บทที่ 608 กลับคฤหาสน์
บทที่ 608 กลับคฤหาสน์
หลังจากค้นไปเรื่อย ๆ ซูอันก็ได้พบกับคัมภีร์สองเล่มหนึ่งในนั้นมีตัวอักษร ‘ดาบอัคคี’ บนหน้าปก
แม้อู๋ตี้จะไม่ได้เป็นผู้บ่มเพาะที่พิเศษอะไร โดยเฉพาะเคล็ดวิชาดาบอัคคีนี้ก็ไม่ได้รุนแรงอะไรเท่าไหร่เลยในมุมมองของเขา แต่ก็คงจะดีถ้าเขาสามารถควบคุมดาบอัคคีได้
พลังของวิชาไม่สำคัญ อยู่ที่ว่ามันเท่แค่ไหน!
เขาพลิกคัมภีร์ดูอย่างรวดเร็ว แล้วก็พบกับความหดหู่กับบรรทัดที่เขียนว่า ‘ผู้ฝึกจำเป็นต้องบ่มเพาะธาตุไฟเพื่อฝึกฝนทักษะนี้’!
ซูอันไม่มีพลังธาตุไฟ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะสามารถฝึกทักษะนี้ได้
อย่างไรก็ตาม มีส่วนหนึ่งของเนื้อหาในคัมภีร์ดึงดูดสายตาของเขา มันบอกว่านี่เป็นทักษะที่เติบโตไปตามความแข็งแกร่งจากธาตุไฟของผู้ครอบครอง ยิ่งมีพลังธาตุไฟแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ทักษะนี้ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้อู๋ตี้พ่ายแพ้ ธาตุไฟของเขาเป็นไฟประเภทพื้นฐานที่สุด ถ้าเพ่ยเหมียนหมานใช้ทักษะนี้ด้วยไฟสีดำของนาง พลังทำลายล้างของมันจะรุนแรงกว่าหลายเท่า
“เอาเถอะ ข้าจะเก็บมันไว้ให้เหมียนหมานใหญ่ แม้ว่าข้าจะไม่ใช้มันด้วยตัวเองก็ตาม” ซูอันเก็บคัมภีร์ ‘ดาบอัคคี’ นี้ไว้ในดวงแก้วผู้รอบรู้ของตัวเอง
หนังสือเล่มที่สองมีคำว่า ‘คัมภีร์รวบรวมพลังชี่’ บนหน้าปก
หืม?
ซูอันพลิกดู คัมภีร์เล่มนี้ดูเหมือนจะอธิบายวิธีการปรุงยา
อย่างไรก็ตาม คัมภีร์เล่มนี้ยังไม่สมบูรณ์ เนื้อหาส่วนใหญ่หายไป!
โชคดีที่ส่วนแรกของคัมภีร์ได้ให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการหลอมยาและส่วนผสมสำหรับยาเม็ดที่เรียกว่ายาเม็ดรวมพลังชี่ ยาเม็ดนี้สามารถเพิ่มพลังชี่ของผู้บ่มเพาะและเร่งความเร็วในการบ่มเพาะได้
หมี่ลี่เพิ่งบอกเขาให้มองหาสมบัติหรือยาบางอย่างเพื่อช่วยในการบ่มเพาะของตัวเอง ไม่คิดเลยว่าจะเจอมันเร็วขนาดนี้!
การใช้ผลไม้พลังชี่ซึ่งเขาได้รับจากการแลกเปลี่ยนคะแนนความโกรธแค้นเพียงอย่างเดียวนั้นช้าเกินไป หากยาเม็ดรวมพลังชี่นี้สามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขาได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีมาก
แต่น่าเสียดายที่ยิ่งอ่านยิ่งท้อแท้เพราะเงื่อนไขเบื้องต้นในการปรุงยาคือจำเป็นต้องเป็นผู้บ่มเพาะธาตุไฟ ยิ่งกว่านั้นระดับของเปลวไฟยังมีผลต่อคุณภาพของยาที่หลอมออกมาอีกต่างหาก
การไม่เรียนรู้ทักษะ ‘ดาบอัคคี’ นั้นไม่มีปัญหาอะไร แต่คัมภีร์รวบรวมพลังชี่ นี้ทำให้เขาตระหนักว่าเขาต้องหาวิธีปลุกธาตุไฟของตัวเองให้ได้
อย่างไรก็ตาม ธาตุไม่สามารถปลุกได้ด้วยความปรารถนาเพียงอย่างเดียว
เขาอยู่ในระดับที่ห้าแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ปลุกพลังธาตุใด ๆ เลย
ซูอันรวบรวมความคิดและเก็บทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นจึงทำการฝังผู้เฒ่ามี่และเว่ยต้าน เขายังขุดหลุมฝังศพให้ลึกขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้สัตว์ป่าขุดขึ้นมากัดแทะแล้วปิดบังไว้ด้วยกองใบไม้แห้งกรอบ
เขาลังเลที่จะขุดหลุมให้กับอู๋ตี้ แต่เมื่อนึกถึงคัมภีร์ทั้งสองที่ได้รับมา เขาจึงฝังอีกฝ่ายไว้เพื่อเป็นการตอบแทน
แน่นอน ไม่มีทางที่เขาจะฝังไว้ข้าง ๆ ผู้อาวุโสทั้งสองเพราะอู๋ตี้ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่ตำลึงเดียว
หลังจากเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ซูอันก็มุ่งหน้ากลับไปที่เมืองจันทร์กระจ่าง
ผู้เฒ่ามี่ใช้เวลาไม่นานในการบินมายังที่ห่างไกลนี้ แต่ซูอันมีเพียงสองขาที่น่าสงสารในการเดินทางกลับ…
ลืมสัตว์ร้ายที่ท่องไปในส่วนลึกของภูเขานี้ไปก่อน ตอนนี้มีเพียงความหนาแน่นของต้นไม้เท่านั้นที่ทำให้การเดินทางยากลำบากมากขึ้น
โชคดีที่ระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นและมีกลโกงทุกประเภทอยู่ในมือ มังกรแดงสุดอันตรายในภูเขามังกรซ่อนก็ตายมาแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ต้องกังวลอะไรมากตราบใดที่เขาระมัดระวังตัว
ในที่สุด ซูอันก็กลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฉู่ ในอีกหนึ่งวันต่อมา
“หืม ทำไมคนที่นี่น้อยจัง?” ซูอันรู้สึกประหลาดใจ
แม้แต่ประตูของคฤหาสน์ก็ถูกเปิดทิ้งไว้
มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?
เขาวิ่งเข้าไปข้างในด้วยความกังวลและชนเข้ากับใครบางคนซึ่งก็คือ เฉิงโซวผิง
“น…นายน้อย?” เฉิงโซวผิงขยี้ตา เขาร้องออกมาด้วยความไม่เชื่อ
“เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าข้าเป็นใคร? ผ่านมาไม่นานเองนะ?” อารมณ์ของ ซูอันดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
“ท่าน…ไม่ได้ถูกปรมาจารย์สองคนนั้นจับตัวไปเหรอ?” เฉิงโซวผิง ตะโกนถามด้วยท่าทางตกตะลึง
“หืม?” ซูอัน ประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าพวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์?”
เฉิงโซวผิง ตอบว่า “ข้าได้ยินเฟิงต้าหนิวและคนอื่น ๆ พูดแบบนี้ ทุกคนเป็นห่วงท่าน นั่นคือผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์เชียวนะ!”
ซูอันพ่นลม “ระดับปรมาจารย์แล้วยังไง? เจ้าคิดว่าคนเหล่านั้นจะสามารถทำอะไรข้าได้งั้นเหรอ?”
ดวงตาของเฉิงโซวผิงเป็นประกาย “ข้ารู้แก่ใจอยู่แล้วว่านายน้อยย่อมต้องแข็งแกร่งเลิศล้ำ นับวันความเคารพต่อนายน้อยของผู้ถ่อมตนนี้ยิ่งพรั่งพรูไหลหลากราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก!”
เขาสรรเสริญซูอันอยู่นานก่อนที่จะตะโกนว่า “นายน้อยกลับมาแล้ว นายน้อยกลับมาแล้ว นายน้อยเอาชนะผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์สองคนและกลับมาโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน!”
แม้แต่ซูอันก็ยังรู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับคำพูดของเฉิงโซวผิงที่ตะโกนเสียงแหลมเหมือนหมู แต่การได้รับคำชมก็รู้สึกดีทีเดียว ในที่สุดชายหนุ่มก็เข้าใจว่าทำไมคนจำนวนมากถึงชอบให้รองเท้าของพวกเขาถูกเลีย
คฤหาสน์ตระกูลฉู่ที่ซึมเซากลับมามีชีวิตชีวาขึ้น ในขณะที่เสียงตะโกนของเฉิงโซวผิงก้องไปรอบ ๆ ผู้คนต่างรีบออกมาทีละคน
ผ่านไปไม่นาน ร่างเล็กก็พุ่งตรงเข้ามาที่แขนของเขา “พี่เขย! ข้าคิดว่าท่าน…ท่านถูกคนเหล่านั้น…”
ฉู่ฮวนเจาตัวสั่นไปทั้งตัว นางดีใจจนพูดอะไรไม่ออก
ซูอันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขาลูบหัวนาง “ข้าจะปล่อยให้ตัวเองถูกจับได้ยังไงในเมื่อข้ามีฮวนเจาตัวน้อยที่น่ารักรอข้ากลับบ้าน?”
“พี่เขยดีที่สุดเลย!” ในดวงตาของฉู่ฮวนเจามีน้ำตาคลอ นางกังวลมาตลอดเวลา และด้วยเหตุนี้เองรอยยิ้มปัจจุบันของนางจึงงดงามอย่างมาก
“อะแฮ่ม…” เสียงไอเบา ๆ ขัดจังหวะพวกเขา ฉินหว่านหรูมองทั้งสองคนอย่างใคร่ครวญ นางดูราวกับว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ไม่มีทางที่นางจะพอใจกับท่าทางที่ใกล้ชิดกันของทั้งสอง
ซูอันหันไปทักทายนาง “คารวะท่านแม่ยาย”
ฉินหว่านหรูหน้าแดง นางรีบพูดว่า “เจ้าบาดเจ็บอะไรหรือเปล่า?”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ” ซูอันตอบ
“แล้วผู้เฒ่ามี่กับผู้บ่มเพาะลึกลับคนนั้นล่ะ?” ฉินหว่านหรูถามอย่างกังวล นี่คือคำถามแทนใจคนอื่น ๆ เช่นกัน พวกเขาคิดไม่ออกว่าซูอัน จะหนีจากเงื้อมมือของผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ได้อย่างไร?
“พวกเขาตายแล้ว” ซูอันตอบกลับ