ว ไม่เพียงแค่นี้ ผมยังสงสัยอีกว่า นวิยาไม่ได้อยู่ในจังหวัดจันทร์แล้ว”

“อะไรนะ คุณรู้ตั้งนานแล้ว?” วารุณีอ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ จากนั้นจึงผลักอกเขาอย่างโมโห “แล้วทำไมคุณไม่ยอมบอกฉัน”

“เห็นคุณยุ่งเรื่องคุณสุภัทรอยู่น่ะ ผมเลยไม่อยากเล่าเรื่องพวกนี้ให้คุณฟัง จะสร้างความยุ่งยากให้คุณเปล่าๆ” นัทธีกอดเธอเอาไว้แล้วจูบหน้าผากเธอ

ความโกรธของวารุณีลดลง แล้วค่อยถอนใจออกมา “ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าระหว่างพงศกรกับนวิยาจะมีเรื่องราวที่เราไม่รู้เกิดขึ้น”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะสืบให้ได้” นัทธีตอบพลางบีบนวดมือของเธอ

วารุณีตอบรับคำหนึ่งก่อนที่จะเอาศีรษะของเธอซุกไว้ตรงอกของเขา “จริงสิ ตราสัญลักษณ์นั่น คุณจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”

“มารุตเริ่มสืบแล้ว คิดว่าอีกไม่นานคงได้ข่าว” คางของนัทธีวางอยู่บนศีรษะของเธอ เขาใช้คางถูศีรษะของเธอระหว่างที่พูด

วารุณีโดนเขาถูจนรู้สึกจั๊กจี้แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เพียงหลับตาอยู่เงียบๆ “อย่างนั้นก็ดีค่ะ……”

เธอหาววอด

พอนัทธีได้ยินก็หลุบตามองเธอ “ง่วงนอนแล้วเหรอ”

“ค่ะ สองวันที่ผ่านมานี้ มัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องคุณสุภัทร เลยไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่” วารุณีตอบอย่างเหนื่อยล้า

นัทธีตบหลังของเธอ “อยากนอนก็นอนเถอะ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง”

“ค่ะ” วารุณียิ้มแล้วโอบเอวของเขาพลางผล็อยหลับไป

นัทธีรอให้เธอหลับก่อนแล้วค่อยๆ อุ้มเธอขึ้นเอาไปวางไว้บนเตียง

วันรุ่งขึ้น เป็นวันที่ขยานีต้องรับโทษ และตรงกับงานศพของสุภัทรพอดี

ท้องฟ้าหมองหม่น ทำให้คนรู้สึกอึดอัด

วารุณีใส่ชุดเดรสกระโปรงยาวสีดำ บริเวณหน้าอกของเธอติดดอกกุหลาบสีขาวเอาไว้ เธอยืนถือน้ำผลไม้แล้วยืนอยู่ข้างหน้าต่างในห้องพักผ่อน เธอมองไปยังแขกเหรื่อด้านนอกที่มาร่วมงานด้วยแววตาสงบนิ่ง

“พี่” ตอนนั้นเสียงของศรัณย์ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ

วารุณีหันไปมอง “มีอะไรเหรอ”

“พี่เขยให้ผมมาดูว่าพี่ทำอะไรอยู่” ศรัณย์ตอบด้วยรอยยิ้ม

เขาสวมชุดสีดำเช่นกันและติดดอกกุหลาบสีขาวไว้ที่หน้าอก แม้ว่าเขากำลังยิ้มแต่ดวงตาของเขาเปียกชื้น แสดงให้เห็นว่าเขาเพิ่งร้องไห้มา

“ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่มองอะไรไปเรื่อยๆ พี่เขยของเธออยู่ไหนล่ะ” วารุณีจิบน้ำผลไม้ก่อนจะถามกลับ

ศรัณย์บีบนวดคอที่กำลังปวดของเขา “พี่เขยพาอารัณกับไอริณไปคุยอยู่กับท่านประธานคนหนึ่งถึงเรื่องโปรเจคที่จะร่วมมือกัน ดังนั้นเลยมาไม่ได้ และให้ผมมาแทน ตอนนี้เวลาเหลือไม่เยอะแล้ว สุ……กระดูกของพ่อถูกย้ายไปไว้บนรถแล้ว พวกเราเองก็ควรออกไปที่สุสานกันได้แล้ว”

“โอเค ไปกันเถอะ” วารุณีดูนาฬิกาข้อมือ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วารุณีพยักหน้า “อย่างนั้นผมจะไปบอกทุกคนหน่อย”

กล่าวจบ เขาก็เดินออกไป

ไม่นานนัก นัทธีก็พาเด็กทั้งสองเดินเข้ามา

วารุณีรู้ดีว่าพวกเขามารับเธอจึงยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา

“ร้องไห้เหรอ” นัทธีเห็นดวงตาของวารุณีเป็นสีแดงจึงกล่าวถามเบาๆ

วารุณีส่ายหน้า “เปล่าค่ะ แค่รู้สึกว่าอึดอัด แต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมาค่ะ”

เด็กทั้งสองคนก็ไม่ได้ร้องเช่นกัน

พวกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับตาอย่างสุภัทรเลย ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกเสียใจและอยากร้องไห้อะไร

นัทธีเองก็เช่นกัน

“ไปเถอะ ขึ้นรถกัน” นัทธีจูงมือวารุณี

วารุณีตอบรับแล้วเดินไปด้านหน้ารถ