ตอนที่ 175-1 สู่ขอ เสี่ยวไป๋โกรธจัด

หรงมามาไม่รู้ว่ากลับไปถึงจวนอัครเสนาบดีได้อย่างไร ระหว่างทางใบหน้าน้อยๆ อันประณีตบรรจงแวบขึ้นในหัวตลอดเวลา เดิมทีนางมาสืบหาความจริงตามคำสั่งของเหล่าฮูหยินเพื่อดูให้แน่ใจว่าคุณชายน้อยเป็นเลือดเนื้อของคุณชายจริงหรือไม่ นางเพียงมองแค่แวบเดียวก็มั่นใจแล้วว่าเป็นบุตรของคุณชายอย่างไม่ต้องสงสัย

เรื่องนี้ช่างน่าตกใจยิ่งนัก อยู่ดีๆ คุณชายก็มีบุตรโผล่มาอย่างไร้สุ้มเสียง ไม่เท่านั้น ยังมีถึงสองคนอีกด้วย

ถึงแม้นางจะเห็นใบหน้าคุณหนูน้อยผู้นั้นไม่ชัด แต่ร่างกายที่ดูอวบอ้วนนั้นช่างน่ารักเหลือเกิน

หลานตัวอวบอ้วนที่เหล่าฮูหยินเฝ้ารอมาหลายปี ที่แท้ก็มีมานานแล้วนี่เอง ช่างน่าดีใจแทนเหล่าฮูหยินยิ่งนัก

“เป็นอย่างไร ใช่ลูกของหมิงซิวหรือไม่?” ภายในเรือนลั่วเหมย จีเหล่าฮูหยินรีบถามหรงมามาที่ยังคงหอบหายใจไม่หยุดอย่างแทบทนรอไม่ไหว

หรงมามายกมือจับหน้าอกพลางเอ่ยอย่างยากจะปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ได้ “เป็นบุตรของคุณชายเจ้าค่ะ! ทั้งจมูกทั้งปาก เหมือนคุณชายยามยังเยาว์ราวกับแกะทีเดียว!”

ขอบตาจีเหล่าฮูหยินพลันเปียกชื้น

หรงมามารีบเอ่ยว่า “ท่านอย่าเพิ่งตื่นเต้นมากนัก ประเดี๋ยวหัวใจจะรับไม่ไหวขึ้นมาอีก!”

“ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร…” จีเหล่าฮูหยินพยายามระงับความตื่นเต้นเอาไว้ “รูปร่างดีหรือไม่”

หรงมามาเปรียบเทียบให้ฟังว่า “คุณหนูน้อยดูอ้วนท้วน คุณชายน้อยผอมกว่าเล็กน้อยเจ้าค่ะ”

จีเหล่าฮูหยินรีบบอกว่า “ตอนเด็กๆ หมิงซิวก็ผอมนะ!”

หรงมามาพูดกลั้วหัวเราะว่า “ใช่เจ้าค่ะ ข้าเห็นแค่แวบเดียวยังรู้สึกเหมือนได้เห็นคุณชายน้อยตอนเด็กๆ เลยเจ้าค่ะ!”

“ให้ตายสิ แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่พาพวกเด็กๆ กลับมาให้ข้าดูบ้าง” จีเหล่าฮูหยินเริ่มรู้สึกทนรอไม่ไหว

หรงมามาจึงบอกว่า “ข้าจะกล้าได้อย่างไร หากไม่มีคำสั่งจากท่านหรือคุณชาย ข้าไม่กล้าแตะต้องบุตรคนอื่นเขาหรอกเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยก็ยังไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวจะตกอกตกใจเอาได้”

“ใช่แล้ว จะให้พวกเขากลัวไม่ได้” จีเหล่าฮูหยินแทบจะหุบยิ้มไม่ลง นางคิดอะไรได้จึงขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง “เฉียวซื่อให้กำเนิดบุตรของหมิงซิวจริงๆ เสียด้วย เช่นนั้นก็คงจัดการยากแล้ว…”

หรงมามารู้ว่าเหล่าฮูหยินอยากพูดอะไร จึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมเบาๆ ว่า “เหล่าฮูหยิน ท่านยังจำองค์หญิงเจาหมิงได้หรือไม่”

จะจำไม่ได้ได้อย่างไร นั่นเป็นสะใภ้คนโตของนางเชียวนะ หญิงสาวที่ประตูบุปผาหยก น่าเสียดายที่ไม้งามมาด่วนจากไป ก่อนนางสิ้นใจ หมิงซิวยังซุกซนเป็นเจ้าลิงน้อยอยู่เลย พอนางจากไป หมิงซิวก็ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน รักสันโดษ ไม่ค่อยพูดค่อยจา ไม่เป็นมิตรกับใครสักเท่าไรอีก

หรงมามาเอ่ยด้วยความหนักใจว่า “ท่านไม่รู้สึกว่าสถานการณ์ในยามนี้ช่างเหมือนกับในครานั้นจนน่าตกใจหรือเจ้าคะ ตอนนั้นตระกูลจีไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานระหว่างนายท่านกับองค์หญิง นายท่านจึงพาองค์หญิงออกไปอยู่เสียข้างนอกจนกระทั่งคุณชายกับคุณหนูหว่านอายุได้หกขวบ ถึงได้รับกลับมาอยู่ที่จวน นิสัยของคุณชายเหมือนท่านพ่อของเขา หากท่านต่อต้านเฉียวซื่อเหมือนที่เหล่าไท่เหยียต่อต้านองค์หญิงเมื่อในอดีต น่ากลัวว่าคุณชายจะเอาอย่างนายท่านที่ไม่กลับบ้านตระกูลจีอีกเลยนะเจ้าคะ”

จีเหล่าฮูหยินเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “เดิมทีเขาก็ไม่ชอบกลับบ้านอยู่แล้ว!”

หรงมามาจึงบอกว่า “ก็เพราะไม่ชอบกลับบ้านถึงต้องให้แต่งเฉียวซื่อเข้ามาอย่างไรเจ้าคะ ฮูหยินกับลูกๆ ของเขา คุณชายยังต้องการหรือไม่ พวกนางมาอยู่กันที่นี่แล้ว คุณชายจะไม่กลับได้หรือ ท่านก็แค่แต่งสะใภ้คนหนึ่ง กับมีหลานตัวน้อยน่ารักเพิ่มอีกสองคน คนหนึ่งเป็นหลานชายที่ล้ำค่า มีอะไรให้ไม่น่ายินดีกัน ระหว่างทางกลับมาบ่าวคิดมาตลอด พวกคำนินทาทั้งหลายอย่างไรก็ต้องมีวันหมดไป เราจะปฏิเสธไม่ยอมรับมารดาของพวกเขาเข้าบ้านเพียงเพราะเหตุนี้ไม่ได้ จริงหรือไม่เจ้าคะ อีกอย่างการแต่งงานนี้ก็เป็นสมรสที่ฮองเฮาพระราชทานทิ้งไว้ พวกเราไม่อาจขัดรับสั่งได้นะเจ้าคะ”

ท่าทีของจีเหล่าฮูหยินดูจะอ่อนลง “ตอนเขาไม่อยากแต่งงาน ข้าไม่เรื่องมากกระทั่งว่าเป็นใครด้วยซ้ำ ขอเพียงเขายอมแต่งงาน ต่อให้เป็นหญิงยากจนที่เกิดจากอนุข้าก็รับได้ แต่พอตอนนี้เขายอมแต่งงานแล้ว ข้ากลับจะเลือกมาก ไม่พอใจนั่นนี่ ที่เจ้าพูดก็ถูก ข้าไม่ควรเป็นเช่นนี้จริงๆ”

ปากเหล่าฮูหยินบอกว่าไม่ควร แต่สีหน้ากลับดูไม่ผ่อนคลายลงสักเท่าไร

หรงมามาเขยิบเข้าไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหูจีเหล่าฮูหยิน จีเหล่าฮูหยินพลันอึ้งไป “จริงหรือ”

หรงมามาพยักหน้า

จีเหล่าฮูหยินส่งเสียงเฮ่อทีหนึ่ง “เมื่อเป็นเช่นนี้ การแต่งงานครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะให้เกิดขึ้นไม่ได้ เจ้าไปบอกที่เรือนถงที บอกซั่งชิงว่า ข้าเห็นด้วยกับการแต่งงานนี้แล้ว”

หลังจากหรงมามากลับไปได้สองวัน เฉียวเวยเอาไข่เยี่ยวม้าไปส่งให้เถ้าแก่หรง

กิจการของหรงจี้ยังคงดีเยี่ยมเช่นเคย ในโถงใหญ่มีลูกค้านั่งแน่นขนัด ครึ่งหนึ่งเป็นคนในตัวเมือง อีกครึ่งเป็นคนจากเมืองหลวงที่ได้ยินชื่อเสียงร้านนี้แล้วตามมา

หลังจากเทศกาลกุ้งมังกรผ่านพ้นไป ซุ้มอาหารเปลี่ยนมาขายปิ้งย่างอีกครั้ง

ของปิ้งย่างพวกนี้ไม่ใช่ว่าคนในตัวเมืองไม่เคยกินมาก่อน แต่โดยมากมักเป็นเนื้อย่างไม่ก็ปลาย่าง ที่หรงจี้มีให้เลือกมากกว่า ทั้งมะเขือย่าง กุยช่ายย่าง พริกย่าง เห็ดย่าง ขาไก่ย่าง ปลาหมึกย่าง ข้อไก่ย่าง…

พวกขาไก่ก็ไม่รู้ทำได้อย่างไร นุ่มราวกับกินน้ำ แค่ดูดเนื้อก็หลุดเข้าปากไปทันที

เนื้อปลาหมึกกับหนวดปลาหมึก นุ่มหนึบอร่อยนัก ทั้งเผ็ดทั้งหอมเคี้ยวไม่มีเบื่อ พอทาน้ำจิ้มที่เค็มๆ หวานๆ ลงไปอีก ก็ยิ่งอร่อยจนอธิบายไม่ถูก ซึ่งในเมืองหลวงยังหากินไม่ได้

คนที่ค้าขายแบบเดียวกันพยายามทำเลียนแบบ แต่พวกเขาเลียนแบบได้เพียงรายการอาหาร ไม่อาจเลียนแบบน้ำจิ้มที่เป็นสูตรเฉพาะของเฉียวเวยได้ นับว่าน่าเจ็บใจนัก

ตอนกลางวันซุ้มอาหารยังไม่เปิดขาย จึงนั่งกินกันในภัตตาคาร

เฉียวเวยพอเดินเข้าไปในโถงใหญ่ กลิ่นหอมของน้ำจิ้มก็ลอยมาเตะจมูก ท้องนางร้องจ๊อกๆ ขึ้นโดยพลัน ถึงเพิ่งคิดได้ว่านางยุ่งมาตั้งแต่เช้าจนแม้แต่มื้อเช้าก็ยังไม่ได้กิน

เสี่ยวลิ่วเดินยิ้มแย้มเข้ามาต้อนรับ “พี่เฉียว!”

เฉียวเวยเอาโถส่งให้อีกฝ่าย “กิจการดีวันดีคืนเชียวนะ”

เสี่ยวลิ่วตอบยิ้มๆ ว่า “นั่นไม่ใช่เพราะได้พี่เฉียวหรอกหรือ”

เฉียวเวยถอนหายใจ “ยังไม่รู้ว่าจะหวังพึ่งได้อีกกี่มากน้อยเลย”

“พี่เฉียวท่านว่าอะไรนะ” เสี่ยวลิ่วได้ยินไม่ถนัด

เฉียวเวยเลยระบายยิ้ม “ไม่มีอะไร ใช่สิ เถ้าแก่หรงอยู่หรือไม่ ข้ามีธุระจะคุยกับเขาหน่อย”

เสี่ยวลิ่วบอกว่า “ท่านอย่าเพิ่งไปจะดีกว่า คนเมื่อคราที่แล้วมาอีกแล้ว!”

“คนไหนกัน” เฉียวเวยถาม

เสี่ยวลิ่วกระซิบบอกว่า “ก็คนนั้นที่ชอบโอ้อวดอย่างไร กินอาหารของท่านแล้วเป็นตายอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าเป็นพ่อครัวเหอกับพ่อครัวไห่ทำ บอกแต่ว่าคนทำเป็นแม่ครัว เย่ว์ไหลจะต้องส่งนางมาอีกแน่ เพื่อมาซื้อตัวท่านไปโดยเฉพาะ!”

ไม่แปลกที่เสี่ยวลิ่วคิดเช่นนี้ เหลาสุราเย่ว์ไหลใช้วิธีต่ำช้าเกินไปจริงๆ เริ่มจากซื้อตัวพ่อครัวหวงเพื่อขโมยสูตรอาหารของนางยังไม่เท่าไร หลังจากนั้นยังลอบติดสินบนพ่อครัวหลายคนของที่นี่ แม้แต่เสี่ยวลิ่วที่คอยบริการคนในร้านก็ยังเคยถูกซื้อตัวกับเขาด้วย แต่ทุกคนรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของเฉียวเวยดี จึงไม่กล้าเอาเรื่องในหรงจี้ไปขาย

แผนแรกไม่สำเร็จเลยคิดแผนใหม่มาอีกแล้ว นางไม่กล้ารับประกันว่านายท่านผู้มั่งมีผู้นี้ไม่ใช่หลุมพรางที่เย่ว์ไหลส่งมา

เฉียวเวยเลิกคิ้วแล้วเดินกลับห้องบัญชีของตนไป

เถ้าแก่หรงรับมือนายท่านผู้นั้นเสร็จก็เหลือบไปเห็นโหลที่วางอยู่บนชั้นจึงรู้ว่าเฉียวเวยมาแล้ว เขาขึ้นชั้นบนไปเปิดประตูห้องของเฉียวเวย หัวเราะแหะๆ เอ่ยว่า “ให้ตายสิ ลมอะไรหอบเถ้าแก่รองมาถึงที่นี่ได้”

เฉียวเวยยกชาขึ้นจิบ “ลมตะวันตก”

เถ้าแก่หรงหรี่ตาลง “ดูจากสีหน้าสดใสเป็นประกายของเถ้าแก่รองแล้ว คงมีเรื่องมงคลอะไรสินะ”

เฉียวเวยถลึงตาใส่อีกฝ่าย “มีที่ไหนกัน”

คนเขาแค่มาดูหน้าลูกเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าจะแต่งนางเข้าตระกูลเสียหน่อย

เถ้าแก่หรงหัวเราะแหะๆ แล้วคว้าเมล็ดแตงโมที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมากำหนึ่ง “ข้ามีข่าวดี”

สายตาของเฉียวเวยมองไปยังหน้าท้องที่ตุ้ยนุ้ยของอีกฝ่าย “ท้องแล้วหรือ”

เมล็ดแตงโมทั้งคำพลันติดคอ!

พอกลืนเมล็ดเหล่านั้นลงไปได้แล้วถึงได้บอกว่า “บ้านของอาสะใภ้รองเจ้าหลังนั้นข้าซื้อได้แล้ว”

เฉียวเวยยิ้มพลางเอ่ยสบายๆ ว่า “ให้ตายสิ นางยอมขายเสียด้วย”

เถ้าแก่หรงตอบด้วยความสบายใจ “จะไม่ขายได้หรือ นี่เจ้าไม่ได้เข้าเมืองหลวงไปฟังข่าวอะไรเลยหรือ”

เฉียวเวยพลันเลิกคิ้ว “เหตุใดข้าถึงต้องไปคอยฟังข่าวนางด้วย” สตรีที่ใจคอโหดเหี้ยมเช่นนั้น ต่อให้ต้องหิวตายแล้วเกี่ยวอะไรกับนางด้วย

เถ้าแก่หรงถอนหายใจด้วยความ (มีสุข) สงสาร (บน) จับ (ทุกข์) ใจ (ผู้อื่น) ว่า “เฮ่อๆๆ พวกนางสองแม่ลูก ชีวิตไม่ใช่น่าเวทนาธรรมดาเลยนะ!”

นี่ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ที่เฉียวเจิงส่งเฉียวเย่ว์ซานเข้าคุกศาลาว่าการเจ้าเมือง

วันนั้นเฉียวเย่ว์ซานกับผู้อาวุโสทุกคนถูกส่งตัวเข้าตาราง พวกผู้อาวุโสแหกคุกเพราะเชื่อที่ “ถูกหลอก” แต่เฉียวเย่ว์ซานกลับอดกลั้นไว้ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรอดพ้นความเดือดดาลของผู้ว่าการเมืองไปได้

กอปรกับระหว่างการสืบคดีของผู้ว่าการ พบว่าเขาไม่เคยแตะต้องเงินในสินเดิมของเสิ่นซื่อเลย สิ่งที่เขาเข้าไปเกี่ยวโยงด้วยคือร้านยากับสมุนไพรยาของเสิ่นซื่อ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาใช้เพื่อช่วยชีวิตและรักษาบาดแผลผู้คน ฮ่องเต้เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุด ผู้ว่าการเมืองไม่อาจกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อยได้ ดังนั้นเฉียวเย่ว์ซานจึงได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากไม่มีความผิด และได้กลับเข้าสำนักหมอหลวงสำเร็จ