บทที่ 460 สารภาพ

เซียวลิ่วหลังนิ่งไป ไม่แน่ใจเป็นเพราะตัวเขาเองไม่ต้องการตอบ หรือไม่เต็มใจที่จะตอบ

องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยกับเขา “ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าขอพูดก่อน”

เซียวลิ่วหลังแค่นเสียงหัวเราะ “พูดอะไรรึ ท่านจะพูดว่าท่านไม่อยากเจอข้า ไม่อยากเห็นหน้าข้า หรือแม้แต่ไม่อยากจะให้ข้าอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ ก็เลยมาไล่ข้าออกไปด้วยตัวเองอย่างนั้นสิ คนอย่างข้า ไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้แล้ว ใช่ไหมท่าน”

ม่านตาขององค์หญิงเริ่มหดลงราวกับตกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินแต่กระนั้นก็ยังต้องเผชิญหน้ากับคนตรงหน้า นางก้มหน้าลง พยายามเก็บสีหน้าไว้ “ข้าไม่ได้จะมาไล่เจ้า ข้าแค่อยากพูดเรื่องเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อนเท่านั้น”

เซียวลิ่วหลังเบือนหน้าหนี “ข้าไม่อยากพูดถึง”

แต่ดูเหมือนองค์หญิงจะไม่ได้ยินคำปฏิเสธของเขา ยังคงเอ่ยต่อ “เริ่มจากตรงไหนดีนะ ไม่อย่างนั้น เริ่มจากน้องชายของเซียวซู่ดีไหม”

เซียวซู่

ชื่อนี้กระแทกเข้ากับความทรงจำที่ถูกฝังลึกและปิดสนิทของเขา

มารดาของเซียวซู่คือแม่นางเฉินอวิ๋น และเขามีน้องชายเพียงคนเดียว คือเซียวลิ่วหลังตัวจริง

องค์หญิงเอ่ย “เมื่อตอนที่แม่นางเฉินอวิ๋จากไป นางขอให้ลูกชายคนโตพาน้องชายของนางไปเมืองหลวงเพื่อตามหาพ่อของเขา แต่น่าเสียดายที่พวกเขาถูกปฏิเสธโดยคนรับใช้ของจวนโหว ไม่มีใครเชื่อพวกเขา และไม่มีใครเต็มใจที่จะบอกพวกเขา จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับเซียวเหิง เด็กหนุ่มปรมาจารย์แห่งแคว้นเจา ที่เพิ่งเลิกเรียนจากกั๋วจื่อเจียน”

ขณะที่นางเอ่ยชื่อเขา สายตาของนางจับจ้องไปที่ใบหน้าของเซียวลิ่วหลัง

เซียวลิ่วหลังเม้มริมฝีปากบางแน่น และยกกำปั้นขึ้นเล็กน้อย

เขาไม่สบตากับคนตรงหน้า

“เซียวเหิงเป็นเด็กจิตใจดี พอได้ยินเรื่องราวของเซียวลิ่วหลัง นอกจากจะไม่แสดงอาการดูถูกใดๆ ยังรู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องเล่าอันน่าสลดนี้ไปด้วย”

เซียวลิ่วหลังนึกถึงครั้งแรกที่เขาเจอกับเซียวซู่และเซียวลิ่วหลังตัวจริง ใบหน้าของพวกเขาค่อนข้างคล้ายกับเขาเอง เพียงแต่ตอนนั้นพวกเขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ซุกตัวอยู่ที่มุมด้านนอกจวนโหว

เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง จึงเดินเข้าไปถาม ‘พวกเจ้าเป็นใคร’

‘ข้า ข้ามีนามว่าเซียวลิ่วหลัง ส่วนนี่คือผู้ร่วมเดินทางของข้า และสิ่งนี้คือ…’ เซียวลิ่วหลังตัวจริงเอ่ยพลางคว้าตราที่เซวียนผิงโหวเคยมอบไว้ให้กับแม่นางเฉินอวิ๋น ซึ่งเป็นตราเก่าแก่และตอนนั้นเซวียนผิงโหวได้เปลี่ยนตราใหม่แล้ว

กระนั้น เซียวเหิงสามารถมองออกได้ว่าสิ่งนั้นคือตราของเซวียนผิงโหว

เซียวเหิงเอ่ยถาม ‘เจ้ามีตราของเซวียนผิงโหวได้อย่างไร’

เซียวลิ่วหลังมองเขาอย่างเขินอายและพูดตะกุกตะกัก ‘สิ่งนี้ ข้าได้มาจากมารดาของข้า นาง นางขอให้ข้านำสิ่งนี้มาที่เมืองหลวงเพื่อตามหาบิดาของข้า แต่เขา เขา พวกเขาไม่ให้ข้ากับพี่ชายข้าเข้าไป’

เซียวเหิงร้องอ๋อ พลางเอ่ย ‘เขาเป็นพี่ชายเจ้ารึ หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย เจ้าเหมือนข้ามากกว่าอีก’

‘เอ่อ…’ เซียวลิ่วหลังทำตัวไม่ถูก

ดูเหมือนว่าตอนนั้นเซียวซู่จะพอเดาตัวตนของเซียวเหิงได้แล้ว เขาจึงคุกเข่าอ้อนวอนเซียวเหิงขอโอกาสให้น้องชายของเขาได้พบเจอกับพ่อแท้ๆ ของเขาสักครั้ง

เซียวเหิงตบปากรับคำ ‘ช่วงนี้บิดาของข้างานยุ่งมาก มีคดีใหญ่หลายคดีในเมืองหลวง แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่ได้พบเขามาหลายวัน แต่บิดาของข้าจะกลับมาช่วงวันส่งท้ายปีเก่าแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าจะพาพวกเจ้าไปพบเขาเอง! แล้วนี่พวกเจ้าพักอยู่ที่ไหนรึ’

พวกเขาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมที่ราคาย่อมเยาว์ที่สุดในเมืองหลวง

พอรู้ดังนั้น เซียวเหิงจึงจัดแจงให้พวกเขาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมอย่างดี และนัดแนะกับพวกเขาว่าจะเข้าไปรับในวันสิ้นปี

และแล้ว พอถึงวันสิ้นปี จู่ๆ เซียวเหิงต้องเข้าไปทำธุระที่กั๋วจื่อเจียน กลายเป็นว่าเด็กหนุ่มแอบตามเขามาที่กั๋วจื่อเจียนด้วยเช่นกัน

‘เจ้ามาทำอะไรที่นี่’

‘ข้า ข้า ข้าตามเจ้ามาด้วยได้หรือไม่’

‘แต่อีกนานกว่าข้าจะกลับจวนโหวนะ’

‘ข้ารอเจ้าได้’เซียวลิ่วหลังยังคงยืนกราน

‘เช่นนั้นก็ได้’ เซียวเหิงจึงพาเขาเข้าไปด้านในกั๋วจื่อเจียน

‘ท่านแม่มาที่นี่!’

‘งั้นเดี๋ยวข้าไปซ่อนตัวก่อน!’

‘ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าอธิบายให้นางเอง’

‘ไม่ได้หรอก นางต้องไม่ปล่อยข้าไว้แน่! นางเป็นถึงองค์หญิง หากนางรู้ว่าเซวียนผิงโหวมีลูกนอกสมรสเช่นข้าต้องเกิดเรื่องแน่ๆ ! ’

เซียวเหิงเห็นว่าเขากลัวจนตัวสั่น ก็เลยให้เขาเข้าไปหลบบริเวณทางเดิน

‘ท่านแม่!’ เซียวเหิงเปิดประตูให้องค์หญิงซิ่นหยาง ‘มารับข้ารึ’

องค์หญิงซิ่นหยางมารับเซียวเหิงก็จริง หากแต่มิใช่มารับกลับจวน แต่เป็นกำลังจะพาเขาไปลงนรกด้วยกันต่างหาก

นางพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อทำให้เสียงของตัวเองฟังดูสงบ แต่นิ้วที่บีบผ้าเช็ดหน้าไว้แน่นกลับแสดงพิรุธอย่างเห็นได้ชัด ตอนนั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีแปลกๆ ของนางเพราะมืองของนางถูกโต๊ะหนังสือบังอยู่พอดี

องค์หญิงซิ่นหยางเล่าต่อ “พอเจ้าฟื้นขึ้นที่โรงเตี๊ยม ตอนนั้นเซียวซู่อยู่ข้างๆ เจ้าด้วย เขาบอกเจ้าว่าเขาเป็นห่วงน้องชายของเขาและแอบตามเขาไปตลอดทาง พอไปถึงกั๋วจื่อเจียนก็เจอกับเหตุเพลิงไหม้ เขารีบเข้าไปในกองไฟเพื่อตามหาน้องชายของเขา แต่ไม่พบ คนที่เขาเจอคือเจ้าที่อยู่ในสภาพใกล้ตาย เขาจึงช่วยหามเจ้าออกมา แล้วเขาก็บอกเจ้าว่าเขาเห็นชายสวมหน้ากากกำลังช่วยสตรีนางหนึ่งที่กำลังสลบไสลอยู่ ”

เซียวลิ่วหลังออกอาการตกใจ “ท่าน…รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”

องค์หญิงซิ่นหยางยิ้มจางๆ “เจ้าจะถามว่าข้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หรือจะถามว่าข้ารู้จักเซียวซู่ได้อย่างไร ข้าเป็นถึงองค์หญิงแคว้นนะ มันไม่ยากเลยที่ข้าจะตามสืบเรื่องพวกนี้ ข้าเป็นผู้ที่ตามเด็กที่ชื่อเซียวซู่จนเจอ เรื่องทั้งหมดข้าเป็นคนสร้างมันขึ้น เซียวซู่ไม่เคยแม้แต่จะเข้าไปด้านในกั๋วจื่อเจียนด้วยซ้ำ”

ในตอนนั้น เซียวซู่ไม่วางใจที่น้องชายตัวเองออกมาจากโรงเตี๊ยมคนเดียว ก็เลยแอบตามไปด้วย แต่หารู้ไม่ว่ากั๋วจื่อเจียนไม่ใช่สถานที่ที่จะเข้าไปได้ง่ายๆ

ใช่ว่าตอนนั้นเซียวเหิงจะไม่คำนึงถึงจุดนี้ เพียงแต่เขามองว่ามันดูมีความเป็นไปได้มากที่สุด

“ดังนั้น ใครกันแน่ที่ช่วยข้าออกมา หลงอีรึ” เซียวลิ่วหลังหันไปมององค์หญิงด้วยแววตาสงสัย

พอได้ยินดังนั้น องค์หญิงถึงกับเอามือขวาคว้าไปที่ลำแขนซ้ายของตัวเองโดยอัตโนมัติ

ตอนนั้น ขณะที่นางอุ้มร่างของเซียวเหิงออกจากกองไฟ ชิ้นส่วนของอาคารก็เกิดลุกไหม้และตกลงมาจนเกือบโดนศีรษะของเขา ตอนนั้นเป็นองค์หญิงที่ยกแขนป้องไว้จนผิวหนังบริเวณนั้นถูกเผา

ทุกวันนี้ รอยแผลนั้นยังคงอยู่ในสภาพไม่น่ามอง

คราวนี้เป็นองค์หญิงเองที่เป็นฝ่ายหลบหน้า นางลดสายตาลงแล้วเอ่ย “มีบางอย่างที่เจ้าไม่รู้ในตอนนั้น เด็กคนนั้นขี้อาย เขาไม่กล้าที่จะตามเจ้า เพราะเซียวซู่กังวลว่าเจ้าจะหลอกลวงพวกเขา ก็เลยบอกให้เขาแอบสะกดรอยตามเจ้าไป ตอนนั้นพวกเขาทำงานเป็นมัคคุเทศก์ชั่วคราวในเมืองหลวง และวันส่งท้ายปีเก่าคือกำหนดเส้นตาย หากเซวียนผิงโหวยังปฏิเสธที่จะรับเขาไว้ พวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงในวันรุ่งขึ้น”

ที่น้องชายของเซียวซู่ต้องตายไม่เกี่ยวกับเจ้าเลยสักนิด เจ้าไม่ต้องโทษตัวเองอีกแล้ว

เซียวลิ่วหลังเอามือลูบบริเวณใต้ตาข้างขวา “แล้วรอยไฝใต้ตา…”

“ข้าเป็นคนจี้ออกเอง” องค์หญิงเอ่ย

“เพราะเหตุใดหรือ”

เนื่องจากแม่ของเจ้ามีไฝน้ำตาบนใบหน้าเหมือนกัน ข้าไม่อยากให้ใครมาพบเจอเจ้า

เมื่อคนเราโตขึ้นรูปร่างหน้าตาก็จะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ไฝน้ำตานี้มันเป็นอะไรที่ชัดเกินไป

นี่เป็นสิ่งที่องค์หญิงอยากพูดออกไปใจจะขาดแต่กลับไม่พูดออกไป นางได้แต่เอามือคลี่ผ้าเช็ดหน้าออก พลางเอ่ยเบาๆ “สรุปก็คือ…”

เซียวลิ่วหลังมองนางด้วยแววตาที่ลุกโชน “ท่านยังไม่ตอบข้าเลย ใครเป็นคนช่วยข้าไว้ ถ้าไม่ใช่เซียวซู่ แล้วจะเป็นใครไปได้”

เห็นได้ชัดว่าเจ้ารู้ว่าเป็นใคร เหตุใดถึงต้องบังคับให้ข้าพูดด้วยนะ

ดวงตาของเซียวลิ่วหลังเริ่มแดงก่ำ “ตอนนั้นที่ข้ารู้ว่าเซียวซู่ช่วยข้าไว้ ข้าแอบรู้สึกโล่งอกด้วยซ้ำ ข้ามองว่า เซียวซู่เป็นคนพาข้าออกไป ไม่ใช่ว่าท่านไม่ต้องการข้า แต่ตอนนี้ ท่านมาบอกว่าเรื่องราวทุกอย่างเป็นการกุขึ้น ท่านเป็นคนส่งข้าให้กับเซียวซู่…ท่านขอให้เขาพาข้าออกจากเมืองหลวง…ท่านใช้วิธีนี้เพื่อกำจัดข้า…”

นางเป็นมารดาของเขา เป็นที่พักพิงให้เขามาถึงสิบสี่ปีเชียวนะ!

ต่อให้นางจะส่งเขาลงนรกจริงๆ เขาจะไม่ถือโทษโกรธนางเลย!

เพราะมันเป็นเวรกรรมที่เขาต้องเจอ ไม่ว่าเขาจะลงเอยเช่นไร เขาสมควรแล้ว

เพียงแต่ เขาเองก็รู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน…

เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลอย่างรวดเร็ว แสร้งทำเป็นว่าเขาไม่เคยร้องไห้มาก่อน

เขาหัวเราะเยาะตัวเอง มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเอ่ย “ใช่แล้ว ข้าเป็นคนฆ่าลูกชายท่านและเอาทุกอย่างที่เป็นของลูกชายท่านไป เดิมทีข้าเป็นแค่ตัวแทนของเขา แต่ภายหลัง ทุกอย่างมันกลายเป็นหายนะ ไม่แปลกหากท่านจะต้องการกำจัดข้าทิ้งเสีย”

เขายอมรับความจริงนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ได้แล้ว ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา เขาพยายามวางเฉยและทำใจให้ชิน แต่ทำไมกัน พอพูดถึงมันอีกครั้ง เขากลับรู้สึกราวกับมีมีดคมๆ กำลังเฉือนจิตใจของเขา

เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้ง แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างดื้อรั้น เพื่อไม่ให้นางเห็น

มีหรือที่องค์หญิงจะไม่รู้สึกแบบเขาเช่นกัน

สำหรับนาง เขาไม่ใช่ตัวแทนของใคร

ตั้งแต่วันแรกที่นางอุ้มเขาไว้ข้างตัว ก็รู้ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่ทารกในครรภ์ของตัวเอง

แต่แล้วอย่างไรล่ะ

เด็กคนนี้ร้องไห้งอแงทั้งวันทั้งคืน แต่กลับหยุดลงเพียงเพราะได้อยู่ในอ้อมอกของนาง

เขาปฏิเสธที่จะดื่มนมของแม่นม บังคับให้นางซึ่งเป็นองค์หญิงผู้เลอโฉมแห่งทองและหยกต้องมาให้นมเขาเอง

เขาเป็นเด็กติดคน ซุกซนมาก และเป็นเจ้าตัวปัญหา…

แต่เขาก็จะคอยอยู่เคียงข้างนางอย่างเงียบๆในวันที่ท้อแท้นับไม่ถ้วน

ตราบใดที่หันศีรษะไป ก็สามารถเห็นใบหน้าเล็กๆ ที่สุกสกาวดั่งดวงดาวได้เสมอ

พ่อหนุ่มน้อยตัวเล็กเอามือเล็กๆ ไพล่หลังเหมือนผู้ใหญ่ เอียงศีรษะน้อยๆ เลิกคิ้วอย่างมีชัย ‘ไม่ว่าท่านแม่จะหันกลับมามองเมื่อไหร่ อาเหิงจะอยู่ตรงนี้เสมอ’

ไม่ใช่ว่านางไม่เคยลองคิดว่าเขาเป็นลูกชายที่ตายไปแล้ว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะมีความสามารถพิเศษของตัวเอง เขาเป็นเด็กที่ไม่เหมือนใคร เปล่งประกายเหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นสู่ผืนฟ้า

เขาคือหนุ่มน้อยที่ชื่ออาเหิง ไม่มีวันที่เขาจะต้องไปแทนที่ใคร และไม่มีใครแทนที่เขาได้เช่นกัน