ตอนที่ 175-2 สู่ขอ เสี่ยวไป๋โกรธจัด
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ มีครั้งหนึ่งระหว่างที่เขากำลังรักษาอาการป่วยให้กุ้ยเฟยนั้น เฉียวเย่ว์ซานเขียนใบยาผิด จนทำกุ้ยเฟยทั้งอาเจียนทั้งท้องเสียจนหน้าเหลืองไปหมด ครานี้ไม่มีใครตั้งใจให้ร้ายเฉียวเย่ว์ซาน นั่นเป็นเพราะใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวโดยแท้จริงจนเขียนโร่วโต้วโค่วที่ช่วยระงับอาการอาเจียนเป็นต้าหวงที่ช่วยระบายแทน ร่างกายกุ้ยเฟยล้ำค่า สุขภาพอ่อนแอ จึงเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ถึงได้บอกว่า คนจะซวยแค่กินน้ำยังติดตามซอกฟัง
ใครจะคิดว่าหมอเทวดาที่กระชากชีวิตองค์ชายรองของซยงหนีว์กลับมาจากตำหนักยิ่นอ๋อง จะรักษาแม้แต่อาการท้องร่วงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้
แน่นอนว่าฮ่องเต้ย่อมเกรี้ยวกราดนัก ด่าทอเฉียวเย่ว์ซานอย่างรุนแรงไปยกใหญ่พร้อมปลดเขาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าสำนัก ลดตำแหน่งลงไปเป็นตำแหน่งอีซื่อซึ่งเป็นหมอหลวงชั้นผู้น้อยที่สุดของสำนัก
ตำแหน่งหมอหลวงอีซื่อคล้ายกับตำแหน่งหมอฝึกหัดในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็คือศิษย์ของหมอหลวงทั้งหลายอีกที คนอย่างเฉียวเย่ว์ซานที่เคยเป็นรองหัวหน้าสำนักหมอหลวงแล้วถูกลดลงมาเป็นอีซื่อนั้น นับว่าขายหน้าอยู่บ้างจริงๆ
การที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ มากน้อยอย่างไรก็เพื่อต้องการชดเชยให้เรือนใหญ่ของตระกูลเฉียว
แน่นอนว่าฮ่องเต้ไม่ได้รู้สึกผิดที่พระองค์ไม่ได้ถามไถ่เรื่องที่เฉียวเวยถูกขับออกจากตระกูล
การเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้น ราชกิจมากมายไม่ได้หยุดพัก เวลาใส่ใจเรื่องแว่นแคว้นยังไม่สู้จะพอ ย่อมไม่ว่างมาแทรกแซงเรื่องในบ้านในตระกูลของใคร ในยามนั้นที่เสิ่นซื่อรักษาอาการป่วยของฮองเฮาและไท่จื่อจนหายดี ในใจฮ่องเต้ย่อมรู้สึกซาบซึ้ง แต่การช่วยรักษาคนให้รอดชีวิตถือเป็นหน้าที่ของคนเป็นหมอ ฮ่องเต้ให้เงินค่ารักษาและพระราชทานรางวัลเป็นการตอบแทน ยิ่งไปกว่านั้นฮองเฮายังตัดสินใจพระราชทานสมรสที่ต่อให้ตระกูลเฉียวต่อสู้ไปแปดชั่วอายุคนก็อาจจะยังแต่งงานไม่ได้ดีเช่นนี้กับตระกูลเฉียว ฮ่องเต้จึงไม่มีสิ่งใดติดค้างกับตระกูลเฉียวอีก บุญคุณความแค้นภายในตระกูลเฉียวก็ย่อมไม่ถามไถ่ถึง
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้ยินว่าคนที่ปีนขึ้นเตียงโอรสของตนคือคู่หมั้นคู่หมายของจีหมิงซิว เขายิ่งไม่อยากเข้าไปแทรกแซงการจัดการของตระกูลเฉียวเข้าไปใหญ่
แต่ช่วงนี้ความจริงได้ปรากฏออกมาแล้วว่าบุตรชายของตนไปใส่ความผู้อื่นเขา ในใจของเขาเองก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน
ใจเขารู้สึกไม่ดี แต่ก็ไม่อาจยอมลดเกียรติลงมายอมรับ ระหว่างที่กำลังลำบากใจไม่รู้จะไปทางซ้ายหรือขวาดีนั้น เฉียวเย่ว์ซานก็เข้ามายืนตรงปลายหอกของเขาพอดี นี่จะไม่เรียกว่าดวงซวยได้หรือ
เฉียวเย่ว์ซานทนรับการดูหมิ่นไม่ได้ จึงลาออกจากตำแหน่งไท่อีซื่อ ทุกวันนี้จึงว่างงานอยู่แต่กับบ้าน
สวีซื่อหมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้ไปหาเถ้าแก่หรงเพื่อขายบ้านหลังนั้น
เถ้าแก่หรงไม่ใช่คนจิตใจมีเมตตาอะไร ตอนนั้นขอให้เจ้าขายเจ้าไม่ขาย เวลานี้จะมาขอร้องข้า ขอโทษด้วย ราคาเดิมคงให้ไม่ได้แล้ว
ดังนั้นบ้านที่ราคาสูงเกือบสองพันตำลึง หลังจากถูกเฉียวเวยฟันราคาจนเหลือห้าร้อยตำลึง สุดท้ายก็ยังถูกเถ้าแก่หรงกดราคาลงไปอีกจนเหลือเพียงสี่ร้อยตำลึงเท่านั้น
“เป็นอย่างไร” เถ้าแก่หรงหันไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่เฉียวเวย
เฉียวเวยพยักหน้าด้วยความพอใจ “พี่หรงช่างเยี่ยมยุทธ์นัก!”
เมื่อได้รับคำชื่นชม เถ้าแก่หรงจึงปลอดโปร่งคลายความโกรธลงได้ “เมื่อไรจะสร้างโรงงานเล่า”
เฉียวเวยตอบว่า “เริ่มสร้างตอนนี้ได้เลย! เดี๋ยวข้าจะไปหานายช่างเจิ้ง ดูว่าวันไหนเขามีเวลาว่าง จะให้ไปดูบ้านหลังนั้นกับท่าน”
เถ้าแก่หรงพลันหน้าบึ้ง “เหตุใดถึงให้ไปกับข้า ข้าออกเงินก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ที่เหลือเป็นงานของเจ้าไม่ใช่หรือ”
“ท่านจะไปหรือไม่ไป”
“ไป”
เฉียวเวยทำตัวเป็นหลงจู๊ทิ้งงาน เดินทางกลับหมู่บ้านไปพร้อมอารมณ์อันแจ่มใส
ครั้นเมื่อนางไปถึงปากหมู่บ้าน ก็เห็นชาวบ้านคนอื่นๆ กำลังจับกลุ่มกันชะเง้อมองขึ้นไปบนเนิน
เฉียวเวยกะพริบตาด้วยความแปลกใจ หันไปถามตาเฒ่าซวนจื่อที่อยู่ด้านข้างว่า “บ้านข้าเกิดเรื่องอะไรหรือ”
ตาเถ้าซวนจื่อตกใจ “เสี่ยวเฉียวเจ้ากลับมาแล้วหรือ เจ้ารีบขึ้นไปดูเร็วเข้า บ้านเจ้ามีคนมาเยอะแยะเชียว! ขนของมากันก็มาก!”
เฉียวเวยขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “คงไม่ใช่…คงไม่เร็วเพียงนี้กระมัง”
เฉียวเวยเร่งฝีเท้าเดินขึ้นเนินไป นางได้ยินเสียงหรงมามาพูดคุยกับเฉียวเจิงมาแต่ไกล ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาตะหงิดๆ พอเข้าประตูไปเห็นในห้องเต็มไปด้วยของหมั้น นางก็พลันพูดอะไรไม่ออกทันที
เฉียวเจิงพอเห็นบุตรสาวกลับมาก็ยิ้มพลางกวักมือเรียก “เสี่ยวเวยเอ๋ย รีบมาเร็วเข้า มาพบซื่อจื่อฮูหยินสิ!”
ซื่อจื่อฮูหยิน?
เฉียวเวยหันไปมองตามที่อีกฝ่ายบอก ก็ได้เห็นสตรีในอาภรณ์หรูหราอย่างจีหว่านนั่งอยู่ในห้องจริงๆ
จีหว่านปรายตามองเฉียวเวยทีหนึ่งอย่างเรียบเฉย ท่าทางเย่อหยิ่งยิ่งนัก
หรงมามากลับลุกขึ้นอย่างให้เกียรติ แล้วเดินเข้ามาทำความเคารพนาง “แม่นางเฉียว”
ท่าทางต่างกับเมื่อวานลิบลับทีเดียว!
เฉียวเวยพลันใจหวิว ในที่สุดก็ถูกบิดาผู้ให้กำเนิดขายเสียแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้ช่างเลวร้ายนัก!
เฉียวเจิงยิ้มแย้มเต็มใบหน้า “เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดท่าทางถึงได้เด๋อด๋านัก ยังไม่รีบทักทายอีก!”
เฉียวเวยยิ้มพลางเอ่ยทักทาย “ซื่อจื่อฮูหยิน หรงมามา”
จีหว่านยิ้มพริ้มพลางตบเก้าอี้ข้างกาย เฉียวเวยจึงเดินเข้าไปนั่ง
เฉียวเจิงเอ่ยกับหรงมามาว่า “เมื่อครู่พูดกันถึงไหนแล้วนะ”
หรงมามารีบบอกว่า “พูดถึงเรื่องรับของหมั้นแล้ว”
การหมั้นหมายของต้าเหลียงมีทั้งหมดหกพิธีด้วยกัน คือสู่ขอ ถามชื่อ รับของมงคล รับของหมั้น ขอฤกษ์และรับตัวเจ้าสาว
การสู่ขอเป็นพิธีแรกของทั้งหกพิธี ในขั้นตอนนี้บุรุษจะขอให้แม่สื่อไปทำการสู่ขอที่บ้านของฝ่ายสตรี หลังจากบ้านฝ่ายสตรีตกลงเรียบร้อยแล้วก็จะเริ่มพิธีที่สอง – ถามชื่อ ซึ่งก็คือคำเรียกโบราณของการขอดวงชะตาวันเวลาเกิดนั่นเอง
หลังจากสอบถามซื่อแซ่และดวงชะตาเวลาเกิดของฝ่ายหญิงเรียบร้อยแล้วก็นำไปทำนายทางทักที่ศาลบรรพชน หากผลออกมาว่าดวงสมพงษ์กัน ก็จะเตรียมของขวัญไปแจ้งข่าวเรื่องการแต่งงานที่บ้านฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งก็คือพิธีลำดับที่สาม – รับของมงคล
เพราะการแต่งงานระหว่างเฉียวเวยกับจีหมิงซิวเป็นการสมรสที่อดีตฮองเฮากำหนดไว้ ชื่อแซ่และดวงชะตาของทั้งสองฝ่ายจึงเขียนอยู่ในหนังสือหมั้นหมายนานแล้ว สามารถข้ามการสู่ขอและสอบถามชื่อแซ่ไปที่รับของมงคลได้เลย
หลังจากรับของมงคลก็คือการรับของหมั้น
สองพิธีนี้ตามปกติจะเชื่อมไว้ด้วยกัน แต่งานสมรสของทั้งสองมาค่อนข้างกะทันหัน ทำให้เรื่องรับของมงคลกับรับของหมั้นแยกออกจากกัน
วันนี้เป็นการรับของมงคล
เฉียวเวยไม่เคยเห็นพิธีรับของมงคลของคนอื่นมาก่อน จึงไม่รู้ว่าการรับของมงคลต้องจัดเตรียมของขวัญมาด้วยมากน้อยเพียงใด หากหรงมามาไม่ได้บอกว่าหลังจากนี้สิบวันจะนำของหมั้นมาให้ นางยังเกือบเข้าใจว่าของทั้งหมดในห้องนี้ก็คือของหมั้น
จีหว่านกระแอมขึ้นมาทีหนึ่ง “เหนือชั้น!”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “พี่หว่านกล่าวเช่นนี้ถูกต้องแล้ว ข้าเหนือชั้นมากอยู่จริงๆ ไม่อย่างนั้นจะคว้าน้องชายท่านมาไว้ในมือได้อย่างไร”
จีหว่านกรอกตาบนทีหนึ่งพลางส่งเสียงหึ “ข้าไม่อยากต่อต้านรับสั่งที่อดีตฮองเฮาทรงทิ้งไว้ ถึงได้เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้หรอก อย่าได้ได้ใจคิดว่าข้าชอบพอเจ้ามากสักเท่าไรเลย”
เฉียวเวยส่งเสียงอ้อทีหนึ่ง “ข้าไม่ได้แต่งงานกับท่านเสียหน่อย ท่านชอบข้าหรือไม่เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
มุมปากจีหว่านพลันกระตุก นังเด็กบ้า!
หรงมามากับเฉียวเจิงกำลังพูดคุยอย่างถูกคอ รูปโฉมและท่วงท่าของเฉียวเจิง ในสายตาของคนวัยเดียวกันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นระดับเทพบุตรเลยทีเดียว แม้แต่ป้าหลัว ทุกครั้งยามที่ได้พบเฉียวเจิงยังหน้าแดงทุกครั้งไป หรงมามาผู้นี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยามพูดคุยกับเฉียวเจิงนั่นเรียกได้ว่าจิตใจปั่นป่วนไปหมด
จีหว่านกับเฉียวเวยถูกเพิกเฉยไปโดยปริยาย
เฉียวเวยคว้าเมล็ดแตงโมมากำหนึ่ง นั่งแทะกินอย่างสบายใจเฉิบ
จีหว่านยกถ้วยน้ำชาที่นางไม่อยากถือสักนิดขึ้น ใช้ฝาถ้วยไล่ใบชาเบาๆ หางตาคล้ายเห็นเงาดำเล็กๆ เงาหนึ่ง พอหันไปอีกทีก็เห็นว่าเก้าอี้ทางซ้ายมือมีลิงน้อยตัวหนึ่งลงมานั่งเสียแล้ว!
บนศีรษะของลิงน้อยมีดอกไม้ทัดอยู่ดอกหนึ่ง มันนั่งหลังตรงประหนึ่งคุณนายชั้นสูง มือไม้มันนั่นมองดูคล้ายกำลังถือถ้วยชา ซ้ำยังใช้ฝาถ้วยไล่ใบชาอยู่เบาๆ อีกด้วย
ท่าทางเช่นนี้…ดูคุ้นตานัก
จีหว่านขยับฝาถ้วยเล็กน้อย
เจ้าลิงน้อยตัวนั้นก็ขยับ “ฝาถ้วย” เช่นกัน แน่นอนว่าในมือมันว่างเปล่า แค่ท่าทางดูคล้ายกำลังทำอะไรอยู่เท่านั้น
พอจีหว่านไม่ขยับ เจ้าลิงน้อยก็ไม่ขยับ
จีหว่านตั้งสติ ยกฝาถ้วยขึ้น เจ้าลิงน้อยก็ยกฝาถ้วยที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นตาม
จีหว่านเอาฝาถ้วยปิดกลับลงไป เจ้าลิงน้อยก็ปิดตาม
จีหว่านยกมือ จับเม็ดไข่มุกบนศีรษะ
เจ้าลิงน้อยก็กรีดนิ้วจับเม็ดไข่มุกบนศีรษะตาม
นางกรีดกรายนิ้วด้วยหรือ
จีหว่านลดมือลงมาดู กรีดนิ้วจริงๆ เสียด้วย!
จีหว่านจับผ้าเช็ดหน้าขึ้นจะเช็ดหยดน้ำตรงมุมปาก แต่กลับได้รู้ว่าผ้าเช็ดหน้าในมือหายไปตั้งแต่เมื่อไร!
พอหันไปมองเจ้าลิงน้อยอีกที มันก็กำลังถือผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมเช็ดมุมปากด้วยท่าทางสง่างามยิ่ง
นั่นมันผ้าเช็ดหน้าของนาง!
นางหันขวับไปทางซ้ายของตนเองแล้วถลึงตาดุใส่เจ้าลิงน้อยทันที!
เจ้าลิงน้อยก็หันขวับไปทางซ้ายของตนพร้อมถลึงตามอง… ก็บังเอิญไปถลึงตาใส่เสี่ยวไป๋ที่วิ่งกลับเข้ามาในห้องพอดี
เสี่ยวไป๋พลันขนลุก คิดว่าตนเองถูกจับได้เสียแล้ว มันหันไปเหลือบมองเฉียวเวย ก่อนจะยื่นงูในตะกร้าใบเล็กออกไปอย่างน่าสงสาร