ตอนที่ 177 งานมงคลสมรส (2)

“ไม่แจ้งข่าวท่านตาหรือ” เฉียวเวยข่มความอยากกระแนะกระแหนที่ท่วมท้นขึ้นในจิตใจเอาไว้ขณะถามขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ

“ท่านตาเจ้า” สีหน้าเฉียวเจิงดูงุนงง

เฉียวเวยยกพู่กันขึ้นเขียนชื่อซวนจื่อลงไป “ราชาโอสถอย่างไรเล่า ท่านแม่ข้าไม่ได้เป็นคุณหนูของหุบเขาสมุนไพรหรือ”

เฉียวเจิงตอบว่า “ไม่ใช่ ราคาโอสถพ่ายแพ้ให้แก่แม่เจ้าต่างหาก ท่านแม่เจ้าจับเขามัดไว้แล้วอาศัยฐานะบุตรสาวของเขาแต่งงานออกมา”

อย่างนี้ก็ได้ด้วย?!

“ท่านแม่ข้าเป็นใครกันแน่” เฉียวเวยรู้สึกสนใจใคร่รู้ในตัวมารดาผู้ที่ยังไม่เคยเห็นหน้าผู้นี้มากขึ้นไปอีก

เฉียวเจิงใคร่ครวญด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่รู้”

เฉียวเวย “…”

ท่านไม่รู้กระทั่งว่าท่านแม่ข้าเป็นใคร แต่ก็ยังแต่งงานกับนางทั้งอย่างนั้นเนี่ยนะ ท่านไม่กลัวนางเป็นฆาตกรฆ่าคนหรือ!

ต้นเดือนเก้า หัวหน้าชุยมารับสินค้า เมื่อได้พบเฉียวเวยเขาก็ยิ้มกว้างพลางประสานมือ “ยินดีกับเฉียวฮูหยิน ยินดีกับเฉียวฮูหยิน”

เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ขอบคุณหัวหน้าชุยมาก”

หัวหน้าชุยประหนึ่งต้นไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ยิ้มกว้างจนแทบไม่เห็นดวงตา หากไม่ใช่เพราะมีหูทั้งสองข้างขวางอยู่ ปากของเขาอาจฉีกไปถึงท้ายทอยแล้วก็เป็นได้ “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าตัวข้าทำการค้า แต่ดันได้มากอดต้นไม้ต้นใหญ่เสียด้วย!”

เฉียวเวยเอ่ยด้วยความเกรงใจว่า “ดูหัวหน้าชุยพูดเข้า คนที่ได้กอดต้นไม้ใหญ่คือข้าต่างหาก หัวหน้าชุยเส้นสายกว้างขวาง กิจการไข่เยี่ยวม้ายังต้องพึ่งพิงหัวหน้าชุยอีกมาก”

หัวหน้าชุยยิ้มพริ้มพลางเอ่ยว่า “ที่ไหนกันๆ ข้าต่างหากที่ต้องพึ่งพิงฮูหยินน่ะ”

ทั้งสองพูดจาตามมารยาทกันไปมา เมื่อเอ่ยกันพอเป็นพิธีแล้ว หัวหน้าชุยถึงได้ค่อยๆ เก็บสีหน้าที่ออกจะเกินพอดีไปสักหน่อยกลับมา “บุตรทั้งสองของฮูหยิน…”

เฉียวเวยพลันระบายยิ้ม “เป็นบุตรของเขา”

“อา” หัวหน้าชุยพลันกระจ่างแจ้งแก่ใจ ตามด้วยลอบถอนหายใจเงียบๆ เจาหวังเฟยท่านช่างดวงแข็งดีแท้ที่ไม่ได้ทำร้ายบุตรสาวของอัครเสนาบดีเข้า ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าทั้งตระกูลรอรับผลกรรมได้เลย!

เดือนเก้าเป็นเดือนที่วุ่นวายที่สุดตั้งแต่เฉียวเวยข้ามภพมา นางทั้งต้องเตรียมตัวแต่งงาน ทั้งต้องถ่ายทอดงานของโรงงานให้เรียบร้อย ชีเหนียงสามารถจัดการงานอะไรได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นสตรี ลึกๆ แล้วยังมีบางคนที่ไม่ยอมรับ เฉียวเวยไล่คนงานสองคนที่สะบัดหน้าใส่ชีเหนียงเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าลองดีอีก

ป้าหลัวกับชุ่ยอวิ๋น ป้าจ้าว เอ้อร์โก่วจื่อขึ้นเนินมาตกแต่งห้องหับให้เฉียวเวย ดีร้ายอย่างไรก็เป็นคนจะแต่งงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้มีความเป็นมงคลสักหน่อย ฮูหยินผู้ใหญ่บ้านมาเองโดยไม่ได้รับเชิญ พร้อมกับกระดาษแดงที่ซื้อมาจากในตัวเมือง

กระดาษเป็นสินค้าที่มากค่าราคาแพงสำหรับต้าเหลียง ก่อนหน้าที่เฉียวเวยจะให้เงินสนับสนุนสำนักศึกษานั้น สำนักศึกษาใช่กันแต่แผ่นไม้ไผ่ คนทั่วไปนอกจากจัดงานใหญ่โตแล้ว จะไม่มีกระดาษใช้กันง่ายๆ เวลาแต่งงานก็เพียงซื้อกระดาษสามแผ่นห้าแผ่นมาแปะที่หน้าประตูสองแผ่น แปะที่ห้องหออีกสองสามแผ่นเท่านั้น

ฮูหยินผู้ใหญ่บ้านซื้อมาทีเดียวเป็นปึก เรียกได้ว่าเอาเงินค่ากินอยู่ของนางหลายเดือนโปะลงไปด้วยทีเดียว แต่ใครใช้ให้อีกฝ่ายเป็นฮูหยินอัครเสนาบดีในอนาคตเล่า นางจะทำให้ดูอนาถเกินไปนักคงจะไม่ได้จริงหรือไม่

สตรีหลายคนนั่งล้อมกันอยู่ในห้องโถง ตั้งต้นตัดกระดาษมงคล พวกนางเริ่มมือไม้คล่องแคล่ว ไม่นานก็ตัดมาได้เป็นกอง

ป้าหลัวยินดีเป็นที่ยิ่ง “ที่หน้าประตูใหญ่แปะสองอัน ตรงหน้าต่างแปะอันหนึ่ง ตามประตูแปะบางละอัน บนเตียงแปะให้หมดทั้งสามด้าน ตรงส่วนอื่นก็ตามตู้ ตามกำแพง แปะไว้ให้หมด!”

ฮูหยินผู้ใหญ่บ้านเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “นี่เป็นบ้านเจ้าสาวที่เป็นหน้าเป็นตาที่สุดในละแวกสิบลี้แปดหมู่บ้านของเราเชียวนะ!”

คนทั้งห้องพากันหัวเราะ

ฮูหยินผู้ใหญ่บ้านเอ่ยล้อเล่นอีกว่า “ป้าหลัวเจ้าช่างเป็นคนดีได้ดีจริงๆ ต่อไปเจ้าก็จะเป็นมารดาบุญธรรมของอัครเสนาบดีแล้ว ไว้ข้าจะไปดูที่เนินสุสานของเจ้า ดูสิว่ามีหญ้าเขียวชอุ่มขึ้นหรือไม่”

ป้าหลัวอดหัวเราะพลางทุบนางให้ทีหนึ่ง (กำหมัด)

พวกนางพูดคุยเล่นหัวกัน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ตอนกลางวันมีคนจากตระกูลจีมา ซึ่งก็คือหรงมามา

วันนั้นที่หรงมามากับจีหว่านมามอบของหมั้นป้าหลัวก็อยู่ด้วย ป้าหลัวจำนางได้ แต่พวกฮูหยินผู้ใหญ่บ้านกลับเพิ่งเคยพบนางเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอายุประมาณห้าสิบปี บำรุงดูแลตนเองได้ดี ถึงแม้ใบหน้าจะมีรอยเหี่ยวย่นบ้างแต่สีหน้ากลับมีเลือดฝาด การแต่งกายสะอาดเรียบร้อย ดูมีกลิ่นอายแห่งความเป็นผู้ดีเต็มตัว นางยังคิดว่าเป็นฮูหยินคนใดจากทางฝ่ายเจ้าบ่าวเสียอีก

ป้าหลัวยิ้มพร้อมเอ่ยทักทายแล้วแนะนำว่า “ท่านนี้คือหรงมามาจากตระกูลจี”

ที่แท้ก็เป็นบ่าวสูงอายุจากตระกูลจีนี่เอง เหตุใดแม้แต่บ่าวคนหนึ่งยังดูเหมือนคุณนายชั้นสูงไปได้ ฮูหยินนายอำเภอยังดูมีบารมีสู้นางไม่ได้เลย

ทุกคนพากันชะงักไป

หรงมามาเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นมิตรยินดีว่า “กำลังตัดกระดาษให้แม่นางเฉียวอยู่นี่เอง ตัดได้ไม่เลวเลยนะ”

รอยยิ้มของนางดูไม่ถือตัว ทำให้ทุกคนรู้สึกเย็นสบาย หญิงสูงอายุในหมู่บ้านที่ใบหน้าหยาบกระด้างพากันหน้าแดงระเรื่อ

ถึงอย่างไรก็เพียงให้เกียรติเฉียวเวยเท่านั้น ดูไม่มีทีท่าว่าจะพูดคุยกับพวกนางต่ออีก หรงมามาหันไปหาป้าหลัวแล้วอมยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางเฉียวอยู่หรือไม่”

ป้าหลัวยิ้มพลางชี้ไปทางหนึ่ง “อยู่ในห้องแหนะ”

หรงมามาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแล้วเดินไป

ฮูหยินผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจยาวเหยียดพลางยกมือเช็ดหน้าผาก แม่เจ้า ตื่นเต้นจนเหงื่อแตกไปหมดทีเดียว!

หรงมามาพอหาตัวเฉียวเวยพบก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้ “…เหล่าฮูหยินเกรงว่าวันงานสมรสของจะเยอะเกินไป สู้ขนไปก่อนส่วนหนึ่งจะดีกว่า หากตกแต่งห้องนายน้อยเรียบร้อย ก็จะได้พักอยู่อย่างสบาย”

พูดให้ชัดก็คือจีเหล่าฮูหยินเป็นห่วงหลานตัวน้อยมากเกินไป ต่อให้ไม่ได้เห็นหน้า ก็อยากเอาข้าวของของหลานตัวน้อยไปวางไว้ให้อุ่นใจก่อนก็ยังดี

เฉียวเวยเข้าใจความหมายของหรงมามา จึงเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “ได้สิ ข้าจะไปลองดูว่ามีอะไรพอเก็บได้ก่อนบ้าง”

เฉียวเวยไปที่ห้องของวั่งซูก่อน นางเก็บเสื้อผ้าของวั่งซูใส่ลงในหีบ เหลือเพียงไม่กี่ชุดเอาไว้เปลี่ยนซักเท่านั้น

เมื่อได้เห็นท่าทางนางเก็บข้าวของอย่างคล่องแคล่ว หรงมามาคิดจะเข้าไปช่วยก็ไม่รู้จะเข้าไปอย่างไร นางนึกทอดถอนใจออกมาโดยไม่รู้ตัว หลายปีนี้นางคงผ่านมาไม่ง่ายเลย ไม่อย่างนั้นคุณหนูผู้อ่อนหวานบอบบางจะทำอะไรพวกนี้เป็นหรือ

เมื่อเก็บเสื้อผ้าวั่งซูเรียบร้อยแล้ว เฉียวเวยก็ไปเก็บเสื้อผ้าของจิ่งอวิ๋นต่อ

เสื้อผ้าของเด็กสองคนใส่ไว้ในหีบไม้ใบเดียวกันยังพอ หรงมามารู้สึกสงสารจับใจ หลิวเกอร์ยามอยู่ในจวน เสื้อผ้าเดือนหนึ่งยังแบบไม่ซ้ำเลยด้วยซ้ำ แค่เสื้อผ้ารองเท้าของเขาคนเดียวก็กินพื้นที่ไปทั้งห้องแล้ว

หรงมามาหยิบเสื้อชั้นนอกตัวน้อยของจิ่งอวิ๋นขึ้นมาดู ตรงแขนเสื้อยังมีรอยปะชุนเสียด้วย นางน้ำตาเกือบไหลออกมาทีเดียว

จากนั้นเฉียวเวยก็ไปหาหีบอีกใบมาใส่ของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยของพวกเขาสองคน ของของจิ่งอวิ๋นไม่ค่อยหลากหลาย มีแต่พวกหนังสือกับม้วนไม้ไผ่ หนังสือของเขาทุกเล่มล้วนจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีเล่มใดขอบมุมม้วนงอเลยสักนิด หนังสือไม้ไผ่ก็มีการเช็ดทำความสะอาดไม่มีฝุ่นให้เห็น ใต้เตียงเขามีหีบของส่วนตัวของเขาสอดเอาไว้ เฉียวเวยไม่ได้แตะต้อง พอเสร็จก็ไปที่ห้องของวั่งซู

ของของวั่งซูเริ่มมีมาก แค่ตุ๊กตาผ้าก็มีอยู่เป็นสิบตัวแล้ว แต่ละตัวอยู่ใน “สภาพยับเยิน” ทั้งสิ้น ไม่แขนขาดขาหายก็หัวไม่มี เฉียวเวยพอเห็นก็เอาเข็มเย็บ ส่วนพวกที่ซุกอยู่ในตู้ทำได้แค่ปล่อยทิ้งเอาไว้อย่างนั้น

หรงมามายิ่งสงสารหนักขึ้นไปอีก ไม่มีเงินซื้อของเล่น แม้แต่ตุ๊กตาผ้าก็ยังไม่มีชิ้นดี!

วั่งซูแค่จับ

นกยูงทองก็บิดเบี้ยว!

วั่งซูแค่ทับ

ลูกคิดของลูกคิดทองก็บี้แบน!

วั่งซูเลยหักทิ้ง

หรงมามากอบเอาข้าว (ทอง) ของ (คำ) ยับๆ เยินๆ หีบหนึ่งกลับไปพร้อมน้ำตานองหน้า

คุณหนูน้อยของนางน่าสงสาร น่าสงสารเกินไปแล้ว…

วันเวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับโกหก เพียงพริบตาก็ปลายเดือนเก้าแล้ว

วันๆ หนึ่งเฉียวเวยวนเวียนอยู่ระหว่างโรงงานกับหรงจี้ นางสงบนิ่งราวกับผิวน้ำ ท่าทางไม่เหมือนสตรีที่รอจะออกเรือนสักนิด

ครั้นเมื่ออีกเจ็ดวันจะถึงวันมงคลสมรส ฮูหยินสี่กับอาสี่เฉียวปี้มาพักกันที่บ้านของเฉียวเวย พร้อมพาบ่าวไพร่สิบกว่าคนมาเป็นลูกมือด้วย ชีเหนียงกับปี้เอ๋อร์เก็บกวาดเรือนเล็กไว้ให้พวกบ่าวไพร่เข้าพัก

ในบรรดาสิบกว่าคนนั้นมีพ่อครัว สาวใช้ สาวใช้สูงอายุ และบ่าวเด็กหนุ่ม ในวันมงคลสมรส สถานที่จัดงานที่ต้องจัด ข้าวของที่ต้องยก สินเดิมที่ต้องจัดการล้วนมีพวกเขาคอยดูแลรับผิดชอบทั้งสิ้น

เมื่อในบ้านมีคนเพิ่มมากขึ้น คนที่ดีใจที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าซาลาเปาน้อย บ้านพวกเขาไม่เคยคึกคักเช่นนี้มาก่อน ครึกครื้นยิ่งกว่าปีที่แล้วเสียอีก ดีจริงเชียว!

ครั้นเมื่ออีกห้าวันจะถึงวันมงคลสมรส ข้าวของต่างๆ จัดเก็บจนเรียบร้อย โต๊ะเก้าอี้ใดๆ ก็ซื้อจนครบถ้วน

ฮูหยินสี่กับป้าหลัวเข้าไปที่ตัวเมือง จัดการสั่งวัตถุดิบที่ต้องใช้ในวันมงคลสมรสจนเรียบร้อย บอกให้ไปส่งที่บ้านบนเนินตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง

เฉียวปี้จัดเตรียมน้ำตาลมงคลที่จะแจกให้แขกเหรื่อเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

น้ำตาลมงคลของบ้านตระกูลเฉียวไม่ใช่น้ำตาลที่คนในหมู่บ้านกินกัน พวกนางใช้นมชั้นดีละลายกับน้ำตาลหมักและน้ำตาลอ้อย จากนั้นยังใช้กระดาษแผ่นบางที่ทำจากข้าวเหนียวห่อทีละเม็ดแล้วเอาใส่ในถุงกระดาษลายไม้ไผ่ ทั้งงดงามทั้งรสชาติดี

กระบอกพลุเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

พวกนางยังขอให้คนจากในหมู่บ้านมาช่วยงาน คนเหล่านั้นใครควรทำอะไรล้วนบอกกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจน

เมื่ออีกสองวันจะถึงวันแต่งงาน จีหว่านก็มาที่บ้านอีกครั้ง

เฉียวเวยปรายตามองอีกฝ่ายเรียบๆ “เจ้ามาทำอะไรอีก”

จีหว่านกรอกตาบน “เจ้าคิดว่าข้าอยากมา?”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ไม่อยากก็ไม่ต้องมาสิ เจ้าจะฝืนใจตนเองไปไย”

จีหว่านส่งเสียงเหอะแล้วเอาหนังสือเล่มที่กอดไว้ออกมา สองตามองไปนอกหน้าต่างก่อนจะแสร้งทำเป็นวางกระแทกลงบนโต๊ะเฉียวเวยด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“นี่คืออะไร” เฉียวเวยหยิบหนังสือที่ยังคงมีไออุ่นและกลิ่นกายของจีหว่านขึ้นมาพลิกดู หน้านางพลันแดงก่ำ

พวกป่าเถื่อน!

ว่าตามตรงจีหว่านก็ไม่อยากทำตัวป่าเถื่อนเช่นนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของน้องชายนาง นางจำต้องเอาหน้าตัวเองเข้ามาเกี่ยวด้วย “ไม่ ไม่เข้าใจก็ถามข้า”

เฉียวเวยเดาะลิ้น

เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ เจ้าคิดว่าสมัยอยู่ยุคปัจจุบันข้าดูหนังผู้ใหญ่เหล่านั้นอย่างเปล่าประโยชน์งั้นหรือ!

คืนสุดท้ายก่อนวันมงคลสมรสเฉียวเวยกับลูกๆ เข้านอนกันแต่หัววัน

แสงเทียนในห้องเฉียวเจิงสว่างอยู่ทั้งคืน