บทที่ 540 ขยานีจากไป

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็เดินทางไปถึงสุสาน

ศรัณย์ถือกระดูกของสุภัทรเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด

วารุณีกับนัทธีเดินจูงมือเด็กทั้งสองคนอยู่ด้านหลัง

ไม่นานนักกระดูกของสุภัทรก็ถูกนำลงไปในหลุม ป้ายหลุมศพถูกตั้งขึ้น

แขกเหรื่อคนอื่นๆ นำดอกไม้สดมาวางแล้วค่อยๆ แยกย้ายกันไป เหลือเพียงครอบครัวตระกูลไชยรัตน์

วารุณีมองป้ายหลุมศพใหม่เอี่ยมของสุภัทร โดยไม่ได้กล่าวอะไร

ศรัณย์ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ไม่ได้กล่าวอะไร

นัทธีกับเด็กน้อยทั้งสองยิ่งไม่พูดอะไรกันเลย สถานการณ์เป็นไปด้วยความสงบเงียบ

จนกระทั่งเม็ดฝนหล่นลงมาตกกระทบบนศีรษะ วารุณีถึงจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ขอให้พ่อไปดีนะคะ”

เธอให้อภัยเขาแล้ว

การเรียกว่าพ่อนี้ราวกับเป็นการเปิดสวิตส์ ศรัณย์น้ำตาไหลพรากพลางกล่าวว่า “พ่อไปดีนะครับ” เช่นกัน

วารุณีจูงเด็กทั้งสองคนมาลูบศีรษะ “เด็กๆ เรียกคุณตาสิคะ”

เด็กทั้งสองมองหน้ากัน สุดท้ายจึงพยักหน้าแล้วไปยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพของสุภัทรแล้วกล่าวว่าคุณตา

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กทั้งสองคนนี้เรียกสุภัทรว่าคุณตาต่อหน้าเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินก็ตาม

นัทธียังคงไม่ได้ปริปากเอ่ยอะไร

วารุณีก็ไม่ได้บอกให้เขาพูด

เพราะก่อนหน้านี้สุภัทรก็ทำไม่ดีกับเขาเอาไว้ เธอให้อภัยสุภัทรได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีสิทธิ์สั่งให้นัทธีให้อภัยเขาด้วย

การที่นัทธีมาร่วมงานฝังของสุภัทรในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการให้เกียรติเขามากแล้ว

ดังนั้นเธอจึงไม่มีความคิดให้นัทธีให้อภัยให้กับสุภัทร

เนื่องจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก

ทำให้เนื้อตัวของทุกคนเริ่มเปียกชื้น

นัทธีถอดเสื้อคลุมด้านนอกออกเพื่อเอามาบังศีรษะให้เด็ก เขากล่าวกับวารุณีว่า “กลับกันก่อนเถอะ”

วารุณีเองก็เป็นห่วงกลัวว่าหากเด็กๆ ทั้งสองคนตากฝนมากเกินไปจะทำให้เป็นหวัดได้ “กลับก็ได้ค่ะ”

หลังจากที่ทั้งผู้ใหญ่และเด็กออกจากสุสานแล้วก็กลับขึ้นรถ

“กลับวิลล่ากันก่อนเถอะ” นัทธีหยิบผ้าขนหนูออกมาแล้วแจกจ่ายให้กับทุกคนก่อนจะกล่าวกำชับกับมารุตที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ

มารุตตอบรับก่อนจะสตาร์ทรถออก

ระหว่างทางนัทธีไม่ได้สนใจว่าผมของตัวเองเปียกชื้น เขามัวแต่ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมและใบหน้าให้เด็กๆ ทั้งสองคน

ศรัณย์กับวารุณีก็กำลังเช็ดเนื้อตัวให้ตัวเอง เมื่อเห็นภาพนั้น ศรัณย์ก็ยิ้มออกมา “พี่เขยเป็นพ่อที่ดีจริงๆ”

“ใช่แล้ว” วารุณียิ้มพลางพยักหน้า

เมื่อนัทธีได้ยิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตอบแต่ริมฝีปากของเขาก็ปรากฏรอยยิ้ม อารมณ์ของเขาสดใส

“เสร็จแล้ว” เมื่อนัทธีเห็นผมของเด็กทั้งสองแห้งไปพอสมควรแล้วก็หยุดเช็ด จากนั้นจึงคว้าผ้าอีกผืนขึ้นมาเตรียมจะเช็ดให้ตัวเอง

ทันใดนั้นเอง ผ้าขนหนูสีขาวผืนหนึ่งก็ปลิวมาตกอยู่บนศีรษะของเขา

วารุณียิ้ม “เอาล่ะ ก็เมื่อกี้คุณเช็ดตัวให้อารัณกับไอริณ คุณคงเหนื่อยแล้ว ทีนี้ฉันจะเช็ดให้คุณบ้าง”

ระหว่างพูดเธอก็เริ่มเอามือจับผ้าขนหนูบนศีรษะของเขาแล้วเริ่มเช็ดผมให้

นัทธีอมยิ้มแล้วหลับตาลง แล้วปล่อยให้เธอเช็ดผมเขาไปมาตามใจ แม้ว่าเธอจะเช็ดผมเขาจนยุ่ง เขาก็ไม่ถือสาอะไร

ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ทำลายบรรยากาศความอบอุ่นในรถ

เมื่อวารุณีได้ยินมือถือของตัวเองดังขึ้นก็วางผ้าขนหนูลง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “ตำรวจโทรมาน่ะค่ะ”

ศรัณย์กับนัทธีมองไปที่เธอเป็นตาเดียวกัน

“คงเรื่องขยานี” นัทธีกล่าว

ศรัณย์พยักหน้า “ต้องใช่แน่ๆ ครับ วันนี้เป็นวันที่ขยานีโดนประหาร เวลาลงโทษคือเที่ยงตรง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงสิบนาทีแล้ว ตำรวจโทรมาหลังผ่านไปสิบนาทีหลังจากลงโทษ คงเป็นเพราะเรื่องของเธอแน่ๆ”

วารุณีไม่ได้พูดอะไรเพียงเม้มปากแล้วรับโทรศัพท์ “ฉันวารุณีค่ะ”

“สวัสดีครับคุณวารุณี ผมเจ้าหน้าที่ตำรวจนะครับ”

“ทราบค่ะ มีเรื่องอะไรหรือคะ” วารุณีถามเสียงเครียด

ปลายสายจึงตอบกลับมาว่า “เกี่ยวกับเรื่องศพของคุณขยานีครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณจะมารับไปไหมครับ”

ทางด้านตำรวจเองก็เข้าใจว่าขยานีเป็นแม่เลี้ยง แถมยังเป็นแม่เลี้ยงที่วางแผนฆ่าพ่อของวารุณีอีกด้วย

แม่เลี้ยงที่ชั่วร้ายแบบนี้ ทางฝั่งคุณวารุณีคงจะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงโทรมาถามเพื่อยืนยัน

เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ขยานีกับพ่อของคุณวารุณีก็ยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน ถือว่ายังเป็นคนของตระกูลศรีสุขคำอยู่

หากขยานีหย่ากับนายท่านสุภัทรแล้ว ตำรวจคงไม่โทรมาถามเช่นนี้ และก็คงจะส่งศพไปให้โรงพยาบาล บริจาคอวัยวะทำประโยชน์ให้สังคมไปแล้ว

“รอสักครู่นะคะ” เมื่อวารุณีได้ยินตำรวจถามถึงเรื่องการจัดการศพของขยานี เธอก็ไม่กล้าที่จะตอบปฏิเสธออกไปในทันที จึงตอบไปเท่านั้นแล้วหันมามองนัทธีกับศรัณย์

“ตำรวจถามว่า ฉันจะรับศพของขยานีไปทำพิธีต่อไหม”

นัทธีเลิกคิ้ว “คุณคิดว่ายังไงล่ะ”

วารุณีกัดริมฝีปาก “ฉันไม่อยากรับเลยค่ะ ศรัณย์ล่ะ”

“พี่ไม่อยาก แล้วผมจะไปอยากรับได้ยังไง แต่ถ้าไม่รับตำรวจจะจัดการยังไงต่อเหรอครับ” ศรัณย์ถามอย่างข้องใจ

นัทธีช่วยคลายความข้องใจให้ “ก็จะส่งไปให้โรงพยาบาลเพื่อนำอวัยวะโอนถ่ายไปยังคนที่ต้องการใช้ จากนั้นจะนำร่างส่งไปเผาที่สถานที่จัดการศพ ส่วนกระดูกนั้นทางสถานที่จัดการศพจะเก็บไว้ แน่นอนว่ามีอีกทางเลือกหนึ่งคือส่งไปให้โรงพยาบาลเลยเพื่อให้เป็นอาจารย์ของนักศึกษาแพทย์”

“ถูกต้อง วิธีการพวกนี้คือวิธีการจัดการศพไร้ญาติของที่นี่” วารุณีพยักหน้า

ศรัณย์ถอนใจยาว “อย่างนั้นก็เลือกทางแรกก็ได้นะครับ ส่งให้โรงพยาบาลไปเถอะครับ ตอนมีชีวิตอยู่เธอทำชั่วมามากพอแล้ว ตายแล้วก็ควรทำความดีชดใช้บ้าง ส่วนเถ้ากระดูก พิชญากับปวิชก็ยังอยู่ วันหลังค่อยส่งต่อให้พวกเขาก็ได้”

“ตกลง” วารุณียิ้มเล็กน้อย

อันที่จริงแล้วเธอก็เอนเอียงมาทางวิธีนี้เช่นกัน

“อย่างนั้นฉันให้คำตอบกับตำรวจเลยนะคะ” ระหว่างที่พูด วารุณีก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง แล้วบอกผลการตัดสินใจแก่ทางตำรวจ

ทางด้านตำรวจก็ไม่ได้แปลกใจอะไรที่พวกเขาเลือกแบบนี้

เพราะแม่เลี้ยงที่ฆ่าแม่ของเธอและทำร้ายพ่อของเธออีกนั้น ไม่ว่าใครก็คงไม่ใจดีถึงขั้นรับศพกลับไปดำเนินพิธีให้แน่

อีกอย่างคนที่ทำเรื่องชั่วช้าขนาดนี้ ตายไปแล้วบริจาคอวัยวะให้กับสังคมก็ถือเป็นการสะสมบุญกุศลได้บ้าง

หลังจากคุยโทรศัพท์เรียบร้อย วารุณีจึงวางโทรศัพท์ลง “ต่อจากนี้ ความแค้นระหว่างพวกเรากับขยานีถือว่าหายกันแล้ว”

“ใช่” ศรัณย์พยักหน้า

“จะกลับเมื่อไหร่ล่ะ” วารุณีถามเขากลับ

ศรัณย์อมยิ้มก่อนจะตอบว่า “พรุ่งนี้ครับ ผมคุยกับอาจารย์เรียบร้อยแล้ว อาจารย์บอกว่าผลงานของผมได้รับการคัดเลือก เตรียมที่จะจัดแสดงในงานนิทรรศการรูป ผมต้องไปดูสักหน่อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นิทรรศการเลือกรูปผม”

“งั้นพรุ่งนี้พวกเราจะไปส่งคุณเอง” นัทธีกล่าว

ศรัณย์ดีใจมาก “ขอบคุณพี่เขยมากครับ”

“อื้ม” นัทธีพยักหน้า

วารุณีขยี้ตา “ฉันเองก็ต้องกลับแล้วเหมือนกัน การแข่งขันยังไม่จบนะคะ”

“หม่ามี๊ พวกเราจะกลับกันเมื่อไหร่ครับ” อารัณถามขึ้นมา

วารุณีรูปหัวเขา “ไม่ต้องรีบ รอวันหยุดก่อน รอให้ศัตรูของคุณปู่คุณย่าได้รับโทษก่อน พวกเราค่อยกลับ”

“โอเคฮะ” เด็กทั้งสองกล่าวพร้อมกัน

นัทธีขมวดคิ้วแน่น

วารุณีมองไปที่เขา “เป็นอะไรคะ”

“เปล่าครับ พวกเรายังไม่ได้ไปเจอขงเบ้งเลย เดี๋ยวคงต้องไปเยี่ยมสักหน่อย จะได้ถือโอกาสนี้ไปส่งคุณป้าใหญ่ด้วย” นัทธีตอบ

วารุณีเชิดคางขึ้น “พาคุณป้าใหญ่ไปหย่ากับขงเบ้งเหรอคะ”

“ใช่แล้ว”

“คุณว่านิรุตติ์จะโอเคไหมคะ” วารุณีเสยผม

นัทธีแค่นหัวเราะ “ทำไมเขาจะไม่โอเคล่ะ ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยสนใจพ่อแม่ของเขาอยู่แล้ว”

“ก็จริงค่ะ” วารุณียักไหล่แล้วไม่ได้กล่าวอะไรต่อ

ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็กลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์

ป้าส้มได้รับโทรศัพท์จากมารุตที่โทรมาแจ้งแล้วว่าพวกเขาจะกลับมา

แถมป้าส้มยังรู้อีกว่าพวกเขาตัวเปียกกันหมด ดังนั้นจึงเตรียมน้ำขิงเอาไว้เพื่อจะบังคับให้ทุกคนกินให้หมด จะได้ไม่เป็นหวัด

เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้

ยังดีที่ทุกคนเห็นแก่ป้าส้มและไม่อยากทำให้ป้าส้มเสียใจ แม้ว่าจะไม่ชอบรสชาติของน้ำขิง แต่ก็ยังฝืนกินจนหมด

เมื่อดื่มหมดแล้ว นัทธีก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องก่อน จากนั้นค่อยออกไป

วารุณีรู้ว่าเขาจะออกไปหาขงเบ้งที่เรือนจำชาย

ระหว่างทางไปเรือนจำ มารุตรับสายสายหนึ่ง จากนั้นจึงรีบรายงานว่า “ท่านประธานครับ คุณนายใหญ่ไปถึงแล้ว บอกว่าทางเรือนจำรอคุณชายอยู่ครับ”