ตอนที่ 176-2 งานมงคลสมรส (1)
เรื่องสาวใช้นับว่าเป็นการเตือนสติเฉียวเวย นางจำเป็นต้องมีสาวใช้ติดไปด้วย
ที่ทำงานใช้แรงงานสามารถไปหาซื้อตัวเอาจากข้างนอกได้ แต่คนสนิทกลับต้องรู้พื้นเพที่มาที่ไปกันให้ดี
เฉียวเวยเรียกปี้เอ๋อร์มา “อีกเดี๋ยวข้าก็ต้องไปอยู่จวนอัครเสนาบดีแล้ว ข้าอยากถามเจ้าว่าเจ้ายินดีตามข้าไปอยู่ที่นั่นหรือไม่”
ปี้เอ๋อร์พยักหน้า “ยินดีเจ้าค่ะ”
นิ้วของเฉียวเวยเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะหลายครั้ง “เจ้าคิดดีแล้วนะ จวนอัครเสนาบดีเป็นตระกูลมีชื่อเสียง กฎระเบียบมาก ไม่อิสระเท่าในโรงงาน คนในโรงงานชอบพอเจ้ากันทุกคน แต่เมื่อไปที่จวนอัครเสนาบดีแล้ว บางทีทุกคนอาจจะกีดกันเจ้าก็เป็นได้”
ปี้เอ๋อร์นิ่งคิดแต่สุดท้ายก็ยังคงพยักหน้า “ข้ารู้ ข้าคิดดีแล้ว ข้ายินดีตามฮูหยินไป”
เฉียวเวยไม่ถามอะไรมากไปกว่านั้นอีก ปี้เอ๋อร์ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว นางรู้จักรักษาสมดุลเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ หากนางยินดีที่จะไป อันที่จริงนางก็ดีใจนัก ปากนางอาจจะพูดอะไรที่ฟังดูน่ากลัว แต่หากปี้เอ๋อร์ไปกับนางจริงๆ นางจะไม่ปกป้องนางอย่างดีได้อย่างไร
“เจ้าไปทำงานเถอะ ให้ชีเหนียงเข้ามาที”
“เจ้าค่ะ”
ปี้เอ๋อร์เดินออกไป นางไปพบกับเสี่ยวเว่ยที่เพิ่งล้างตะกร้าเสร็จตรงประตูโรงงานพอดี เสี่ยวเว่ยเห็นอีกฝ่ายออกมาจากเรือนหลักจึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ฮูหยินเรียกเจ้าไปทำไมหรือ”
ปี้เอ๋อร์ตอบไปตามจริงว่า “ให้ข้าตามไปอยู่ที่จวนอัครเสนาบดีด้วย”
เสี่ยวเว่ยร้องอาคำหนึ่ง “เช่นนั้น ทางนี้จะทำอย่างไร”
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “เดี๋ยวฮูหยินก็คงจัดการเอง ใช่สิเสี่ยวเว่ย เจ้าอยากไปหรือไม่ ข้าเห็นว่าข้างกายฮูหยินกำลังขาดคนพอดี หากเจ้าไป ไม่มีทางทำเงินได้น้อยกว่าตอนอยู่ในโรงงานแน่”
เสี่ยวเว่ยก้มหน้าลง “ข้าไปไม่ได้”
“ทำไมกัน” ปี้เอ๋อร์ตกใจ
เสี่ยวเว่ยตอบว่า “ข้าต้องเลี้ยงดูครอบครัว”
มีโจรป่าตั้งมากมายที่ต้องเลี้ยงดู หากเขาไปเสียพวกเขาก็คงไม่มีกิน
“ปี้เอ๋อร์” เสี่ยวเว่ยก้มหน้าเอ่ยขึ้น ใบหน้าดูซับสีเลือดเล็กน้อย
“อะไรหรือ” ปี้เอ๋อร์ทำตาโตถาม
เสี่ยวเว่ยยิ่งหน้าแดงหนักขึ้นกว่าเดิม “…ไม่ ไม่มีอะไร ข้าไปก่อนล่ะ”
ปี้เอ๋อร์มองตามเหรียญหลังที่รีบเดินหนีไปแล้วโมโหจนกระทืบเท้า “ซื่อบื้อ!”
…
ชีเหนียงนับสินค้าไปได้ครึ่งทาง พอได้ยินว่าเฉียวเวยเรียกหาจึงถอดถุงมือออก ปลดผ้ากันเปื้อนแล้วไปที่บ้านทันที “ฮูหยิน ท่านเรียกหาข้า?”
เฉียวเวยพยักหน้า “เจ้ากับอากุ้ยเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ชีเหนียงตอบว่า “ก็เหมือนเดิม”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ข้าอยากให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่อ อากุ้ยจะให้ข้าเอาไปด้วยหรือไม่ หากเขากระทบกับชีวิตเจ้า”
“ไม่เลย!” เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองตอบเร็วเกินไป ชีเหนียงจึงเอ่ยเสริมว่า “เขาทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ ชีเหนียงหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
จู่ๆ อากุ้ยก็โผล่จากด้านข้างเข้ามากอดนางไว้ “ข้าได้ยินเจ้าบอกฮูหยินว่าให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อ เจ้าช่างดีเหลือเกิน ชีเหนียง”
“เจ้าปล่อยนะ!” ชีเหนียงตะคอกเสียงต่ำ
อากุ้ยเอ่ยด้วยความเสียใจว่า “ชีเหนียง ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ไปดื่มเหล้าอีกแล้ว จะไม่ทิ้งเจ้าไว้แล้วไปคนเดียวอีก เจ้าให้อภัยข้า เจ้ากับจงเกอร์ย้ายกลับมาเถอะ”
“เจ้าฝันไปเถอะ!” ชีเหนียงดึงแขนอีกฝ่ายออกแล้วเดินเข้าโรงงานไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
อากุ้ย “ชีเหนียง! ชีเหนียง!”
ข่าวที่เฉียวเวยจะแต่งงานแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงสามวันคนที่ห่างไปสิบลี้แปดหมู่บ้านก็รู้กันทั่วว่าแม่หม้ายมากความสามารถผู้นี้กำลังจะแต่งงาน ว่ากันว่าคนที่นางจะแต่งงานด้วยยังเป็นอัครเสนาบดีคนปัจจุบันเสียด้วย
พวกเขาไม่รู้ว่าอัครเสนาบดีเป็นคนหนุ่มมากความสามารถ รู้แต่เพียงว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งใหญ่ล้วนอายุมากทั้งสิ้น จะต้องเป็นตาแก่ตัณหากลับแน่นอน มีบางคนอิจฉา บางคนสงสาร และมีคนกระแนะกระแหน
แม่ของเอ้อร์โก่วจื่อเอามือเท้าสะเอว ยืนอยู่หน้าประตูบ้านอีกฝ่ายแล้วด่าทอเสียน้ำลายแตกฟอง “เจ้าเก่งนักก็ไปแต่งเสียเองเลยสิ! เจ้าทิ้งผู้ชายของเจ้าแล้วไปหาคนเป็นขุนนางเสียเลย! หมูอ้วนอย่างเจ้าต่อให้แก้ผ้าจนหมดคนเขาก็ยังไม่แลเลย!”
ภายในหมู่บ้านเต็มไปด้วยความครึกครื้น ต่างพูดกันถึงเรื่องแม่หม้ายสาวบนภูเขาผู้นั้น
เด็กๆ ในสำนักศึกษาก็ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน โลกของเด็กๆ บริสุทธิ์กว่ามากนัก พอได้ยินว่ามารดาของจิ่งอวิ๋นจะแต่งงานกับขุนนางใหญ่ผู้ร่ำรวยและจะย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวง พวกเขาก็อิจฉากันแทบแย่
ลานด้านหลังของสำนักศึกษา จิ่งอวิ๋นนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น พยายามเปิดประมูลของที่อัครเสนาบดีเคยใช้แล้ว
“นี่เป็นถ้วยที่อัครเสนาบดีเคยใช้ดื่ม คนที่ดื่มน้ำจากถ้วยที่อัครเสนาบดีเคยใช้ จะสมองปรอดโปร่ง ความคิดโลดแล่น มีสมาธิตลอดทั้งวัน เหมาะกับนักเรียนที่เรียนรู้ช้าที่สุดแล้ว ราคาเริ่มต้นที่สองเหรียญทองแดง จะเริ่มประกาศราคาบัดเดี๋ยวนี้”
“สามเหรียญทองแดง!”
“ห้าเหรียญ!”
“สิบเหรียญ!”
“สิบห้าเหรียญ!”
“ห้าสิบเหรียญ!”
พวกเด็กๆ ที่ล้อมวงกันอยู่พากันสูดหายใจเฮือกใหญ่ จากห้าเหรียญกระโดดไปที่ห้าสิบเหรียญ เก่งกาจยิ่งนัก!
คนที่ตะโกนบอกห้าสิบเหรียญคือบุตรชายของรองหัวหน้ากองแห่งกรมขุนนางคนหนึ่ง มีชื่อเล่นว่าอาพ่าง ซึ่งนับเป็นลูกค้าชั้นดีของจิ่งอวิ๋น ทุกเดือนจะเหมาจ่ายให้จิ่งอวิ๋นห้าตำลึงเป็นค่าทำการบ้าน และให้จิ่งอวิ๋นช่วยพูดถึงตนดีๆ ต่อหน้าบิดา จิ่งอวิ๋นคอยขวางหน้าเขา ไม่ให้เขาถูกรังแก รวมถึงให้สิทธิพิเศษในการลูบเสี่ยวไป๋ได้วันละครั้ง บ้านเขาร่ำรวยมีเงินมาก ไม่สนใจเงินแค่สิบกว่าเหรียญทองแดงนี้
แต่ในสถานศึกษาไม่ได้มีแค่เขาเป็นบุตรชายของรองหัวหน้ากองแห่งกรมขุนนางเพียงคนเดียว แขก VIP อีกคนหนึ่งมีชื่อว่าเซวียโต้วโต้วที่แข่งกับเขาขึ้นมา “หนึ่งร้อยเหรียญ!”
เซวียโต้วโต้วเป็นลูกค้าพิเศษ เขาให้เดือนละสิบตำลึง นอกจากจะได้สิทธิ์พิเศษทุกอย่างที่อาพ่างได้แล้ว ยังได้สิทธิ์ทำผิดกฎสถานศึกษาไม่ต้องโดนลงโทษ งีบหลับระหว่างเวลาเรียนได้ ขนมน้ำชายามบ่าย (ขนมที่กินเหลือจากตอนเช้าแล้วไม่อยากกินแล้ว) รวมถึงได้สิทธิ์พิเศษวาดรูปร่วมกับเสี่ยวไป๋เดือนละครั้ง คนวาดคือ: จิ่งอวิ๋น
อาพ่างไม่ยอมแพ้ให้กับเซวียโต้วโต้ว จึงตบเข่าฉาด “หนึ่งตำลึง!”
เซวียโต้วโต้วไม่พูดอะไรอีก แม่เจ้า ใช้เงินหนึ่งตำลึงซื้อถ้วยเละๆ เทะๆ ใบหนึ่ง เจ้าเก่งก็เอาไปเลย!
“หนึ่งตำลึงครั้งที่หนึ่ง หนึ่งตำลึงครั้งที่สอง หนึ่งตำลึงครั้งที่สาม” จิ่งอวิ๋นทุบค้อนลงกับก้อนหิน “ตกลง ถ้วยของอัครเสนาบดีเป็นของเจ้า”
อาพ่างควักเงินออกมาด้วยความยินดี เขาแทบทนรอไม่ไหว เปิดถุงน้ำออก เทลงจนเต็มถ้วยก่อนจะดื่มอักๆ เข้าไปอึกใหญ่ เขาทำปากแจ๊บๆ เหตุใดรสชาติถึงได้แปลกๆ
เฉียวเวยค้นหาของอยู่ในห้อง ชีเหนียงยกน้ำเข้ามาทำความสะอาด “หาอะไรหรือ ฮูหยิน”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ถ้วยนั้นไม่อยู่แล้ว”
ชีเหนียงถามเสียงหวานว่า “ถ้วยไหนหรือ เดี๋ยวข้าช่วยหา”
เฉียวเวยอธิบายให้ฟังว่า “ถ้วยที่เสี่ยวไป๋เอามาใช้ทำธุระตอนกลางคืนน่ะ”
…
จิ่งอวิ๋นหยิบของอีกอย่างหนึ่งออกมาจากถุงผ้า “นี่เป็นผ้าที่อัครเสนาบดีเคยใช้เช็ดหน้า ท่านแม่บอกว่าของสิ่งนี้เรียกว่าผ้าขนหนู คนที่ใช้ผ้าขนหนูของอัครเสนาบดีล้างหน้าจะรูปโฉมงดงาม เหมาะกับเพื่อนนักเรียนที่ไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตนเอง เปิดราคาที่สิบเหรียญทองแดง”
ที่จิ่งอวิ๋นหน้าตาดี ที่แท้ก็เพราะใช้ผ้าขนหนูของอัครเสนาบดีงั้นหรือ ทุกคนพากันคิดเช่นนี้โดยไม่ได้นัดหมาย ไม่นานก็มีคนเริ่มตะโกนสู้ราคา “สิบห้าเหรียญ!”
“ยี่สิบ!”
“สามสิบ!”
“สี่สิบ!”
“สองร้อย!”
ดูท่าเพื่อนนักเรียนที่ไม่มั่นใจในรูปลักษณ์จะมีอยู่มากทีเดียว…
“ห้าตำลึง!”
เซวียโต้วโต้วที่มักถูกวั่งซูรังเกียจเพราะหน้าตาอัปลักษณ์กัดฟันตะโกนสู้ราคาเสียสูงลิบ
เด็กคนอื่นที่เหลือพากันเงียบกริบ ปากของเอ้อร์โก่วจื่อแทบจะตกลงมาอยู่แล้ว บ้านเขาทั้งปียังหาเงินได้ไม่ถึงห้าตำลึงเลย ช่างล้างผลาญดีแท้…
จิ่งอวิ๋นเอ่ยอย่างสงบนิ่งสบายๆ ว่า “ห้าตำลึงครั้งที่หนึ่ง ห้าตำลึงครั้งที่สอง ห้าตำลึงครั้งที่สาม ตกลง ผ้าขนหนูของอัครเสนาบดีเป็นของเจ้า”
เฉียวเวยยังคงหาอะไรในห้องต่อไป
ชีเหนียงเอ่ยขึ้นว่า “ก็แค่ถ้วยใบหนึ่งเท่านั้น เดี๋ยวข้าไปเอามาให้ใหม่”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความแปลกใจว่า “ไม่ใช่น่ะสิ ข้าเพิ่งรู้ว่าผ้าผืนนั้นก็ไม่อยู่แล้วด้วย!”
ชีเหนียง “ผ้าอะไรหรือ”
เฉียวเวย “ผ้าอ้อมของจูเอ๋อร์”
เซวียโต้วโต้วจ่ายเงินด้วยความยินดี เขาเอาผ้าขนหนูของอัครเสนาบดีไปเช็ดหน้า เหตุใดผ้าเช็ดหน้าถึงได้แข็งเพียงนี้
เขาเอามาเช็ดถูบนใบหน้า พอมีลมหอบหนึ่งพัดมา กลิ่นก็ดูจะไม่ปกติ…
หลังจากนั้นก็มีการประมูลของบางอย่างกันต่อไป เพราะอีกไม่นานจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูจะย้ายที่เรียนกันแล้ว วันหน้าต่อให้ทุกคนมีเงินมากกว่านี้ก็ไม่มีโอกาสซื้อหาของของ “อัครเสนาบดี” อีก ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มล้างผลาญเงินกันขึ้นมา
“เคล็ดลับการต่อสู้เล่มนี้เป็นของข้า!”
“ของข้า!”
“เจ้าไม่มีเงินแล้ว!”
“เจ้าก็ไม่มีเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
คนที่ทะเลาะกันไม่ใช่อาพ่างกับเซวียโต้วโต้ว แต่เป็นเศรษฐีน้อยมือเติมอีกสองคน
หนึ่งในนั้นปลดเอาสร้อยทองที่คล้องอยู่บนคอออกมา “ข้าจะใช้เจ้านี่ซื้อ!”
“ข้าก็มีกุญแจอายุยืน!” เด็กอีกคนปลดกุญแจอายุยืนของตนออกมา ของเขาทำขึ้นจากหยก
วั่งซูมองกุญแจอายุยืนสีทองอร่ามแล้วสูดน้ำลายโดยแรง
จิ่งอวิ๋นถามว่า “อยากได้กุญแจสีทอง?”
วั่งซูพยักหน้า
จิ่งอวิ๋นอยากได้กุญแจหยก
วั่งซู “…”
…
เพื่องานแต่งงานที่กำลังจะมาถึง จวนอัครเสนาบดีแขวนโคมสีสันสดใส ตามถนนหนทางปูผ้าแดงผืนหนา ตรงระเบียงทางเดินแขวนโคมอันใหญ่สีแดงสด ดอกไป๋อวี้หลันถูกย้ายออกไปแล้ว เปลี่ยนเป็นดอกโบตั๋นสีสันสดใสแทน ต้นหนึ่งสีชมพู ต้นหนึ่งสีแดง ต้นหนึ่งสีม่วง จวนที่เคร่งขรึมจึงค่อยๆ มีสีสันของงานมงคลเข้ามาปกคลุม
หลิวเกอร์ไปเยี่ยมคารวะจีเหล่าฮูหยินที่เรือนลั่วเหมย ภายในเรือน สาวใช้ที่ฉลาดเฉลียวคล่องแคล่วกำลังปีนบันไดเปลี่ยนโคมหลิงหลงแปดเหลี่ยมที่แขวนอยู่ตรงระเบียง โคมของเดิมขอบเป็นสีน้ำตาล ครอบตัวกระดาษสีขาว ตัวโคมวาดลายชิงเหมยด้วยสีหมึก ให้ความงดงามที่สดชื่นสง่างาม เวลานี้ที่เปลี่ยนขึ้นไปใหม่ยังคงเป็นโคมหลิงหลงแปดเหลี่ยม แต่ตรงขอบกลับเป็นสีแดงเข้ม กรอบโคมก็มีหลายสีสัน วาดลวดลายเป็นตัวบุคคลที่น่าสนใจ โคมแต่ละอันวาดได้พอดีจบหนึ่งเรื่อง
พู่ของโคมบ้างแดง บ้างชมพู บ้างฟ้า เมื่อมีลมอ่อนๆ พัดมา ปลายพู่พลิ้วไสว เรือนที่ดูเงียบเหงาจู่ๆ ก็มีสีสันของวัยหนุ่มสาว รวมถึงความเป็นเด็กที่แม้แต่หลิวเกอร์ก็ยังสัมผัสได้
“จะปีใหม่แล้วหรือท่านย่า หิมะยังไม่ตกเลย” หลิวเกอร์เดินเข้าไปหาผู้เป็นย่าแล้วถามด้วยความสงสัย
เก้าอี้หวายของจีเหล่าฮูหยินย้ายจากระเบียงทางเดินไปอยู่กลางลาน นางคอยดูพวกสาวใช้แขวนโคม รอยยิ้มเต็มใบหน้า ครั้นหลิวเกอร์เอ่ยถาม รอยยิ้มบนใบหน้านางก็ยังไม่หายไป หลิวเกอร์รู้สึกเพียงว่ารอยยิ้มของท่านย่าช่างดูอบอุ่น ยินดียิ่งนัก ในความทรงจำของเขาไม่เคยมีเช่นนี้มาก่อน
จีเหล่าฮูหยินลูบศีรษะน้อยๆ ของหลานชายพลางยิ้มอย่างมีเมตตา “ไม่ใช่ปีใหม่จ๊ะ แต่เจ้าจะมีพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว”
“พี่สะใภ้ใหญ่?” หลิวเกอร์ดูคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ
จีเหล่าฮูหยินมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า เอ่ยอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ก็คือภรรยาของพี่ใหญ่เจ้า พี่ใหญ่เจ้าจะแต่งงานแล้ว”
“เหมือนท่านพ่อกับท่านแม่อย่างนั้นหรือขอรับ” หลิวเกอร์ถาม
จีเหล่าฮูหยินพยักหน้า “ใช่แล้ว เหมือนท่านพ่อกับท่านแม่เจ้านั่นแหละ”
“ต่อไปพี่ใหญ่จะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วหรือ” เขากลัวพี่ใหญ่ยิ่งนัก
จีเหล่าฮูหยินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ใช่แค่พี่ใหญ่ของเจ้า แต่จะมีพี่สะใภ้ใหญ่กับหลานชายหลานสาวของเจ้าด้วย พวกเขาอายุพอๆ กับเจ้า แต่เจ้าเป็นอาของพวกเขา ดังนั้นเจ้าต้องคอยดูแลพวกเขา เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วขอรับ” หลิวเกอร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย ในจวนที่เงียบเหงา หากมีเพื่อนเล่นสักคนเขาเองก็ยินดียิ่งนัก
หรงมามาเดินนำช่างไม้พร้อมกับไม้คู่หนึ่งเข้ามา
“นี่คือตู้หรือ” จีเหล่าฮูหยินถาม
หรงมามาตอบว่า “เป็นเตียงเจ้าค่ะ หลังที่ท่านจองเอาไว้ อีกไม่นานก็จะประกอบได้แล้ว ท่านว่าจะให้ประกอบที่ใดถึงจะเหมาะเจ้าคะ ห้องตะวันตกหรือห้องตะวันออก”
“ประกอบในห้องข้าก็แล้วกัน” จีเหล่าฮูหยินบอก
หรงมามายิ้ม “ก็ดีเจ้าค่ะ เล่นเหนื่อยแล้วจะได้เข้าไปนอนกลางวันในห้องท่าน”
“ไว้ให้ข้านอนหรือ” หลิวเกอร์ทำตาโตขณะถาม
จีเหล่าฮูหยินยิ้มพลางลูบบ่าอีกฝ่าย “หากหลิวเกอร์ชอบ ย่าจะให้คนทำให้เจ้าอีกหลังหนึ่ง”
ที่แท้ก็ไม่ได้ทำให้เขานี่เอง หลิวเกอร์รู้สึกผิดหวัง
…
ประเพณีการแต่งงานของต้าเหลียง ตั้งแต่รับของหมั้นไปจนถึงรับตัวเจ้าสาว ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะพบหน้ากันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าไม่เป็นมงคล ดังนั้นกิจวัตรประจำวันของจีหมิงซิวจึงเปลี่ยนไป เข้าประชุมอย่างว่าง่าย คิดถึงภรรยาและบุตร เลิกประชุมอย่างว่าง่าย คิดถึงภรรยาและบุตร รวมถึงเข้านอนอย่างว่าง่าย คิดถึงภรรยาและบุตร
เมื่อเขาไม่มา เฉียวเวยจึงเป็นของเฉียวเจิงแต่เพียงผู้เดียว วันๆ หนึ่งเฉียวเจิงคอยอยู่เป็นเพื่อนบุตรสาว ซึ่งนับว่าได้ทำตัวเป็นบิดาผู้มีเมตตาอย่างเป็นสุขสักครั้ง
แต่ก็เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เรื่องงานแต่งงานหวังพึ่งพาอะไรเขาไม่ได้เลยจนนิดเดียว ทั้งหมดล้วนต้องรบกวนให้ฮูหยินสี่วิ่งไปวิ่งมา กับตัวเฉียวเวยไปลงแรงเองเล็กน้อยเท่านั้น
เฉียวเวยนั่งอยู่ในห้อง จัดการเรื่องรายชื่อแขกให้เรียบร้อย ตามขนบธรรมเนียมของหมู่บ้านซีหนิว ก่อนฝ่ายหญิงจะแต่งงานออกไปต้องมีการจัดโต๊ะเลี้ยงสุรา นางต้องคิดให้ดีว่าจะเชิญใครบ้าง
ระหว่างที่นางเขียนรายชื่ออยู่นั้น พอเหลือบขึ้นไปมองก็เห็นเฉียวเจิงที่กำลังส่งยิ้มแหยๆ มาที่ตน จึงถามว่า “ท่านให้ข้าแต่งงานออกไปเช่นนี้ จะไม่คิดถึงข้าหรือ”
เฉียวเจิงตอบว่า “คิดถึงสิ”
เฉียวเวยวางพูดกันแล้วหรี่ตายิ้ม “ถ้าเช่นนั้น…ข้าไม่แต่งแล้วก็แล้วกัน”
เฉียวเจิงคิดแล้วบอกว่า “เจ้าแต่งไปจะดีกว่า หากไม่แต่งคงไม่มีใครช่วยหาแม่เจ้าแล้ว”