บนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ถูกบดบังไปด้วยดอกบัวสีฟ้าขนาดใหญ่
ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ด้านนอกเมืองต่างก็มองดูทุกอย่างจากนอกเขตแดนพลังทั้งสิบด้วยความสับสน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ดอกบัวสีฟ้า?”
“ใครเป็นผู้มีพลังดอกบัวสีฟ้ากัน?”
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างก็เหลือบมองดูท้องฟ้าด้วยความตื่นตกใจ โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ ทุกอย่างที่เคยเรียนรู้อาจจะไม่ใช่ทุกอย่างที่มีเสมอไป มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะตกใจกับสิ่งที่ไม่เคยเห็น แต่ถึงแบบนั้นทุกคนก็ยอมรับมันได้ ท้ายที่สุดแล้วตั้งแต่โบราณกาลมีบรรพบุรุษมากมายหลายคนได้คิดค้นวิธีการฝึกฝนวรยุทธที่แตกต่างกันเอาไว้
ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษชาวลัทธิขงจื๊อ ชาวพุทธ หรือแม้แต่ชาวลัทธิเต๋า ทุกที่ล้วนแต่มีพลังเป็นของตัวเอง มีทฤษฎีแนวทางในการฝึกฝนเป็นของตัวเอง
เป็นเพราะปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเป็นคนแรกของโลก มันจึงไม่แปลกเลยที่เขาจะมีพลังรูปแบบใหม่
ผู้ฝึกยุทธที่ได้เห็นทำได้เพียงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเคารพ
…
เมื่อดอกบัวสีฟ้าเบ่งบาน เขตแดนประตูทั้งแปดก็ดูเหมือนจะแตกสลายไปในทันที มันค่อยๆ จางหายไปราวกับดวงดาวที่ลาลับท้องฟ้า
ลู่โจวสามารถทำลายเขตแดนพลังประตูทั้งแปดได้อย่างง่ายดาย มันเป็นความจริงที่ทุกคนต้องยอมรับ
ลู่โจวลงสู่พื้นด้วยท่าทีสบายๆ
ในตอนนั้นเองสาวกจากสำนักอเวจี ฮั๊วจงหยาง รวมไปถึงผู้นำทัพย่อยทุกคนก็เข้าใจทุกอย่างได้ในทันที ทุกคนเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้เป็นเจ้าสำนักของพวกเขาถึงต้องคิดหนีผู้เป็นอาจารย์ในทันที! ไม่ว่าจะเป็นใครถ้าหากไม่คิดหนีผู้ที่แข็งแกร่งแบบนี้ตั้งแต่แรก คนคนนั้นก็คงจะหนีไม่รอดแน่ อันที่จริงแล้วผู้เป็นเจ้าสำนักของพวกเขาฉลาดมากแล้วที่คิดหนีตั้งแต่เนิ่นๆ
ในที่สุดพระอาทิตย์ก็เริ่มตกดิน…
ลู่โจวสัมผัสได้ว่าพลังวิเศษที่ตัวเขามีมันเหลือไม่มากแล้ว…
ซู่วว!
ม่านพลังที่อยู่บนท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสี
ในที่สุดลมแรงก็ได้พัดผ่านเข้ามา
“เขตแดนพลังทั้งสิบหายไปอีกครั้งแล้ว!”
“ทุกคนเตรียมพร้อมให้ดี!”
สาวกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็ก้าวไปด้านหน้า
ในที่สุดภายในเมืองก็ใช้พลังลมปราณได้อีกครั้ง ในตอนนี้บรรยากาศภายในเมืองเริ่มกลับมาเป็นปกติดั่งเดิม
พลังวรยุทธที่ทุกคนมีเริ่มได้รับการฟื้นฟูอย่างช้าๆ ทุกคนสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเริ่มโคจรพลังที่มี
ในทำนองเดียวกันลู่โจวเองก็สัมผัสได้ว่าพลังที่มีเริ่มกลับมา แม้ว่าจะสูญเสียพลังวิเศษจนเกือบหมด แต่ในตอนนี้ตัวเขาก็ยังเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบอยู่ดี ถ้าหากรวมเข้ากับทักษะในการต่อสู้ ประสบการณ์ รวมไปถึงความรู้ที่มี ยังไงซะลู่โจวในตอนนี้ก็ยังยากที่จะหาใครเทียบเคียง ‘ยังไงซะฉันก็ยังแข็งแกร่งกว่าคนพวกนี้อยู่ดี…’
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธชุดขาวทั้งหลายต่างก็กระเด็นลอยออกมาจากตำหนักต้าเฉิง
ไม่นานนักกลุ่มผู้ฝึกยุทธชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้นจากตำหนักนิรันดร์ ผู้ฝึกยุทธชุดดำเป็นผู้จับกุมตัวกลุ่มผู้ฝึกยุทธชุดขาวกลับมานั่นเอง
กลุ่มผู้ฝึกยุทธชุดขาวไม่ใช่ใครอื่น พวกเขาก็คือผู้อาวุโสทั้งหลายจากสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่ ทุกคนถูกจับโยนลงพื้นอย่างไร้ปรานี เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่โจวสีหน้าของทุกคนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ท้ายที่สุดหลี่หยุนเฉาก็ได้ปรากฏตัวออกมา ขันทีเฒ่าได้ทักทายลู่โจวด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโสจี”
ลู่โจวมองไปที่หลี่หยุนเฉา คนคนนี้จะต้องเป็นผู้จับกุมผู้อาวุโสทั้งหมดไม่ผิดแน่ “คนพวกนี้เป็นคนของเจ้าอย่างงั้นเหรอ?”
หลี่หยุนเฉารีบตอบกลับ “ข้ารู้สึกละอายยิ่งหนัก แม้แต่ในพระราชสำนักเองก็มีวิธีที่ยุ่งยากที่จะรักษาตัวเอง…”
“นี่คือคำสั่งของไทเฮาอย่างงั้นสินะ?”
“องค์ไทเฮารู้อยู่ก่อนแล้วว่าชายคนนี้เป็นตัวปลอม น่าเสียดายที่ตัวปลอมคนนี้มีอำนาจมากพอที่จะควบคุมเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างเต็มที่ องค์ไทเฮาที่เห็นแบบนั้นเลยให้ความสำคัญกับภาพรวม และเพราะแบบนั้นองค์ไทเฮาจึงไม่เคยเปิดเผยความจริง”
ทุกๆ คนต่างก็พยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ไม่น่าแปลกใจเลยที่องค์ไทเฮาจะกล้ามาเยี่ยมเยียนศาลาปีศาจลอยฟ้าในก่อนหน้านี้ นางยังมอบยาอายุวัฒนะให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกด้วย เป็นธรรมดาที่ไท่เฮาจะไม่รู้ว่าลู่โจวไม่ต้องการยาอายุวัฒนะ เห็นได้ชัดว่าองค์ไท่เฮาพยายามที่จะสร้างสัมพันธ์อันดีกับศาลาปีศาจลอยฟ้ามาโดยตลอด
นอกจากนี้ลู่โจวยังเข้าใจอีกด้วยว่าทำไมองค์ไท่เฮาถึงต้องปกป้องจ้าวยู่ในตอนที่อยู่ในหมู่บ้านฤดูร้อนเมื่อตอนนั้น
ตอนนี้ลู่โจวเข้าใจแล้วว่าทำไมหลิวกู่ถึงไม่แยแสต่อการตายของเจ้าชายทั้งหลายและอาการเจ็บป่วยขององค์ไทเฮา ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้เชื่อมโยงเข้าหากัน
ในที่สุดหลี่หยุนเฉาก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง “องค์ไทเฮาทรงรับสั่ง ทหารราชสำนักทั้งหลายจงยอมแพ้! ห้ามไม่ให้ใครต่อต้านชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าอีก!” ตั้งแต่ที่ทุกคนกลับมาใช้พลังวรยุทธได้ เสียงของหลี่หยุนเฉาที่ได้พูดก็ฟังดูกระฉับกระเฉงและเต็มไปด้วยพลังอีกครั้ง เสียงของเขาดังก้องไปทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ทหารราชสำนักทั้งหลายได้แต่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
และแล้วรถม้าล่องเมฆาก็ค่อยๆ ลดระดับลงมา
บนรถม้าลอยฟ้ามีผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ทุกคน “ทะ…ท่านศิษย์พี่ใหญ่…”
สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมา “ข้าจะไปดูเอง” สีวู่หยาผลักตัวออกจากพื้นเบาๆ ก่อนจะลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากที่สีวู่หยาบินมายังรถม้า ตัวเขาก็ได้พบกับยู่เฉิงไห่ที่กำลังนอนอยู่ด้านใน ที่คอของยู่เฉิงไห่เต็มไปด้วยคราบเลือด แม้ว่าสีวู่หยาจะคาดการณ์ไว้แล้วแต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังรู้สึกสะเทือนใจอยู่ดี
“ศิษย์พี่ใหญ่?” สีวู่หยาพยายามปลุกยู่เฉิงไห่ให้ตื่น แต่น่าเสียดาย ยู่เฉิงไห่ยังคงไม่ตอบสนองอะไร ดวงตาของเขายังคงปิดอยู่เช่นเดิม ออร่าพลังชีวิตรอบตัวของยู่เฉิงไห่เองก็ดูอ่อนแอ
จากนั้นสีวู่หยาก็ได้อุ้มยู่เฉิงไห่ก่อนจะกระโดดออกจากรถม้าลอยฟ้าไป
สาวกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าทั้งหมดต่างก็ร้องไห้เมื่อได้เห็นยู่เฉิงไห่ “ศิษย์พี่ใหญ่!”
ในตอนนั้นเองสาวกจากสำนักอเวจีนับหมื่นก็ได้คุกเข่าลง
“ท่านเจ้าสำนัก!”
เจ้าสำนักผู้ที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญมาโดยตลอดบัดนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเพราะแบบนั้นเหล่าสาวกทุกคนจะไม่รู้สึกเป็นกังวลได้ยังไงกัน?
ฮั๊วจงหยางและผู้นำทัพย่อยทั้ง 12 คนต่างก็เดินมาหายู่เฉิงไห่
สีวู่หยายังคงเดินไปหาลู่โจวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่เขา…”
ลู่โจวยกมือขึ้นก่อนจะห้ามสีวู่หยาไม่ให้พูดอะไรไปมากกว่านี้ แม้แต่ลู่โจวเองก็ยังบอกได้ยากว่ายู่เฉิงไห่จะอยู่รอดต่อไปได้ไหม ในตอนนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ตัวเขาได้แต่เหลือบมองไปยังยู่เฉิงไห่ที่ยังคงหมดสติ ลู่โจวได้ถ่ายทอดพลังวิเศษที่เหลืออยู่ทั้งหมดออกมา นี่คือทุกอย่างที่ลู่โจวสามารถทำได้ ที่เหลือก็คงได้แต่ฝากไว้กับโชคชะตา
“ท่านอาจารย์…” สีหน้าที่ดูเปลี่ยนแปลงไปของลู่โจวไม่สามารถหลบเลี่ยงความช่างสังเกตของสีวู่หยาได้
ลู่โจวตอบกลับ “เจ้าเคยช่วยยู่เฉิงไห่มาแล้วครั้งหนึ่ง…ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะต้องรู้จักชาววู่เฉียนมากที่สุดแล้ว…”
“ครับท่านอาจารย์”
“ยู่เฉิงไห่จะต้องสูญเสียพลังชีวิต 300 ปีในทุกครั้งที่ตายจากไป แม้ว่าจะเอาตัวรอดจากอาการบาดเจ็บในการตายครั้งนี้ได้ แต่ถึงแบบนั้นขีดจำกัดของยู่เฉิงไห่ก็ยังคงใกล้เข้ามาอยู่ดี…”
“…”
หอยสังข์ตัวน้อยเหลือบมองไปยังยู่เฉิงไห่ในขณะที่ใช้ความคิด บางทีนางอาจจะจดจำสิ่งที่นางเคยพูดกับยู่เฉิงไห่ในครั้งแรกที่ได้พบกัน นางเดินไปหายู่เฉิงไห่ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “รอข้าก่อนนะ”
ทุกๆ คนต่างก็เหลือบมอง
ลู่โจวเองก็เช่นกัน ตัวเขารู้ดีว่าหอยสังข์รู้จักพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ และเมื่อได้เหลือบมองหอยสังข์ลู่โจวก็ได้สั่งการออกมาอีกครั้ง “สีวู่หยา”
“ครับท่านอาจารย์”
“เจ้าเป็นผู้ค้นพบกับอักษรโบราณของศิษย์พี่รองเจ้าอย่างงั้นสินะ?”
สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นเริ่มมีความหวัง! ตัวเขารู้ดีว่าคำถามของลู่โจวนั้นหมายถึงอะไร “ข้าเคยพบมันในสุสานโบราณ มันเป็นอักษรที่สามารถดูดซับพลังชีวิตได้ ถูกต้องแล้ว…ท่านอาจารย์ ข้าจะรีบพาศิษย์พี่ใหญ่ไปยังมณฑลเหลียงทันที!”
ลู่โจวเหลือบมองยู่เฉิงไห่ก่อนจะถอนหายใจและพูดออกมา “อักษรโบราณสามารถยืดอายุขัยของเขาได้ก็จริง แต่เมื่อทำแบบนั้นเขาก็จะขาดพลังอักษรโบราณไม่ได้”
สีวู่หยารีบตอบกลับ “ตราบใดที่พวกเราสามารถช่วยชีวิตของศิษย์พี่ใหญ่ได้มากเท่าไหร่ เมื่อนั้นก็ยังมีหวัง ในความเป็นจริงแล้วข้าเคยพบบันทึกโบราณ มันเป็นบันทึกเกี่ยวกับความตายของชาววู่เฉียน อันที่จริงในบันทึกไม่เคยมีข้อพิสูจน์เลยว่าการตายมีขีดจำกัดอยู่เพียงแค่สามครั้ง ที่ความสามารถในการตายมีเพียงแค่สามครั้งคงจะเป็นเพราะว่าขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ แม้ว่าข้าจะช่วยให้ศิษย์พี่อยู่ได้นานขึ้นอีก 10 ปี ข้าก็จะช่วยเขา!”
ลู่โจวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันมุ่งมั่นจากสีวู่หยาได้ “เจ้ามั่นใจอย่างงั้นสินะ?”
“ข้า…ข้าจะต้องพาศิษย์พี่ใหญ่ไปที่ลั่วหลาน ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกเอาไว้ สถานที่ที่ตัวเขาได้ตายในครั้งแรกเป็นจุดในอุดมคติ มันเป็นจุดที่มีความเหมาะสมกับชาววู่เฉียนมากที่สุดแล้ว แต่เพราะเวลาที่ผ่านไปอาจจะทำให้สิ่งที่มีเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ได้ แม้ว่าข้าจะไม่สามารถยืนยันได้แต่ข้าก็ยินดีที่จะลอง”
ในตอนนั้นเองฮั๊วจงหยางก็ได้โค้งคำนับ “ข้ายินดีที่จะติดตามท่านไป ท่านเจ็ด”
ผู้นำทัพย่อยทั้ง 12 คนเองก็พูดอย่างพร้อมเพรียงกัน “พวกเราเองก็จะติดตามท่านเจ้าสำนักไปจนถึงวันตาย!”
ในตอนนั้นเองสาวกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เริ่มยกมือขึ้นมาทีละคน
“ข้าคิดว่าข้าเองก็ควรจะไปคุ้มกันศิษย์พี่ใหญ่!”
“ข้าเองก็อยากไปด้วย…”
ลู่โจวหันไปเหลือบมองทุกคน