เจียงซื่อชำเลืองมองไปที่อวี้จิ่นโดยพลัน
เพียงได้ยินทำนอง ปราชญ์ก็เข้าใจความหมาย ที่เสด็จพ่อเรียกนางเข้ามา เพราะสงสัยว่ามิใช่อาการป่วยธรรมดาอย่างนั้นหรือ
อวี้จิ่นผงกศีรษะรับ
เหรียญมีสองด้าน ในเมื่ออาซื่อเลือกที่จะไม่เก็บตัวเงียบ ก็ย่อมมีเหตุการณ์ให้นางแสดงความสามารถอยู่เนื่องๆ ครั้นจะปฏิเสธเอาตอนนี้ก็อาจทำให้ตนเองต้องรู้สึกผิด
เจียงซื่อก้าวเข้าไปใกล้ และสำรวจจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างพินิจพิจารณา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ถูกจ้องนิ่งนานๆ อดถามไม่ได้ “มิต้องจับชีพจรหรือ”
เจียงซื่อคลี่ยิ้มพลางกล่าว “ไม่จำเป็นเพคะ รบกวนเสด็จพ่ออยู่นิ่งๆ สักเดี๋ยวนะเพคะ”
นางค่อยๆ ตรวจสอบตั้งแต่ดวงตา ปาก จมูก คอ ไล่ลงไปจนถึงนิ้วมือ แล้วสีหน้าของนางก็เคร่งขรึมขึ้นทันใด
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคงนิ่งเรียบ ทว่าในใจลุ้นระทึกยิ่งนัก
สะใภ้เจ็ดไม่สรุปเสียที หรือว่าอาการของเขาหนักหนายิ่งกว่าอาการของไทเฮา
แม้ฮองเฮาจะไม่ถือสาที่จิ่งหมิงฮ่องเต้จะแสดงท่าทีประหม่า แต่นางก็ไม่อยากให้เขาแสดงอาการเช่นนั้นต่อหน้าลูกสะใภ้จึงออกปากถามแทน “พระชายาเยี่ยนอ๋อง สรุปแล้วฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง”
เจียงซื่อครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะถาม “ที่เสด็จพ่อทรงเรียกหม่อมฉันเข้ามาเป็นเพราะทรงสงสัยว่ามิใช่อาการป่วยธรรมดาใช่หรือไม่เพคะ”
ฮองเฮามองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้แล้วพยักหน้า “ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ตอนที่องค์หญิงที่สิบห้าถูกนางในร่ายระบำวางยาพิษ ขณะที่กำลังสอบสวน จู่ๆ นางก็หัวใจวายเฉียบพลัน พระอาการของฝ่าบาทคราวนี้ก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เลยสงสัยว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับตั่วหมัวมัว…”
เจียงซื่อและอวี้จิ่นหันมาสบตากัน
ตั่วหมัวมัวตายไปแล้ว แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาสงสัยว่าในวังหลวงยังมีพวกของตั่วหมัวมัวหลงเหลืออยู่
ใบหน้าของเจียงซื่อแปลกไปเล็กน้อย
ฮองเฮาถามด้วยความสงสัย “พระชายาเยี่ยนอ๋อง ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เจ้าก็บอกมาตามตรงเถิด ข้าและเสด็จพ่อจะทำใจรับให้ได้”
ในเมื่อพระชายาเยี่ยนอ๋องสามารถสกัดหนอนพิษกู่ได้ อีกทั้งยังทำลายหนอนสัมพันธ์แม่ลูกจากตัวของเสด็จแม่ได้ ฉะนั้นหากนางจะช่วยแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทคงมิใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเสริม “ใช่ สะใภ้เจ็ด ร่างกายของข้าเป็นเช่นไร ต่อให้ไร้วิธีรักษา เจ้าก็บอกมาตามตรงเถอะ”
เจียงซื่อถึงจะยอมตอบ “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ มิใช่ว่าลูกไม่กล้าพูด แต่เป็นเพราะจากที่ลูกตรวจดูแล้ว พระอาการของเสด็จพ่อมิได้เกี่ยวข้องกับหนอนพิษกู่เพคะ…”
เรื่องนี้นางเองก็รู้สึกแปลกใจ ทั้งสองพระองค์สงสัยว่าโรคหัวใจนี้แลดูผิดปกติ แต่เมื่อตรวจดูแล้วกลับไม่พบความผิดปกติใดๆ
ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮานิ่งอึ้ง ได้แต่หันมามองหน้ากันเงียบๆ
“หรือว่า ข้าคงจะป่วยด้วยโรคหัวใจจริงๆ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ปรารภกับตัวเองด้วยความรู้สึกหนักหน่วง
ต่อให้เป็นหนอนพิษกู่ แต่เพราะมีสะใภ้เจ็ดอยู่ด้วย ก็ยังดีเสียกว่า เพราะหากเขาป่วยด้วยโรคหัวใจจริงๆ เกรงว่าสภาพร่างกายจะมีแต่แย่ลง
สีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้หม่นลง
“พระชายาเยี่ยนอ๋อง เจ้าแน่ใจหรือว่าโรคของฝ่าบาทมิได้มีความเกี่ยวข้องกับหนอนพิษกู่” ฮองเฮาตรัสถาม
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วหันไปมองฮองเฮา
ฮองเฮาถามเช่นนั้นจะเป็นการกดดันสะใภ้เจ็ด
เขาเป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งประมุขของประเทศ จึงเข้าใจดีว่ามิควรเอ่ยถามคำถามเช่นนั้น
แต่เจียงซื่อกลับตอบ “แน่ใจเพคะ”
คำตอบสั้นกระชับและแน่วแน่
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปมองเจียงซื่ออย่างอดไม่ได้
หากเทียบกับสตรีตัวบางร่างเล็ก และทรงสง่างามเหนือผู้ใดที่เขาเห็นครั้งแรกเมื่องานเลี้ยงชมดอกเหมย สตรีตรงหน้าเขาแลดูสงบนิ่งยิ่งกว่า คล้ายกับว่าต่อให้ภูเขาถล่มลงตรงหน้า สีหน้าของนางก็จะยังคงนิ่งเรียบไม่เปลี่ยนแปลง
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกชื่นชมในใจ
สะใภ้ของราชวงศ์ควรมีคุณสมบัติเช่นนี้
ฮองเฮากลับมองว่าเจียงซื่อจองหองเสียมากกว่า
เพราะที่นางถามเช่นนั้นเป็นเพราะไม่อยากปักใจเชื่อว่าฝ่าบาทจะประชวรจริงๆ เพราะหากมีพระชายาเยี่ยนอ๋องที่สามารถขจัดหนอนพิษกู่อยู่ด้วย การล้มป่วยด้วยโรคร้ายแลดูยุ่งยากมากกว่า
นางมิได้คาดหวังการยืนยันจากพระชายาเยี่ยนอ๋อง
สายตาของฮองเฮาเริ่มเปลี่ยนไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะกับตัวเอง “ข้าคงคิดมากไปเอง”
ฮองเฮากล่าวด้วยความละลายใจ “มิใช่เพราะพระองค์ทรงคิดมาก แต่เป็นเพราะหม่อมฉันคิดอะไรไม่เป็นสาระเองเพคะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตัดบท “ฮองเฮาก็ทำเพื่อข้าทั้งนั้น อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย”
เจียงซื่อขยับไปยืนอยู่ข้างอวี้จิ่น
“พานไห่ เรียกคนที่เหลือเข้ามา”
พานไห่ลังเลชั่วอึดใจก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง “ไท่จื่อ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนจะบอก “ให้ไท่จื่อเข้ามาด้วย”
ในเมื่อร่างกายเริ่มไม่สู้ดี เขาควรต้องรีบตัดสินใจให้ได้โดยเร็ว รอให้ร่างกายฟื้นตัวอีกหน่อย จะได้เรียกขุนนางมาหารือเรื่องปลดไท่จื่อเสียที
ครั้นได้ยินฮ่องเต้กล่าวเช่นนั้น ดวงตาของพานไห่เป็นประกาย
เขาอยู่กับฝ่าบาทมาเป็นสิบๆ ปีจึงเข้าใจฝ่าบาทเป็นอย่างดี
การที่ฝ่าบาทยอมพบไท่จื่อในสถานการณ์เช่นนี้ ในมุมของไท่จื่อแล้วกลับมิใช่เรื่องดี
ดูเหมือนว่าต้าโจวกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
เมื่อคิดว่าไท่จื่อกำลังจะถูกปลดอีกครั้ง พานไห่กลับรู้สึกว่าเรื่องราวคงไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาในใจก่อนจะเดินออกไป
เมื่อพานไห่ปรากฏตัว ทั้งหมดก็รีบล้อมวงเข้ามาถาม “เสด็จพ่อทรงเป็นเช่นไรบ้าง”
แต่ในความคิดของทุกคน เสด็จพ่อเรียกคู่ของเจ้าเจ็ดเข้าไปเป็นคนแรก แล้วใครจะได้เป็นรายต่อไป
พานไห่กวาดตามองรอบๆ พลางบอก “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านอ๋องทั้งหลายและพระชายาเข้าไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งหมดโล่งใจแต่กลับมีความรู้สึกแปลกๆ เจืออยู่ด้วย
ให้เจ้าเจ็ดกับภรรยาเข้าไปพบเพียงลำพัง แต่กลับให้พวกเขาเข้าเฝ้าพร้อมกันอย่างนั้นหรือ การกระทำของเสด็จพ่อช่างเหนือการคาดเดายิ่งนัก
ไม่ว่าแต่ละคนจะคิดเช่นไร พวกเขาก็ยอมเดินเข้าไปแต่โดยดี เหลือก็แต่ไท่จื่อที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ที่เก่า
พานไห่เดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าไท่จื่อพลางยกมือขึ้นคารวะ “องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงรับสั่งให้พระองค์เสด็จเข้าไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อชะงักงัน ความหวิววาบแวบผ่านแววตาก่อนจะเอ่ยปากถาม “เสด็จพ่อปรารถนาจะพบข้าแล้วรึ”
ทั้งหมดหันกลับมามอง
พวกเขาเองไม่คิดว่าเสด็จพ่อจะยอมพบหน้าไท่จื่อง่ายๆ เพียงนี้
ท่ามกลางพี่น้องคนอื่นๆ ไท่จื่อพยายามแสดงท่าทีสงบนิ่ง “ดีเหลือเกิน ในที่สุดเสด็จพ่อก็ยอมพบข้า”
ความหวาดหวั่นล้นอยู่เต็มอก ใจอยากจะวิ่งหนีไปไกลๆ
เขาทำให้เสด็จพ่อพิโรธถึงเพียงนั้น แต่จู่ๆ พระองค์ก็ยอมให้เข้าเฝ้า หรือว่าทรงทราบว่าเขาก่อเรื่องอะไรไว้
เป็นไปไม่ได้ เรื่องนั้นนอกจากเขาแล้ว ก็มีนางในอีกคนที่รู้ ไม่มีพยานคนที่สาม ฉะนั้นเสด็จพ่อไม่มีทางรู้เป็นอันขาด
ใช่แล้ว เสด็จพ่อไม่มีทางรู้เป็นอันขาด ฉะนั้นเข้าต้องไม่แสดงท่าทีตื่นกลัว!
ไท่จื่อพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วเดินตามคนอื่นๆ เข้าไป
มองปราดแรก ภาพที่เขาเห็นคืออวี้จิ่นและเจียงซื่อยืนเคียงคู่กัน ส่วนถัดมาคือฮ่องเต้ที่นั่งเอนหลังอยู่บนแท่นบรรทม
ทั้งหมดเอ่ยถาม “เสด็จพ่อ เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่เป็นไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มสำรวจจากฉินอ๋อง และไล่เรียงไปทีละคน
เจ้าคนโตเป็นคนรอบคอบ แต่อย่างไรแล้วก็เป็นเพียงบุตรบุญธรรม อีกอย่างคือเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว
เจ้าสี่อายุมากเป็นอันดับรองลงมาจากไท่จื่อและเจ้าสาม ชื่อเสียงถือว่าใช้ได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก
ส่วนเจ้าห้า หากได้เป็นไท่จื่อ มีหวังคงได้นั่งคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักทุกเช้าค่ำเป็นแน่
เจ้าหกก็ฉลาด แต่ไม่เคยผ่านบททดสอบใดๆ ส่วนเจ้าเจ็ดก็ใจกล้าเกินไป ส่วนเจ้าแปดก็อายุน้อยจนไม่ต้องเอามาเป็นตัวเลือก…
ความคิดแวบผ่านเข้ามาในหัวของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่ไท่จื่อ
ลมหายใจของไท่จื่อหยุดนิ่ง แต่กลัวใจกลับเต้นระรัว เขากลั้นใจถาม “เสด็จพ่อ ทรงเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ ลูกเป็นห่วงพระองค์…”
ไท่จื่อยังกล่าวไม่ทันจบ จู่ๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็มือขึ้นกุมหน้าอก ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด
ทั้งหมดตื่นตะลึง “เสด็จพ่อ เป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ”
แพทย์หลวงหลายคนพรวดเข้ามา ชุลมุนอยู่พักหนึ่งก่อนจิ่งหมิงฮ่องเต้จะค่อยๆ สงบลง เหงื่อท่วมร่างจนซึมซาบออกมาตามอาภรณ์ที่สวม
ฮองเฮากล่าวอย่างเดือดดาล “พวกเจ้านี่ช่างไร้ประโยชน์ เทียบโอสถที่ออกก็ใช้การไม่ได้ ข้าต้องทนดูฝ่าบาทเจ็บปวดทุรนทุรายเช่นนี้ไปเรื่อยๆ งั้นหรือ”
เหล่าแพทย์หลวงคุกเข่าลงแทบพื้น กราบขอขมายกใหญ่
ไท่จื่อเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด นอกจากความตกตะลึงแล้ว ความรู้สึกที่เหลือคือความปีติยินดี หุ่นไม้นั้นได้ผลจริงด้วย!
ในตอนนั้น อวี้จิ่นหันมามองไท่จื่อพอดี