ตอนที่ 176-1 งานมงคลสมรส (1)

หลังจากนำของมาหมั้นหมายในตอนปลายเดือน พิธีแต่งงานก็ได้กำหนดไว้ในเดือนสิบ

สิ่งที่ต้องจัดเตรียมในงานมงคลสมรสใหญ่นั้นมีมากเกินไป เฉียวเวยไม่มีมารดาผู้ให้กำเนิดอยู่ข้างกาย ป้าหลัวก็ขาดประสบการณ์การจัดพิธีแต่งงานอย่างคนในเมืองหลวง จึงต้องให้ฮูหยินสี่รับผิดชอบหน้าที่สำคัญอย่างการจัดเตรียมพิธีแต่งงานแทน

เริ่มต้นด้วยการตัดชุดแต่งงาน

ในอดีต ชุดแต่งงานของสตรี เจ้าสาวต้องเป็นคนเย็บเองทีละเข็มจนออกมาเป็นชุด แต่เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป ประเพณีเช่นนี้เริ่มผ่อนคลายลง นอกจากสตรียากจนที่ว่าจ้างหญิงเย็บผ้าไม่ไหว จำต้องตัดเย็บชุดแต่งงานเองแล้ว คนที่ฐานะดีขึ้นหน่อยล้วนไปที่ร้านตัดชุด ใช้เงินว่าจ้างผู้ชำนาญการมาตัดเย็บให้ทั้งสิ้น

ฮูหยินสี่เชิญหญิงเย็บผ้าที่ตนคุ้นเคยมาให้คนหนึ่ง หญิงเย็บผ้าผู้นี้ บ้านของนางเปิดร้านตัดชุดซึ่งมีชื่อเสียงค่อนข้างดีอยู่ในเมืองหลวง นางตัดชุดให้ฮูหยินสี่มาหลายสิบปี ทั้งฝีมือและรสนิยมของนางไม่มีสิ่งใดให้ติติง มีแค่ราคาที่ออกจะแพงอยู่สักหน่อย

“ชุดละหนึ่งร้อยตำลึง?” เฉียวเวยขนลุกซู่ นี่หากอยู่ในยุคปัจจุบันเท่ากับหกแสนหยวนเลยนะ! ชุดแต่งงานอะไรกันถึงได้แพงหูฉี่ขนาดนี้

หญิงเย็บผ้าเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างอ่อนหวานว่า “ราคาหนึ่งร้อยตำลึงขึ้นไป แบบไม่เหมือนใคร เนื้อผ้าไม่เหมือนใคร ราคาก็ต่างกันไปด้วย”

“เช่นนั้นก็ยังแพงไปอยู่ดี! สู้เจ้าเอาเงินให้ข้าหนึ่งร้อยตำลึงแล้วข้าทำให้เจ้าชุดหนึ่งไม่ดีกว่าหรือ”

หญิงเย็บผ้าถูกตะคอกใส่จนอึ้งไป นี่ไม่ใช่คุณหนูใหญ่จวนเอินปั๋วหรอกหรือ เหตุใด… เหตุใดถึงเสียดายเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้

หญิงเย็บผ้ากินอยู่อย่างไร้กังวลมาทั้งชีวิต มีหรือจะรู้ว่าชีวิตที่แม้แต่จะกินข้าวสักมื้อยังไม่มีเงินพอนั้นลำบากยากเข็ญเพียงใด ตอนที่เกือบจะหิวตายพร้อมบุตรทั้งสองคนนั้น เงินหนึ่งเหรียญทองแดง เฉียวเวยแทบอยากจะหักใช้เป็นสองท่อนด้วยซ้ำ นางจะทำใจจ่ายเงินหนึ่งร้อยตำลึงไปตัดชุดที่ชั่วชีวิตนี้จะได้ใส่แค่ครั้งเดียวได้อย่างไร

ฮูหยินสี่ปิดหน้าหัวเราะเบาๆ “ไม่ดูบ้างเล่าว่าเจ้าแต่งงานกับใคร เจ้าเดินออกไปเป็นหน้าเป็นตาของตระกูลเฉียวทั้งนั้น ทั้งยังเป็นหน้าเป็นตาของเขาอีกด้วย”

เฉียวเวยเบ้ปาก “ตอนเขารู้จักข้า ก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าข้าเป็นยาจกคนหนึ่ง!”

แต่ถึงแม้จะกล่าวเช่นนั้นนางก็ยังให้หญิงเย็บผ้าวัดตัวให้

หญิงเย็บผ้าเป็นคนตัดเสื้อผ้า สัดส่วนอย่างไรบ้างที่ไม่เคยพบเห็น แต่กลับน้อยนักที่จะได้พบคนที่สมส่วนไปเสียทุกส่วนอย่างเฉียวเวย เอวบางร่างน้อย หน้าอกงามก้นงอนเด้ง หน้าท้องแบนราบไม่มีเนื้อส่วนเกินสักนิด แขนเรียวสวย สองขาตั้งตรงงดงาม รูปร่างเช่นนี้เหมือนคนคอยคลอดบุตรเมื่อไรกัน? บุตรสาวที่เพิ่งอายุสิบห้าปีของนาง ยังไม่สะโอดสะองค์เท่านี้เลย

เมื่อวัดตัวเรียบร้อยแล้ว หญิงเย็บผ้าก็หยิบหนังสือภาพออกมาสามเล่ม เล่มที่หนึ่งเป็นแบบชุด เล่มที่สองเป็นแบบผ้า เล่มสุดท้ายเป็นแบบที่ทำสำเร็จแล้ว

ช่างวาดได้ราวกับมีชีวิตเสียจริง

เฉียวเวยพลิกดูแบบผ้าแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่ตัดแบบผ้าเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วแปะเข้าไปเล่า จะไม่สมจริงกว่าการวาดแบบขึ้นมาหรือ?”

หญิงเย็บผ้าได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็พลันเป็นประกาย “เป็นความคิดที่ดีทีเดียว เหตุใดข้าถึงคิดไม่ได้มาก่อน”

หากลูกค้าจิ้มแบบผ้าในหนังสือ ผลงานที่ทำออกมามากน้อยอย่างไรก็ต้องไม่เหมือนกับในภาพอยู่บ้าง ลูกค้าบางคนคุ้นชินกับเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ว่าอะไร แต่มีบางคนที่ผิดแผกไปเล็กน้อยก็ไม่ได้ ร้องแร่จะเปลี่ยนแบบคืนสินค้าเลยก็มี

หากสามารถเอาผ้าแปะเข้าไปได้ ไม่ว่าผลงานที่ทำออกมาจะพอใจหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็คงเลือกผ้าได้ไม่ผิดแน่

หญิงเย็บผ้าเอ่ยขอบคุณเฉียวเวยแล้วลดค่าแรงงานให้เฉียวเวยหนึ่งส่วน

แค่อ้าปากก็ประหยัดเงินไปได้สิบกว่าตำลึง ฮูหยินสี่ถึงกับหัวเราะพรืดออกมา “สมองเจ้านี่ข้างในมีอะไรกันนะ เหตุใดถึงได้มีความคิดมากมายเช่นนี้”

เฉียวเวยผายมือออก “เรื่องนี้คงต้องถามท่านพ่อท่านแม่ข้าที่คลอดข้าออกมาเป็นเช่นนี้”

เฉียวเวยดูหนังสือแบบเสร็จ เนื้อผ้านับว่าไม่เลวนัก แต่แบบและลวดลายกลับยังไม่มีที่ถูกใจ

“ที่นี่มีๆ” เฉียวเจิงถือหนังสือเล็กๆ เล่มหนึ่งเดินเข้ามา “พวกนี้เป็นแบบที่ท่านแม่เจ้าวาดขึ้นเองทั้งสิ้น นางทำขึ้นมาชุดหนึ่ง ที่เหลือไม่มีโอกาสได้ใช้เลย เจ้าลองดูว่ามีที่ถูกใจหรือไม่”

เฉียวเวยพลิกแบบดู ฝีมือการวาดภาพของท่านแม่นางนับว่าสุดยอดจริงๆ เสื้อผ้าเหล่านั้นคล้ายลอยขึ้นมาจากกระดาษได้กระนั้น ทุกชุดล้วนงดงามจนพูดไม่ออก หญิงเย็บผ้าอดไม่ไหวยื่นหน้าเข้ามาแอบดู นัยน์ตานางเผยแววตกใจและวาดหวังอย่างรุนแรง

“แม่นางเฉียว หนังสือแบบของเจ้านี้ให้ข้ายืมดูได้หรือไม่ แล้วค่าชุดวันนี้จะไม่เก็บเจ้า”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างนึกสนุกว่า “แค่เสื้อชุดเดียวคิดจะซื้อหนังสือแบบทั้งเล่มของข้าหรือ ถูกไปหน่อยกระมัง แค่หนังสือแบบเล่มนี้ ร้านตัดเสื้อของเจ้ากิจการดีขึ้นได้เป็นเท่าตัวเลยนะ เชื่อหรือไม่”

หญิงเย็บผ้ากัดริมฝีปาก “ราคาเท่าไร แม่นางเฉียวว่ามาได้เลย!”

เฉียวเวยจึงตอบว่า “ของของท่านแม่ข้า ล้วนเป็นของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้ทั้งสิ้น ไม่ขาย”

เล่นตลกอะไรกัน มีของล้ำค่าเช่นนี้อยู่ เหตุใดนางถึงจะไม่เอาไปเปิดร้านตัดชุดเองเสียเลยเล่า

“แบบนี้ก็แล้วกัน” เฉียวเวยชี้ไปยังแบบชุดแต่งงานแบบหนึ่ง “หากเจ้าจำไม่ได้ ข้าจะคัดลอกให้เจ้าชุดหนึ่ง”

“ข้าเองๆ!” เฉียวเจิงขันอาสามาลอกแบบชุดที่เฉียเวยเลือก แล้วเอาไปส่งให้หญิงเย็บผ้า

หญิงเย็บผ้าแค่ได้มองแบบก็รู้สึกใจสั่นไปหมด ไม่รู้จริงๆ ว่าทำออกมาใส่ขึ้นบนตัวแล้วจะงดงามเลอค่าเพียงใด

เฉียวเวยหลังจากตัดสินใจเรื่องชุดตนเองได้แล้ว นางก็สั่งตัดชุดสีแดงเพื่อร่วมงานมงคลให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูคนละชุด ใช้เวลาตัดเย็บทั้งหมดยี่สิบวัน

ฮูหยินสี่สนิทสนมใกล้ชิดกับเฉียวเวย ฮูหยินสามก็ไม่ยอมน้อยหน้า เอาเครื่องประดับที่เก็บเอาไว้หลายชุดเดินทางขึ้นภูเขามา

นายท่านสามชอบท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย หาเงินอะไรไม่ค่อยได้ เงินที่จับจ่ายทั้งหมดต้องอาศัยเงินจากกงสีทั้งสิ้น แต่เงินจากกงสีแค่เพียงเท่านั้นจะไปพออะไร ฮูหยินสามต่อให้น้ำเข้าสมองอย่างไรก็รู้ว่าตนควรวางแผนให้ตนเองได้แล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินสามก้าวขึ้นมาบนภูเขา นางรู้สึกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ นั่นคือทั้งรังเกียจและตกใจ รังเกียจบรรยากาศความเป็นชนบท ส่วนที่ตกใจคือบ้านที่เฉียวซื่ออยู่ นางสร้างเสียใหญ่โตโอ่อ่าเพียงนี้เชียว!

ไม้สักทองหรือไม้อะไรนางไม่รู้หรอก แต่แค่พอเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ต้นดอกเฉียงเวยที่ปลูกอยู่เต็มไปหมดนั้น ผลิบานจนนางคิดว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ตรงริมรั้วก็มีดอกไม้สีสดชูช่อดูสดใส นี่มันบ้านดินธรรมดาๆ เมื่อไรกัน ที่นี่คือบ้านในทุ่งดอกไม้ชัดๆ

มิน่าเล่าพี่ใหญ่ถึงได้มีความสุขจนไม่อยากกลับไปอยู่บ้าน นางยังอยากมาอยู่ที่นี่เลย

“เสี่ยวเวยเอ๋ย ข้ามาเยี่ยมเจ้าแล้ว”

ระหว่างที่พูด ฮูหยินสามก็เดินเข้าไปในห้องของเฉียวเวย สิ่งที่สะท้อนเข้ามาสู่สายตาคือเตียงปาปู้[1]สีสันสดใสพร้อมรับงานมงคลที่ตั้งอยู่ข้างๆ ฝีเท้าฮูหยินสามพลันชะงัก

เหตุใดถึงมีเตียงที่งดงามเช่นนี้อยู่ด้วย ทำเอานางอยากแต่งงานอีกสักครั้ง…

“อาสะใภ้สาม” เฉียวเวยขานเรียกอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจ นางนั่งอยู่ในห้องเล็กๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของเตียงปาปู้ กำลังส่องกระจกลองต่างหูที่ฮูหยินสี่ส่งมาให้

ฮูหยินสี่เองก็เอ่ยทักทายฮูหยินสามเช่นกัน “พี่สะใภ้สาม ท่านมาแล้ว”

ฮูหยินสามเห็นฮูหยินสี่ลงมือก่อนแล้ว จึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าฮูหยินสี่เพียงเอาต่างหูมาให้ไม่มีเครื่องประดับอย่างอื่น สีหน้าจึงค่อยกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง

นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลานสาวจะแต่งงานทั้งที คนเป็นอาสะใภ้อย่างข้าอย่างไรก็ต้องแสดงน้ำใจบ้างมิใช่หรือ! นี่เป็นเครื่องประดับสามสี่ชุดที่ข้าได้มาเป็นสินเดิม ชุดหนึ่งเป็นทับทิม ชุดหนึ่งเป็นทองคำ อีกชุดเป็นหยก เสี่ยวเวยลองดูสิว่าชอบหรือไม่”

เฉียวเวยเปิดกล่องออกดู ฮูหยินสามนับว่าลงทุนมากจริงๆ แต่ละชุดประณีตงดงามยิ่งนัก อาสะใภ้สามผู้นี้รู้จักเอาใจนางตั้งแต่เมื่อไร ไม่ทำตัวเป็นคนขี้ตืดที่รู้กันทั่วแล้วหรือ

“ของที่อาสะใภ้สามนำมาให้ช่างมากค่าราคาแพงยิ่งนัก” ฮูหยินสี่เอ่ยชื่นชม

ฮูหยินสามนึกกระหยิ่มในใจ ก็ใช่น่ะสิ นางควักเอาของล้ำค่าที่เก็บไว้ก้นหีบออกมาทีเดียวนะ “เสี่ยวเวยเอ๋ย เรื่องชุดแต่งงานเจ้าตกลงได้แล้วหรือยัง ถ้ายังเดี๋ยวข้าแนะนำหญิงเย็บผ้าให้”

เฉียวเวยคลี่ยิ้มบาง “ตกลงได้แล้ว ขอบคุณอาสะใภ้สามมาก”

“อ้อ” ฮูหยินสามยังไม่ลดละความพยายาม ถามต่อว่า “สาวใช้ที่จะติดตามเจ้าแต่งงานเข้าไปเล่า เลือกแล้วหรือยัง”

สาวใช้ติดตาม?

เฉียวเวยค้นหาคำสำคัญอยู่ในหัวพักหนึ่ง โชคดีที่เมื่อชาติที่แล้วนางอ่านนิยายมาไม่น้อย รู้ว่าสิ่งนี้มีความหมายว่าอะไร ก็คือสาวใช้ที่จะติดตามนางไปอยู่บ้านสามีนั่นเอง “ยังมิได้”

ฮูหยินสามเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็พอดีเลย ข้าเอาสาวใช้มาให้เจ้าสองคน แต่ละคนฉลาดเฉลียวเป็นหน้าเป็นตาได้ทั้งสิ้น รับประกันว่าไปที่จวนอัครเสนาบดีแล้วจะไม่ทำให้เจ้าขายหน้าแน่นอน เยียนจือ เฝ่ยชุ่ย เข้ามานี่เร็ว!”

สาวใช้คนหนึ่งใส่ชุดสีชมพูกับอีกคนหนึ่งใส่ชุดสีเขียวเดินเข้ามาในห้อง

ความประทับใจแรกของเฉียวเวยคือผอมเพรียวสะโอดสะองค์ ความประทับใจที่สองของเฉียวเวยคือหน้าตาท่วงท่างดงาม

ทั้งสองคนมาหยุดยืนตรงหน้าเฉียวเวยแล้วทำความเคารพอย่างสง่างาม “บ่าวคารวะคุณหนูใหญ่”

เฉียวเวยหันไปมองสาวใช้ในชุดสีชมพู “เจ้ามีชื่อว่าอะไร เงยหน้าขึ้นสิ”

สาวใช้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “เรียนคุณหนูใหญ่ บ่าวมีชื่อว่าเยียนจือเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยพลันระบายยิ้ม “สมชื่อยิ่งนัก”

งดงามประหนึ่งเยียนจือ[2] นับว่าเป็นสาวใช้ที่ดีจริงๆ

เฉียวเวยยังคงยิ้มเช่นเดิม “อายุเท่าไรแล้ว”

“สิบห้าเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยยิ้มเอ่ยว่า “เด็กกว่าข้าเสียอีก”

สาวใช้ก้มศีรษะลง

“เคยอ่านหนังสืออะไรมาหรือไม่”

“สี่ตำราห้าคัมภีร์พอเคยอ่านมาบ้างเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยเอ่ยด้วยความตกใจว่า “ตายจริง สี่ตำราห้าคัมภีร์ยังเคยอ่านมาแล้วหรือ ความรู้ความอ่านของเจ้ามากกว่าข้าเสียอีกนะ วันหน้าหากตามข้าเข้าไปอยู่จวนอัครเสนาบดี เจ้าจะกลายไปเป็นหญิงงามในห้องหนังสือให้ท่านอัครเสนาบดีหรือไม่นี่”

เยียนจือหัวไหล่สั่นทันที “บ่าวมิกล้า!”

เฉียวเวยเลื่อนสายตาหนีไปเงียบๆ หันไปยิ้มมองเฝ่ยชุ่ยที่อยู่ข้างๆ “เจ้าเล่าอ่านหนังสืออะไรมาบ้าง”

เฝ่ยชุ่ยไม่กล้าเอ่ยถึงสี่ตำราห้าคัมภีร์อีก เพียงตอบว่า “สตรีไร้สามารถนับเป็นคุณธรรม บ่าวรู้จักตัวอักษรเพียงไม่มากเจ้าค่ะ”

เฉลียวฉลาดจริงๆ เสียด้วย รู้จักพูดให้เข้าหูนางเสียแล้ว เฉียวเวยระบายยิ้ม “ไม่รู้หนังสือเลยคงจะไม่ได้ เดิมทีข้าก็รู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ หากสาวใช้ที่ข้าพาไปด้วยก็ยังไม่รู้อีก จะไม่เท่ากับให้คนอื่นเห็นเป็นเรื่องน่าขันเอาหรือ วันหน้าสมุดบัญชีที่คนอื่นเอามาให้ข้า ข้าอ่านไม่เข้าใจสักตัว เจ้าก็ไม่รู้เรื่อง ข้าจะเอาเจ้าไปมีประโยชน์อะไร”

เฝ่ยชุ่ยสะอึกจนพูดไม่ออก

ฮูหยินสามเริ่มรู้สึกร้อนใจ ที่รู้หนังสือก็รังเกียจว่าอีกฝ่ายจะฉลาดกว่าตน ไม่รู้หนังสือก็รังเกียจว่าอีกฝ่ายจะไร้ประโยชน์ เจ้าคิดจะเอาอย่างไรกันแน่

เฉียวเวยคร้านจะเอ่ยอ้อมค้อมกับนาง จึงปิดกล่องเครื่องประดับลง “เครื่องประดับเหล่านี้ข้ารับไว้แล้ว แต่เป็นคนจะละโมบโลภมากไปคงไม่ดี สาวใช้ชั้นยอดสองคนนี้ข้าเอาไว้ให้อาสะใภ้สามใช้งานก็แล้วกัน”

ฮูหยินสามได้แต่มองเครื่องประดับที่ตนรักใคร่ถูกเก็บใส่ลิ้นชักลงกลอนตาปริบๆ ในใจกำลังร้องลั่น: เอาเครื่องประดับของข้าไปแต่กลับไม่ทำตามที่ข้าต้องการ โหดร้ายยิ่งนัก!

เฉียวเวยรู้ว่าฮูหยินสามคิดจะทำอะไร นางคิดจะเอาเปรียบคนอายุน้อย ปั่นหัวง่าย หน้าบาง ไม่กล้าปฏิเสธ จึงคิดจะสอดแทรกหูตาของตนสองคนมาไว้ข้างกายนาง ให้หูตาของตนปรากฏโฉมยามนางอยู่กับอัครเสนาบดี หากเป็นที่ถูกใจของอัครเสนาบดีแล้วได้รับตัวไปใช้งาน เช่นนั้นช่วงเวลาอันงดงามของเรือนสามก็คงมาถึงแล้ว ดีที่สุดคือคลอดบุตรสักคนให้กับอัครเสนาบดีได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เรือนสามก็พอจะนับได้ว่าเป็นญาติเชื้อกับตระกูลจี

“ตายจริง หล่นเสียได้!” จู่ๆ เฉียวเวยก็ยื่นสองมือออกมารอรับบางอย่างแต่กลับรับไว้ไม่ได้ นางมองหาไปทั่วพื้นด้วยความร้อนใจ

“อะไรหล่นหรือ” ฮูหยินสามถาม

เฉียวเวยจึงตอบว่า “หน้าของอาะใภ้สามน่ะสิ”

“พรืด…” ฮูหยินสี่ทนไม่ไหวหัวเราะออกมา

ฮูหยินสามกลับไปพร้อมหน้าตาบูดบึ้ง

เฉียวเวยเอาเครื่องประดับที่ฮูหยินสามให้ออกมาจับเล่นอีกพักหนึ่ง “คนไม่ถือว่าดี แต่ของกลับดีนัก”

ฮูหยินสี่พึมพำเอ่ยว่า “เจ้านี่นะ ไม่ใช่เจ้านายที่จะเสียเปรียบใครเลยจริงๆ”

เฉียวเวยก็ไม่ปิดบัง เลิกคิ้วเอ่ยว่า “แน่ล่ะ ใครคิดจะหาประโยชน์จากข้า ไว้ชาติหน้าก็แล้วกัน!”

ฮูหยินสี่อดขำไม่ได้ “ท่านแม่เจ้าก็ไม่เคยเสียเปรียบให้ใคร แต่นางไม่เจ้าเล่ห์เช่นเจ้า เด็กอย่างเจ้านี่นะ จิ้งจอกกลับชาติมาเกิดแท้ๆ เชียว”

หากนางเป็นจิ้งจอกกลับชาติมาเกิดก็ดีสิ จิ้งจอกไม่ต้องแต่งงาน ไม่ต้องรับใช้พ่อแม่สามี หนึ่งคนกินอิ่ม ทั้งครอบครัวไม่มีอดอยาก อิสระจะแย่!

[1] เตียงปาปู้ เป็นเตียงแบบจีนโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เตียงปาปู้จะประกอบด้วย2ส่วน มองจากด้านนอก จะเป็นเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ เมื่อเข้าไปด้านใน ส่วนของเตียงจะอยู่บนยกพื้นสูง

[2] เยียนจือ คือผงชาดที่เอาไว้ใช้แต่งหน้าทาปาก