บทที่ 459 ความจริงในเหตุเพลิงไหม้
หลังจากที่กู้เจียวออกจากวังก็เดินทางไปที่ถนนจูเชวี่ย
กระบวนการรักษาขั้นแรกขององค์หญิงซิ่นหยางเป็นอันเสร็จสิ้น ผลออกมาไม่เลวเลยทีเดียว และกำลังจะเข้าสู่กระบวนการรักษาขั้นที่สอง
กู้เจียวนำยาที่หยิบออกจากกล่องยาน้อยขอองนางบรรจุในขวดแล้วยื่นให้แก่องค์หญิง
ทั้งสองไม่มีใครพูดถึงเรื่องในวัง
ต่อให้ไม่พูดถึง แต่องค์หญิงก็พอจะทราบเรื่องแล้ว ด้วยความที่นางมีคนเก่าแก่ที่ยังทำงานอยู่ในวัง พวกเขามักจะคอยส่งข่าวให้ยามจำเป็น เช่นครั้งก่อนที่องค์หญิงทราบข่าวเรื่ององครักษ์จับตัวหลงอีไป ก็เพราะมีคนในคอยคาบข่าวให้ตลอด
แต่คราวนั้นองค์หญิงเกิดดื่มจนเมาเสียก่อน กลายเป็นว่าเซียวลิ่วหลังต้องไปช่วยคุยให้เซียวฮองเฮาใจเย็นลง
ส่วนจะใช้วิธีอะไรนั้นต่อให้ไม่พูดคงเดาได้ไม่ยาก ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายสารภาพถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาเองให้ฮองเฮารับรู้
เริ่มมีคนรู้ถึงตัวตนของเขาเยอะขึ้น ดูเหมือนผ้าผืนนี้เริ่มจะดับไฟไว้ไม่อยู่เสียแล้ว
“องค์หญิงทรงคิดอะไรอยู่หรือเพคะ” กู้เจียวสังเกตอาการเหม่อลอยขององค์หญิง
“ไม่มีอะไรหรอก” องค์หญิงเรียกสติตัวเองกลับมา แล้วมองไปที่ขวดยาที่อยู่บนโต๊ะ “เท่านี้รึ เหมือนจะน้อยกว่ารอบที่แล้วนะ”
กู้เจียวอธิบาย “อาการขององค์หญิงเริ่มดีขึ้น จึงไม่ต้องทานยาตัวเก่าแล้วเพคะ”
องค์หญิงพยักหน้า
อวี้จิ่นเดินเข้ามาจากนั้นเก็บขวดยาออกไปอย่างดี
ขณะที่กู้เจียวเตรียมจะอำลา จู่ๆ องค์หญิงเกิดลังเลขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกับขาของเขารึ”
“องค์หญิงทรงต้องการทราบว่าขาของเขาเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หรือทรงอยากทราบว่าขาของเขาสามารถรักษาให้หายเป็นปกติเพคะ”
“ถามทั้งหมดนั่นแหละ”
กู้เจียวที่เก็บของลุกขึ้นเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วเป็นอันต้องวางข้าวของลงบนโต๊ะ “เป็นเพราะเขาออกตัวช่วยเหลือคนอื่นถึงได้รับบาดเจ็บเช่นนั้น ซ้ำร้ายเขาไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องทำให้ขาขวาของเขาเกิดพิการ เขาจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่ก้าวเดิน”
องค์หญิงซิ่นหยางกำหมัดแน่น
กู้เจียวเล่าต่อ “ผ่านไปประมาณหนึ่งปี เขาถึงได้เข้ารับการผ่าตัดเพื่อให้ขาขวาเข้าที่ แต่ด้วยความที่เขาอยู่ในสภาพพิการมาเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อขาไร้เรี่ยวแรงจึงไม่สามารถเดินได้เหมือนปกติ เขาใช้เวลากว่าครึ่งปีในการทำกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากยิ่งนัก”
นัยน์ตาองค์หญิงเริ่มสั่นคลอ “แล้วเหตุใดถึงไม่ดีขึ้นเลยล่ะ”
“อาการที่ร่างกายของเขาดีขึ้นแล้วเพคะ” กู้เจียวเอ่ยจบก็ชี้นิ้วไปที่หน้าอกข้างซ้าย “แต่ตรงนี้ เป็นที่ที่มีดผ่าตัดของหม่อมฉันเข้าไปไม่ถึงเพคะ”
…
เรื่องที่หนิงอ๋องถูกปลดทำให้เกิดความโกลาหลในเมืองหลวง ราชครูจวงจงใจบงการฝูงชนและพยายามใช้เงินปิดปากพวกเขา แต่หารู้ไม่ว่าเซียวฮองเฮากำลังดักทุกทางเช่นกัน
ราชครูจวงให้เท่าไหร่ นางให้มากกว่าเขาสามเท่า!
อย่างน้อยก็เห็นได้ว่าเซียวฮองเฮาไม่ขี้เหนียวเหมือนกับพี่ชายของนาง
กระนั้น คนที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้สุดเห็นจะเป็นจี้จิ่วอาวุโส ไม่ว่าเขาจะได้เงินจากใคร เขาจะช่วยล้างมลทินให้คนคนนั้นโดยการเขียนข่าว จากนั้นก็ขายข่าวให้แก่บัณฑิตทั้งหลายในโรงน้ำชา
เนื้อหาที่เขาเขียนมีเหตุผล เข้าใจง่าย เลือกสรรคำมาอย่างดี และได้รับการตอบรับอย่างดีจากเหล่าเพื่อนพ้องในโรงน้ำชา
เซียวฮองเฮาเอาชนะราชครูจวงได้สำเร็จโดยอาศัยอุปนิสัยจ่ายไม่อั้นของนางซึ่งต่างจากพี่ชายของนางอย่างสิ้นเชิง และได้รับรางวัลล้างบาปขั้นสูงสุดจากจี้จิ่วอาวุโส
และแน่นอนว่าจี้จิ่วอาวุโสย่อมต้องเขียนข่าวโดยไม่เปิดเผยตัวตนและชื่อจริงของเขา
เซียวฮองเฮาเองยังนึกว่าตัวเองได้เจอคนเขียนข่าวเก่งๆ พอดี แต่หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะจำนวนเงินของนางต่างหาก
จี้จิ่วอาวุโสได้เงินค่าขนม
เขาตบถุงเงินของตัวเองอย่างพอใจ พลางนึก เขาไม่ต้องกังวลว่าจวงจิ่นเซ่อจะมาปล้นเงินของเขาแล้วสินะ!
แต่พอเขาเข้าไปในห้อง ไม่วายก็โดนไถเงินจนได้
จี้จิ่วอาวุโส ’ฮือ เงินยังไม่ทันหายร้อนเลยนะ’
อาการป่วยกะทันหันของไท่จื่อเฟยจนเป็นอันต้องเสด็จไปที่วังเพื่อพักฟื้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องวุ่นวายของหนิงอ๋อง อันที่จริง ไม่ว่าจะเรื่องของหนิงอ๋องก็ดี เวินหลินหลังก็ดี ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตรอกปี้สุ่ยมากนัก เพราะคนที่พวกเขากังวลมากที่สุดก็คือเซียวลิ่วหลัง
ดูเหมือนร่างกายเขากำลังผอมซูบลงอีกแล้ว
ท่านป้าหลิว “นี่ ท่านป้าฮั่ว พ่อหนุ่มลิ่วหลังของเจ้าเป็นอะไรไปหรือ ทุกครั้งที่ข้าเห็นเขาสภาพเหมือนคนอมทุกข์เลย”
จวงไทเฮาถอนหายใจ “เฮ้อ สงสัยคิดถึงแม่กระมัง”
“เอ๋ เขามีแม่ด้วยรึ” ด้วยความที่ท่านป้าหลิวไม่เคยเห็นหรือแม้แต่ได้ยินสมาชิกในบ้านพูดถึงแม่ของเซียวลิ่วหลัง เลยคิดว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าแม่ “แม่ของเขาคงหน้าตาสะสวยน่าดูสินะ”
อย่างไรเสียพ่อของเขาหน้าตาดีใช่เล่น
พอท่านป้าหลิวนึกถึงเซวียนผิงโหว ยังแอบคิดเลยว่าเขาหน้าตาดีกว่าลูกชายของท่านป้าฮั่วเสียอีก
ที่จริงไม่เคยมีใครบอกกับท่านป้าหลิวว่าเซวียนผิงโหวกับลิ่วหลังเป็นพ่อลูกกัน แต่พอพวกเขายืนข้างกัน ทุกคนย่อมเข้าใจว่าพวกเขาเป็นพ่อลูกกันโดยปริยาย
“ก็ใช้ได้แหละ” จวงไทเฮาทำหน้าครุ่นคิดพลางตอบ
ความสวยขององค์หญิงซิ่นหยางได้รับตกทอดจากอดีตจักรพรรดิและพระสนมอวี๋ ขนาดหนิงอันยังเทียบไม่ติด
“เช่นนั้น ท่านป้าฮั่ว ท่านคิดว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านป้าหลิวเอ่ยถามพลางวางท่า “อย่างข้าก็ไม่เลวใช่ไหม”
จวงไทเฮามองคนตรงหน้าหัวจรดเท้า พลางนึก เจ้าเป็นคนแรกนะที่กล้าเทียบความสวยกับองค์หญิงซิ่นหยาง
จวงไทเฮานับถือความใจกล้าของนางแล้วพยักหน้า “อืม ไม่เลวเลย”
ท่านป้าหลิวยืดอกพลางเอามือเท้าเอว “หากแม่เขาไม่ต้องการเขา เดี๋ยวข้าจะเป็นแม่ให้เขาเอง! ถ้านางกล้าจริงก็มาแข่งกันสักตั้ง!”
สิ้นเสียงท่านป้าหลิว รถม้าคันหนึ่งก็ได้เข้าจอดเทียบ ปรากฏสตรีในอาภรณ์สีเขียวเดินลงจากรถ
ปกติท่านป้าหลิวมักจะสนใจแต่ใบหน้าของหนุ่มหล่อเท่านั้น แต่คราวนี้อานุภาพความสวยของสตรีผู้นี้ทำให้นางถึงกับอึ้งชะงักไป
คนอะไรงามได้ขนาดนี้
ท่านป้าหลิวว่าตกตะลึงกับรูปลักษณ์ของอวี้จิ่นแล้ว พอเจอกับองค์หญิงซิ่นหยางที่ลงจากรถม้าต่อจากอวี้จิ่น ก็ถึงกับนิ่งจนกลายเป็นหินไปในทันที
จวงไทเฮาหน้านิ่งพลางตบไหล่ท่านป้าหลิวหนึ่งที “นี่ไง คู่แข่งเจ้ามาแล้ว”
ท่านป้าหลิว “…”
เมื่อองค์หญิงเห็นจวงไทเฮาก็เกิดตะลึงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะตกใจว่าทำไมพระองค์ถึงมาปรากฏตัวที่นี่ แต่เพราะการแต่งกายเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไปของพระองค์
นอกจากนั้น ยังทรงนั่งยกขาไขว่ห้างกินเมล็ดแตงโมอย่างสบายๆ และก็ไม่ได้แสดงอคติใดๆ เมื่อเจอหน้ากัน
ดูอย่างไรก็เหมือนกับเจ้าถิ่น
นี่คือจวงไทเฮาในรูปแบบที่องค์หญิงไม่เคยเห็นมาก่อน นางเชื่อเสมอว่าคนระดับสูงมักมีสองตัวตน แต่นางคิดไม่ถึงว่าสองตัวตนที่ว่าจะต่างกันราวฟ้ากับเหวขนาดนี้
องค์หญิงรีบเก็บอาการอย่างรวดเร็ว ก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับเล็กน้อย และไม่ได้เปิดเผยตัวตนของจวงไทเฮาต่อหน้าเพื่อนบ้าน
ขณะที่องค์หญิงกำลังเปิดปากเอ่ย “ข้า…”
“ห้องฝั่งตะวันตก” จวงไทเฮาเอ่ยพลางขบเมล็ดแตงโมอย่างไม่แยแสรอบข้าง
แน่นอนว่าห้องฝั่งตะวันตกนั้นหาไม่ยากนัก
หลังจากองค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยขอบคุณจวงไทเฮาก็เดินเข้าไปในห้องหลัก ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
ประตูห้องถูกเปิดแง้มไว้ เซียวลิ่วหลังกำลังง่วนกับการศึกษาตำราเลขของแคว้นเยี่ยน ตอนแรกกู้เจียวคิดว่ามันเป็นหนังสือตำราเลขหลัก แต่พออ่านดูจริงๆ ก็พบว่ามันไม่ใช่แค่หนังสือวิชาเลขหลักธรรมดาๆ เท่านั้น เนื้อหาของมันไปไกลกว่านั้นมาก นอกจากเนื้อหาหลักของหนังสือแล้ว ดูเหมือนจะมีบันทึกของเจ้าของหนังสืออยู่ในนั้นด้วย
ช่วงที่เซียวลิ่วหลังไปที่สำนักฮั่นหลินไม่ได้ เขาก็ใช้เวลาศึกษาเรื่องพวกนี้
เขาด่ำดิ่งกับเนื้อหาเกินไปเสียจนไม่รู้ตัวว่ามีแขกมาที่เรือน
องค์หญิงซิ่นหยางค่อยๆ ย่องเข้าไปอย่างเงียบๆ พลางทอดสายตาชื่นชมของตกแต่งต่างๆ ในห้อง แม้จะเทียบไม่ติดกับที่ตำหนักองค์หญิง แต่ห้องที่นี่ทั้งดูสะอาดสะอ้าน ทั้งให้ความรู้สึกอบอุ่นอีกทั้งมีกลิ่นหอมของหนังสือ
ความรู้สึกอบอุ่นนั้น มาจากกล่องเล็ก ๆ ที่ยุ่งเหยิงบนพื้น
กล่องอันรกรุงรังของจิ้งคง ทุกครั้งเขามักจะหาของไม่เจอ และเป็นอันต้องเทของทั้งหมดออกจากกล่องทุกครั้งไปจึงจะหาเจอ
อย่างไรก็ตาม ความยุ่งเหยิงที่ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ได้นี้ทำให้ห้องที่เงียบสงบและเย็นนี้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน
ส่วนโต๊ะหนังสือของเซียวลิ่วหลังถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน
ส่วนที่ใหญ่ที่สุดของโต๊ะถูกเจ้าตัวเล็กยึดที่ไปเรียบร้อย อีกสองส่วนที่เหลือคือพื้นที่ส่วนของเซียวลิ่วหลัง และส่วนที่เขาใช้ร่วมกับเจ้าตัวเล็ก
บนโต๊ะมีผลงานที่จิ้งคงวาดลวดลายต่างๆ
เพียงแค่มองไปที่เส้นบนโต๊ะ ความคิดขององค์หญิงก็ปรากฏขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยภาพขนาดใหญ่และขนาดเล็กที่จ้องมองกันและกันเพื่อแย่งชิงดินแดน
จู่ๆ องค์หญิงพลันรู้สึกถึงความขมขื่นอย่างห้ามไม่ได้
จากโหวเหย่ผู้สามารถซื้อโต๊ะได้ทั่วโลกเพียงแค่ดีดนิ้ว ต้องมาใช้โต๊ะร่วมกับเด็กตัวน้อยๆ ในสถานที่แบบนี้
ดูเหมือนองค์หญิงจะเริ่มรับสภาพได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับตอนเจอเขาในครัวครั้งก่อน
เซียวลิ่วหลังเอาแต่ก้มหน้า จนกระทั่งเขาจะทำโจทย์เลขเสร็จ และในเวลานี้ เวลาผ่านไปสองในสี่ตั้งแต่องค์หญิงเข้ามาในห้อง
เซียวลิ่วหลังมองไปที่องค์หญิงซึ่งกำลังเฝ้าดูเขาอย่างเงียบๆ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ข้าขอ…พูดคุยกับเจ้าได้หรือไม่ พูดเสร็จแล้วข้าจะออกไป” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยถาม
นัยน์ตาของเซียวลิ่วหลังเริ่มสั่น เขานิ่งอยูครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “ตกลง”
องค์หญิงซิ่นหยางปิดประตูลง แล้วเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามเขา
แสงแดดยามบ่ายส่องเข้าหน้าต่าง ห้องเงียบเสียจนพวกเขาเสียงซุบซิบของเพื่อนบ้านว่าลูกสะใภ้กำลังจะคลอดแมวของใครและทำแมวหายที่ลอดเข้ามาในห้อง
เป็นเวลาสี่ปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้มานั่งด้วยกันเช่นนี้ ทั้งสองต่างรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ความอึดอัดแบบนี้มีมากขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกที่ร้าวฉาน ทั้งคู่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร และไม่รู้ว่าควรรักษาความสัมพันธ์ไว้หรือไม่
ท้ายที่สุด องค์หญิงเป็นฝ่ายเปิดปากชวนคุยก่อน “ไหนลองเล่าเรื่องของเจ้ามาซิว่าหลังออกจากเมืองหลวง เจ้าไปที่ไหนมาบ้าง”