ไท่จื่อที่ถูกอวี้จิ่นจ้องมองเช่นนั้นแทบจะเป็นอัมพาต ศีรษะของเขาปวดหนึบขึ้นทันใด
หรือว่าแสดงไม่สมบทบาท เจ้าเจ็ดจับได้แล้วหรือ
เจ้าเจ็ดมิใช่พวกที่จะไปสุงสิงด้วย ไอ้นี่มันอันธพาล
ในวินาทีนั้น ไท่จื่อปล่อยเรื่องที่อวี้จิ่นเคยช่วยชีวิตบุตรชายของตัวเองเลือนหายไปในความทรงจำ
อวี้จิ่นมองไปที่ไท่จื่อด้วยสายตากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม
ไท่จื่อกำลังทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะ
แม้ไม่รู้ว่าไท่จื่อทำผิดเรื่องใด แต่การจ้องมองเช่นนี้แล้วเขามีอาการประหม่าก็พอจะบอกได้
คนเขลาก็ยังเป็นคนเขลาอยู่วันยังค่ำ ทำความผิดไว้ก็ย่อมกระวนกระวายใจเป็นธรรมดา
ใบหน้าของอวี้จิ่นยังคงนิ่งเรียบไม่สื่ออารมณ์ ทว่าในใจกลับรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่งยวด
ไท่จื่อมีเหงื่อเย็นเฉียบไหลซึม
เจ้าเจ็ดกำลังคิดอะไร
ไท่จื่อว้าวุ่นแทบจะทนไม่ได้
ฮองเฮาคลุมผ้าพื้นบางให้จิ่งหมิงฮ่องเต้แล้วจึงหันไปกล่าวแก่คนอื่นๆ “พวกเจ้ากลับไปเถิด ฝ่าบาทต้องพักผ่อน ส่วนเรื่องวันนี้ก็อย่าได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ คนอื่นๆ จะได้ไม่กังวล”
“น้อมรับพระบัญชาเสด็จแม่” ทั้งหมดกล่าวเป็นเสียงเดียวก่อนจะกลับออกไป
ฉีอ๋องครุ่นคิดในขณะที่พาพระชายาฉีไปที่ตำหนักอวี้เฉวียน
เสียนเฟยกำลังเป็นทุกข์ใจ
เมื่อก่อนฮองเฮามิได้เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท แต่มิรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฝ่าบาทเอะอะอะไรก็เสด็จไปแต่ที่ตำหนักคุนหนิง
ฝ่าบาทประชวรคราวนี้ นางไปขอเข้าเฝ้าที่ตำหนักทุกวัน นางไปมาแล้วถึงสามครั้ง การได้เข้าเฝ้าหนึ่งครั้งก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว เมื่อได้ทราบข่าวว่าอาการประชวรกำเริบหนัก นางก็รีบไปที่ตำหนักหย่างซินทันที แต่ถึงกระนั้นกลับมิได้เห็นพระพักตร์ของฝ่าบาท
มีที่ไหนกัน นางเป็นนางสนมของฝ่าบาท ฮองเฮามีสิทธิ์อะไรมาห้ามมิให้นางเข้าเฝ้า
สิ่งเดียวที่ยังปลอบใจนางได้คือ จ้วงเฟยและสนมคนอื่นๆ ก็ยังมิได้เห็นพระพักตร์ฮ่องเต้เลยสักครั้ง
“เหนียงเหนียง ฉีอ๋องและพระชายาเสด็จมาถึงแล้วเพคะ”
เมื่อได้ยินนางในรายงานเช่นนั้น เสียนเฟยก็รีบให้ทั้งสองเข้ามา
“พวกเจ้าเพิ่งออกมาจากพระตำหนักหย่างซินหรือ ได้พบเสด็จพ่อหรือไม่” ไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ เมื่อให้บ่าวรับใช้ออกไปหมดแล้ว เสียนเฟยก็เข้าประเด็นทันที
ฉีอ๋องผงกศีรษะรับ “เข้าเฝ้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาททรงเป็นเช่นไรบ้าง”
ฉีอ๋องตอบเสียงเบา “พระพักตร์ยังดูอ่อนเพลีย พวกกระหม่อมเข้าเฝ้าเพียงไม่นาน จู่ๆ อาการประชวรก็กำเริบหนัก ดูอาการแล้วมิค่อยสู้ดีพ่ะย่ะค่ะ…”
“ฮองเฮาก็ประทับอยู่ที่นั่นงั้นหรือ”
เมื่อเห็นฉีอ๋องพยักหน้า ใบหน้าของเสียนเฟยก็เริ่มคล้ำหม่น นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ฮองเฮาคงตั้งใจจะกุมอำนาจคนเดียวสิท่า!”
“เสด็จแม่ จากที่ข้าเห็น เสด็จพ่อทรงวางพระทัยในฮองเฮายิ่งนัก ต่อให้เสด็จแม่จะไม่พอพระทัยฮองเฮาเพียงใด อย่าแสดงออกมาเลยจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ…”
เสียนเฟยสงบสติอารมณ์ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “เรื่องนี้เจ้ามิต้องมาสอนข้า”
แม้ในใจจะรู้สึกขุ่นเคืองเพียงใดที่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเฝ้าเช่นนั้น แต่ในตอนนั้นนางก็ตอบรับยิ้มอ่อน ไม่เหมือนหนิงเฟยที่เอาแต่บ่นกระปอดกระแปด
อย่างไรแล้ว ฮองเฮาก็ยังเป็นฮองเฮา ต่อให้นางจะไม่เต็มใจก็ทำได้เพียงอดทน
เสียนเฟยรู้สึกอัดอั้นหนักกว่าเก่า นางชำเลืองไปที่ฉีอ๋องอีกครั้ง “แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงมายามนี้ได้”
ฉีอ๋องคลี่ยิ้ม “เสด็จแม่มิต้องกังวลพระทัยไปหรอกพ่ะย่ะค่ะ เจ้าห้า เจ้าหกก็ไปหาพระมารดาของตนเหมือนกัน”
“แล้วเจ้าเจ็ดล่ะ” เสียนเฟยถามอย่างไม่ใส่ใจ
“น้องเจ็ด…” ฉีอ๋องเว้นวรรคก่อนจะกล่าว “เจ้าเจ็ดกับน้องสะใภ้กลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยตบโต๊ะฉาดใหญ่ พลางกล่าวเย็นชา “ข้านึกแล้วเชียวว่าเจ็บท้องคลอดลูกเนรคุณออกมา!”
ถึงอย่างไร นางก็อุ้มท้องเจ้าเจ็ดมาถึงสิบเดือน ไม่คิดเลยว่าไอ้ลูกเนรคุณจะไร้เยื่อใยกับนางเพียงนี้
พระชายาฉีอ๋องนิ่งเงียบตลอดการสนทนา เมื่อเห็นเสียนเฟยพลุ่งพล่านเช่นนั้น นางก็ได้แต่บุ้ยปากเงียบงัน
“เสด็จแม่อย่ากริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” ฉีอ๋องโน้มน้าว พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่ลูกมาหาเสด็จแม่ยามนี้เพราะมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามาเถิด” เมื่อเห็นว่าบุตรชายกำลังจะเข้าเรื่องจริงจัง เสียนเฟยถึงได้สงบลง
ฉีอ๋องกล่าวเสียงเรียบ “พวกกระหม่อมไปขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพร้อมกัน แต่กลายเป็นว่า เสด็จพ่อกลับรับสั่งให้เจ้าเจ็ดและน้องสะใภ้เจ็ดเข้าไปก่อนคนอื่น…”
เสียนเฟยหรี่ตา “มีเรื่องประหลาดเช่นนี้ด้วยหรือ”
ฉีอ๋องพยักหน้า “เสด็จแม่ ท่านว่าเสด็จพ่อทรงทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
เสียนเฟยขมวดคิ้วมุ่นมิได้กล่าวเอ่ย
ฝ่าบาทเรียกเจ้าเจ็ดเข้าไปเป็นการส่วนตัวงั้นหรือ หรือว่าพระองค์จะเริ่มเลอะเลือนเสียแล้ว
“จากที่ข้าเห็น ตำแหน่งองค์รัชทายาทของไท่จื่อสั่นคลอนเต็มที เจ้าเองก็ต้องระวังตัวให้มาก ถัดมาจากไท่จื่อก็ต้องเป็นเจ้า เจ้ามิได้เป็นอย่างจิ้นอ๋องที่เกิดมาจากนางใน ชื่อเสียงดีทั้งฝ่ายขุนนางและฝ่ายทหาร ตราบใดที่เจ้ารักษาส่วนดีนี้ไว้ ต่อให้เสด็จพ่อของเจ้าจะโปรดปรานบุตรคนใด ก็ไม่มีใครเอาชนะเจ้าได้ เพราะหากมีทายาทโดยชอบธรรมก็ต้องเลือกทายาทโดยชอบธรรม แต่หากไม่มีแล้วไซร้ ก็ต้องเลือกบุตรชายองค์โต นี่เป็นธรรมเนียมที่ส่งทอดมาตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษ แต่หากละเมิดข้อปฏิบัตินี้ และแต่งตั้งคนอื่น เจ้าก็ดูมีความเป็นไปได้มากที่สุด การเลือกคนที่รักมาเป็นผู้สืบทอดคือการกระทำของประมุขผู้ใจเสาะ”
เสียนเฟยจิบชาให้ชุ่มคอ พลางกล่าวต่อ “ไท่จื่อไร้ความสามารถ หนำซ้ำยังไร้คุณธรรม ปลดไปแล้วก็สถาปนาขึ้นมาใหม่ เป็นเพราะเสด็จพ่อของพวกเจ้ารักษาธรรมเนียมปฏิบัติข้อนี้ ไม่ยอมปล่อยไท่จื่อที่เป็นโอรสองค์โตไปง่ายๆ หรือต่อให้ท้ายที่สุดไท่จื่อล้มลง คนอื่นๆ ที่คิดจะแย่งชิงกับเจ้าก็เป็นเรื่องยากยิ่ง”
ไม่ว่าบุตรชายที่มีอันดับรองลงมาจะธรรมดาเพียงใด หรือต่อให้น้องชายคนอื่นๆ จะโดดเด่นเพียงใด สุดท้ายแล้วผู้ที่จะได้รับตำแหน่งต่อก็ต้องเป็นบุตรชายองค์โตเท่านั้น นี่คือกฎปฏิบัติที่แม้แต่ประมุขของประเทศก็ต้องตามทำ
“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าอยู่ในวังหลวงนานๆ” เสียนเฟยหันมามองร่างของพระชายาฉีอ๋องพลางกล่าวเนิบนาบ “สะใภ้สี่ เจ้าต้องดูแลท่านอ๋องให้ดี ค่อยแบ่งเบาภาระ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจ หากเจ้าสี่ได้ดี เจ้าก็จะได้ดีตามไปด้วย”
พระชายาฉีหลุบตาพลางตอบ “ลูกทราบแล้วเพคะ”
……
ภายในตำหนักชุนหว่า หนิงเฟยกำลังสั่งสอนหลู่อ๋อง
“นี่เจ้าว่างนักหรือ ถึงได้ไปเหยียบกางเกงของไท่จื่อ”
เรื่องที่หลู่อ๋องเหยียบขากางเกงไท่จื่อจนนวมหุ้มเข่าโผล่ออกมาแพร่สะพัดไปทั่ววังหลัง นางที่เป็นพระมารดาของหลู่อ๋องย่อมทราบเรื่องนี้อย่างแน่นอน
คิดถึงเรื่องนี้คราใด หนิงเฟยเป็นต้องโมโหทุกครั้งไป
ยิ่งเห็นสีหน้าดื้อด้านของบุตรชาย ใบหน้าของนางก็ยิ่งขมึงทึง
“คนอื่นๆ เขาอยู่เฉยๆ แต่เจ้ากลับแสดงตัวโจ่งแจ้ง กลัวไท่จื่อจำเจ้าไม่ได้หรือ”
หลู่อ๋องหัวเราะคิกคัก “เสด็จแม่อย่าได้โมโหไปเลย ลูกมิได้จงใจเสียหน่อย…”
หนิงเฟยถลึงตาพร้อมเอ่ยเกรี้ยวกราด “ไอ้ลูกตัวดี ยังกล้าบอกว่ามิได้จงใจ แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
หลู่อ๋องพึมพำ “หน้าของเสด็จแม่ก็ต้องอยู่ที่เดิมสิ”
เมื่อเห็นว่าหนิงเฟยกำลังมีน้ำโห พระชายาหลู่อ๋องจึงแอบยกเท้าเตะเข้าที่ด้านหลังของหลู่อ๋อง
หลู่อ๋องเข่าอ่อนทรุดลงไปในท่าคุกเข่า มือเกาะเกี่ยวขาของหนิงเฟยพลางอ้อนวอน “ลูกสำนึกผิดแล้ว เสด็จแม่อย่าโมโหเลยนะพ่ะย่ะค่ะ โมโหมากๆ พระพักตร์เหี่ยวย่นไม่คุ้มเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงเฟยมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหมองหม่น
มีดอยู่ไหน นางจะบั่นคอไอ้ลูกตัวดีเดี๋ยวนี้!
……
เนื่องจากฮ่องเต้ประชวรด้วยโรคหัวใจเฉียบพลัน แต่ละตำหนักมีท่าทีตอบสนองแตกต่างกันไป
เมื่อกลับมาถึงตำแหน่งเยี่ยนอ๋อง เจียงซื่อจึงถามอวี้จิ่น “ตอนนั้นเจ้าเห็นไท่จื่อทำอะไรงั้นหรือ”
อวี้จิ่นลูบคางพลางบอก “ไท่จื่อดูมีพิรุธ”
“หืม?”
“ไท่จื่อเร้าโทสะเสด็จพ่อไม่เว้นวัน กว่าจะได้เข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เขาควรจะมีท่าทียินดี แต่จากที่ข้าเฝ้าสังเกต เมื่อไหร่ที่เสด็จพ่อหันมาทางเขา ลมหายใจของเขาจะถี่ขึ้น ดูมิใช่ความตื่นเต้นดีใจ แต่เหมือนทำอะไรผิดมา เหมือนพวกวัวสันหลังหวะ” อวี้จิ่นอรรถาธิบายอย่างใจเย็น
เขาฝึกวิทยายุทธ์มาตั้งแต่เล็ก ถึงได้อ่อนไหวต่อจังหวะหายใจของคู่ต่อสู้ ในตอนนั้นจึงสังเกตเห็นว่าไท่จื่อมีอาการผิดแผกไปจากปกติ
“อาจิ่น เจ้าว่าโรคหัวใจเฉียบพลันของเสด็จพ่อเกี่ยวข้องกับไท่จื่ออย่างนั้นหรือ”