บทที่ 461 จำกันได้
ภายในห้องแห่งนี้ ความเศร้าโศกของสองแม่ลูกเอ่อล้นราวกับสายน้ำที่ไหลย้อนกลับ ขณะที่นอกห้องนั้นบรรยากาศกลับตรงกันข้าม สมาชิกในเรือนต่างแย่งกันแอบฟังอยู่ที่มุมกำแพงประหนึ่งว่าจะยัดหูตาของตัวเองเข้าไปในนั้นให้ได้
ด้วยความที่จิ้งคงตัวเล็กสุด ตำแหน่งของเขาคืออยู่ด้านล่างสุด
ขยับขี้นมาแถวด้านบนนั้นเป็นกู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยน จากนั้นถึงเป็นจวงไทเฮา
แม้จวงไทเฮาจะตัวเล็กกว่าเด็กหนุ่มทั้งสอง แต่ด้วยความเป็นผู้อาวุโส เด็กทั้งสองเลยจำต้องย่อตัวลง
แม่นางเหยาเองก็มาร่วมวงกับเขาด้วย
ส่วนอวี้จิ่นที่กำลังเฝ้าประตูเพื่อกันไม่ให้ใครมาดักฟัง แต่พอเห็นสภาพแต่ละคน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ จะใช้ไม้แข็งก็ไม่ได้ ไม้อ่อนก็ไม่ดีทั้งนั้น
สุดท้าย อวี้จิ่นเลยละทิ้งความคิดที่จะกันพวกเขาออกไป
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฟังมันด้วยกันเสียเลย!
หลงอีที่เห็นกลุ่มคนเหล่านี้กำลังเอาหัวแนบประตูก็พลันเงียบไปสองวินาที ก่อนจะเข้าไปร่วมวงด้วย
ตำแหน่งศีรษะของเขาอยู่สูงกว่าใครเพื่อน
ทุกคนถึงกับเงยหน้าขึ้น ’เจ้าบังแสงมิดเลยนะ!”
หลงอี “…”
หลังจากที่แอบฟังอยู่นาน พวกเขาก็เริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ของแม่ลูกคู่นี้ เว้นก็แต่เจ้าตัวเล็กที่แอบฟังกับเขาก็จริง แต่ก็ไม่ได้เข้าใจความหมายหมดทุกคำเสียทีเดียว เพราะเขายังเด็กและขาดประสบการณ์โลกภายนอก ความคิดของแต่ละคนจึงแตกออกเป็นดังนี้
จิ้งคง ‘ที่แท้ พี่เขยตัวแสบก็คืออาเหิงนี่เอง! แถมยังไม่ยอมรับอีกด้วยนะ!’
เขาฟังออกได้แค่นี้แหละ
กู้เหยี่ยน ‘ที่แท้ พี่เขยของข้าคือจี้จิ่วตัวน้อยนี่เอง ท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา!’
กู้เสี่ยวซุ่น ‘ก็บอกแล้วว่าความแล้งก่อให้เกิดเพลิง วัสดุไม้และมาตรการป้องกันอัคคีภัยของกั๋วจื่อเจียนนี่ช่างไม่ดีเอาเสียเลย’
แม่นางเหยา ‘ลูกเขยของข้าช่างน่าสงสารเหลือเกิน เวรกรรมอะไรของเขากันนะ สงสัยต้องวานให้แม่นมฝางต้มแกงหัวใจหมูให้เขาเสียหน่อยแล้ว’
อวี้จิ่น ‘ที่ผ่านมานายหญิงกับนายน้อยต้องลำบากถึงขนาดนี้เชียว’
หลงอี ‘…จิ๊บจ๊อยน่า!’
ส่วนจวงไทเฮาเริ่มจะทนฟังต่อไม่ได้ ทั้งคู่เอาแต่พูดนั่นพูดนี่ไม่ยอมเข้าเรื่องสักที อ้อมไปมาอยู่ได้ ชักจะไม่ไหวแล้วนะ!
แค่พูดออกมาประโยคเดียวก็สิ้นเรื่อง ไม่ต้องผิดใจกันอีก แต่ดันไม่พูด! ไม่พูดออกมา!
อมพะนำอะไรทำไมไม่ยอมพูดออกมาเล่า!
ถ้าพวกเจ้าไม่พูด เดี๋ยวข้าพูดให้เอง!
จวงไทเฮาส่งสายตาถามคนอื่นๆ ‘บุกเข้าไปเลยไหม’
ทุกคนเอ่ย ‘เอาเลย! บุกเข้าไปเลย!’
จวงไทเฮาวางมาดพลางดันมือผลักประตูเข้าไป!
นางกะว่าจะเข้าไปพร้อมๆ กันกับสมาชิกตรอกปี้สุ่ยคนอื่นๆ แต่พอหันกลับไป
เดี๋ยวก่อนนะ หายไปไหนกันหมด!
ทุกคนรวมถึงแม่นางเหยาพุ่งไปที่ข้างประตูในชั่วพริบตา และยืนพิงหลบจนแทบจะรวมร่างกับผนัง
กลายเป็นจวงไทเฮาฉายเดี่ยวเสียกระนั้น…
พอจวงไทเฮาบุกเข้าไปในห้อง เซียวลิ่วหลังและองค์หญิงก็รีบเปลี่ยนท่าทีของตัวเอง พวกเขาเลิกคิ้วขึ้น กดหัวไหล่ลง นั่งหลังตรง และปั้นหน้านิ่งเฉยอย่างพร้อมเพรียง
พวกเขาทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับเพิ่งคุยกันเรื่องสภาพอากาศในวันนี้
จวงไทเฮา ’หึหึ ข้าคงจะเชื่ออยู่หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาคู่นั้นบวมเหมือนเปลือกหอยแครง!’
แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อเข้ามาแล้ว ตนเป็นถึงไทเฮาผู้สง่างามของแคว้น แม้จะสามารถจัดการกับขุนนางและทหารได้ทั้งหมด แต่กลับไม่สามารถรับมือกับความอึดอัดเล็กน้อยของคนพวกนี้ได้
เซียวลิ่วหลังเลื่อนเก้าอี้ให้จวงไทเฮา
นางจึงนั่งลง ก่อนจะหันหน้าไปทางองค์หญิงซิ่นหยาง “เจ้า! ใช่แล้ว เจ้านั่นแหละ! เจ้าใช่ไหมที่เป็นคนช่วยเขาออกมาจากเหตุการณ์เพลิงไหม้สี่ปีก่อน”
จวงไทเฮาหันไปทางเซียวลิ่วหลังขณะที่พูดคำว่า ‘เขา’
ไทเฮาไม่รอคำตอบขององค์หญิงซินหยางและพูดต่อ “เจ้าควรคิดให้ดีก่อนตอบ ข้าไม่ได้ถามเจ้าในฐานะย่าของลิ่วหลัง แต่ถามในฐานะพระพันปีของแคว้น ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าโกหกจะดีกว่า มิเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ากำลังทำผิดโทษฐานหลอกลวงพระเจ้าแผ่นดิน!”
พอมีอำนาจก็ทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ได้แหละ!
หลังจากฟังคำพูดของท่านย่า เซียวลิ่วหลังก็ออกอาการเหมือนเด็กที่รอผลสอบ ทั้งเฝ้ารอและรู้สึกกระวนกระวายใจ
องค์หญิงเป็นคนประเภทยอมทนทุกข์ทรมานได้ แต่ไม่ยอมเสียหน้า ซึ่งเป็นจุดที่คล้ายกันของสองแม่ลูก เดิมองค์หญิงเกือบจะพ้นจากเรื่องนี้ได้แล้วราวกับใกล้ถึงบันไดขั้นสุดท้าย แต่ไทเฮากลับต่อบันไดให้นางอีก และนางย่อมไม่ปฏิเสธบันไดจากจวงไทเฮาอยู่แล้ว
แม้จะลีลาอยู่บ้างก็ตาม
เป็นไทเฮาที่บังคับให้นางต้องพูด มิใช่นางเองที่อยากพูด
องค์หญิงเอ่ยตอบเสียงต่ำ “ใช่เพคะ”
สิ้นเสียง แววตาของเซียวลิ่วหลังเริ่มสั่น
“มีหลักฐานหรือไม่” จวงไทเฮาถามต่อ
คำตอบนี้ องค์หญิงไม่คิดจะพูดต่อ แต่ภาษากายของนางกลับฟ้องออกมาอย่างชัดเจน
ในตอนนั้นเองที่จวงไทเฮาเห็นนางแตะแขนซ้ายโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ แต่ก็เพียงพอที่มองทะลุทะลวงทุกสิ่ง
จวงไทเฮาเปิดแขนเสื้อขององค์หญิงออก แต่พบว่าต้นแขนซ้ายของนางเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่น่ากลัวและน่าเกลียดซึ่งลามไปถึงหัวไหล่
องค์หญิงไม่คาดคิดว่าจวงไทเฮาจะไวขนาดนี้ ถึงขั้นเปิดบาดแผลของนางต่อหน้าต่อตาเซียวลิ่วหลัง
จวงไทเฮาเองก็รู้สึกตกใจ…อย่างบอกไม่ถูก รู้ว่าองค์หญิงต้องได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ไม่คิดว่าจะเป็นหนักถึงเพียงนี้
รู้อย่างนี้ไม่เปิดแขนเสื้อนางเสียแต่แรกก็ดี
ไม่มีแม่คนไหนอยากให้ลูกเห็นด้านที่เจ็บปวดของตัวเอง
แล้วตอนนั้น นางทำท่าไหนถึงพาลิ่วหลังออกมาจากเพลิงได้
รูปร่างของเซียวเหิงในตอนนั้นน่าจะพอๆ กับกู้เหยี่ยนในตอนนี้ เป็นเรื่องยากมากที่คนบอบบางร่างน้อยอย่างองค์หญิงจะแบกเขาขึ้น
ในตอนนั้น องค์หญิงช่วยดับไฟไปพอประมาณแล้ว แต่จู่ๆ คานก็ดันตกลงมา นางยกมือขึ้นบังไว้ ก่อนจะสะดุดล้มลงในกองไฟที่จวนจะดับแล้ว ทำให้แขนเสื้อข้างซ้ายของนางเกิดติดไฟและเกิดรอยแผลขี้นที่แขนซ้าย
จากการสนทนาระหว่างพวกเขา ทั้งไทเฮาและลิ่วหลังยังคงไม่สามารถสรุปได้ว่าเหตุเพลิงครั้งนั้นมีคนลงมือกี่คน ที่ผ่านมา จวงไทเฮานึกว่าแค่หนิงอ๋องคนเดียวที่เป็นคนบงการ ส่วนเซียวลิ่วหลังนึกว่าเป็นฝีมือองค์หญิงฝ่ายเดียว เหตุการณ์ที่น้องชายของเซียวซู่ถูกไฟคลอกตายจริงๆ เป็นการวางเพลิงครั้งที่สาม
เพลิงรอบสามเป็นเหตุทำให้หมิงฮุยถังถูกเผาไหม้จนแทบไม่เหลือซาก ช่วงเวลาสามปีที่กั๋วจื่อเจียนปิดซ่อมแซม ครึ่งหนึ่งของระยะเวลานั้นหมดไปกับการบูรณะหมิงฮุยถัง
ดูเหมือนเป้าหมายของคนที่วางเพลิงนั้นจะชัดเจน
พวกเขาต้องการเอาชีวิตเซียวเหิงถึงตายชนิดที่ว่าตายสนิท
องค์หญิงเคยสงสัยว่าอีกฝ่ายทำไปเพื่อแก้แค้นตัวเองหรือเซวียนผิงโหวหรือไม่ แต่ยิ่งตรวจสอบ ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ปกติอริของพวกเขาไม่อยูที่แคว้นเจาก็อยู่ที่แคว้นเฉิน อีกทั้งท่าทีของทั้งสองแคว้นก็ไม่มีทางรอดพ้นจากการตรวจจสอบขององค์หญิงไปได้อยู่แล้ว
ความเป็นไปได้เดี่ยวคือ อีกฝ่ายอาจมาจากแคว้นอื่น
พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับแคว้นอื่นมากนัก จึงบอกไม่ได้ว่าเป็นอริกันเสียทีเดียว ดังนั้น อีกฝ่ายคงจงใจเล็งเป้ามาที่เซียวเหิงคนเดียว
แต่เซียวเหิงไม่เคยไปทำให้คนแคว้นอื่นขุ่นเคือง ความเกี่ยวข้องเดียวที่เขามีคือเขามีมารดาที่เป็นบ่าวของแคว้นเยี่ยน
เรื่องนี้จะเกี่ยวกับนางหรือไม่ แล้วมารดาของเซียวเหิงแท้จริงเป็นแค่บ่าวหรือไม่
องค์หญิงพอเห็นแผลของตัวเองก็เหม่อลอยนึกถึงอดีต โดยไม่ทันสังเกตว่าเซียวลิ่วหลังกำลังคุกเข่ายกแขนเสื้อนางขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับชำเลืองรอยแผลบนท่อนแขนเรียวบางราวหยกของนาง
“เดี๋ยวให้เจียวเจียวหาวิธีดู” จวงไทเฮาเอ่ยพลางตบบ่าเซียวลิ่วหลัง
ลิ่วหลังก้มหน้าลง ก่อนจะวางมือของเขาที่กำลังจับแขนเสื้อนางอยู่
หยดน้ำตาร้อนผ่าวกระทบหลังมือของนาง มันช่างร้อนเสียจนสะเทือนไปถึงในหัวใจ
กว่าองค์หญิงจะรู้ตัวอีกที ก็พบว่าเซียวลิ่วหลังเห็นแผลแล้ว
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความลำบากใจซึ่งออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็ก ตราบใดที่นางได้รับบาดเจ็บ แม้จะเล็กน้อย เขาจะทุกข์ใจมากจนต้องร้องไห้คนเดียวก่อน
ต่อให้องค์หญิงไม่เป็นอะไรแล้ว เขายังเอาแต่ร้องไห้อย่างไม่สิ้นสุด
พอเห็นดังนั้น องค์หญิงซิ่นหยางจึงพูดโดยไม่รู้ตัว “ไม่เจ็บแล้ว แม่สบายดี”
พอได้ยินคำว่า‘แม่’ พวกเขาถึงกับนิ่งไป
จวงไทเฮาได้แต่รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเป็นส่วนเกิน…
จวงไทเฮาลุกขึ้นแล้วค่อยๆ ย่องออกไป ก่อนออกจากห้องก็ไม่ลืมที่จะหยิบผลไม้อบแห้งไปด้วย
ไม่มีใครจับได้ว่านางหยิบมันไป
จนกระทั่งเจอกับกู้เจียวที่เพิ่งกลับมาจากโรงหมอพอดิบพอดี
จวงไทเฮาที่เพิ่งถูกริบผลไม้อบแห้งไป “…”
สวรรค์ไม่ยักกะเปิดทางให้บ้างเลย!
ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอีก
องค์หญิงซิ่นหยางโพล่งหัวเราะระหว่างที่นึกอะไรขึ้นได้ พลางเอ่ย “เซียวอี”
“อะไรหรือ” เซียวลิ่วหลังทำหน้าประหลาดใจพลางสงสัยว่าเซียวอีหมายถึงอะไร อย่าบอกนะว่าจะเกี่ยวอะไรกับหลงอี
“อี ที่หมายถึงกลิ่นหอมดอกไม้” องค์หญิงซิ่นหยางพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า “ตอนข้าตั้งครรภ์ ข้าคิดชื่อเด็กไว้ ถ้าเป็นลูกสาวจะให้ชื่อว่าเซียวอี้”
เซียวลิ่วหลังพึมพำ “กลิ่นหอมอวลชวนให้ฝัน”
“ใช่แล้ว” องค์หญิงหัวเราะ
“แล้วถ้าเป็นบุตรชาย จะให้ชื่อเซียวเหิงใช่หรือไม่”
นี่เขาพูดอะไรของเขา
ตัวเขาเองชื่อเซียวเหิงมิใช่รึ
เป็นชื่อที่ถูกตั้งไว้แล้ว จะถามให้มากความทำไม
เซียวลิ่วหลังนิ่งเงียบไป
“ไม่ใช่หรอก” องค์หญิงหัวเราะพลางส่ายหัว “ข้าจะให้เขาชื่อเซียวชิ่งต่างหาก”
“ชิ่งที่แปลว่าการเฉลิมฉองเช่นนั้นรึ”
“พอเจ้าเอ่ยเช่นนี้ เลยพลอยทำให้ชื่อนี้ดูพิเศษขึ้นมาเชียวล่ะ” องค์หญิงหัวเราะ
เขาไม่เข้าใจว่านางต้องการจะสื่ออะไร หรือเดิมนางวางแผนที่จะตั้งชื่อธรรมดาๆ ให้ลูกชายอย่างนั้นรึ
องค์หญิงเล่าต่อ “ข้าเตรียมทุกอย่างไว้ดีพร้อม แต่เขากลับไม่อยู่แล้ว”
นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบแปดปีที่นางพูดตรงไปตรงมาเกี่ยวกับการตายของลูกชาย
ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ นางกลับรู้สึกโล่งใจที่พูดออกไป และพบว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิด
องค์หญิงเช็ดน้ำตาตัวเอง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มของเขา มองดวงตาแดงก่ำของเขา และพูดอย่างเคร่งขรึม “เซียวเหิงคือเซียวเหิง เซียวชิ่งคือเซียวชิ่ง ข้าไม่เคยสับสน และเจ้าไม่ได้พรากชีวิตเขาไป ชีวิตของเซียวเหิงก็คือเจ้าเอง ข้ารู้และชัดเจนเสมอว่าเจ้าคือเซียวเหิง”
และก็เป็นเซียวเหิงที่นางรักมาตลอด
ความรู้สึกเจ็บแปลบพลุ่งพล่านไปทั้งหัวใจ เขากำมือแน่นด้วยความกังวล ดวงตาแดงก่ำ และน้ำใสๆ ในตาของเขาเริ่มส่องประกาย เขาเอ่ยกับนางด้วยเสียงขาดๆ หายๆ ที่เกิดจากความเจ็บ “ข้าคือ…เซียวเหิงรึ”
“ใช่ ลูกข้า เจ้าคือเซียวเหิง”
ชื่อที่หายไป วันนี้เขาหามันพบแล้ว
เขาคือเซียวเหิง
ลูกของท่านแม่