ตอนที่ 178-1 งานมงคลสมรส (จบ)

นาฬิกาชีวิตของเฉียวเวยคือตีห้า แต่กระนั้นในวันมงคลสมรสนี้ นางถูกฮูหยินสี่ปลุกขึ้นมาตั้งแต่ตีสี่ ฮูหยินสี่เขย่าหัวไหล่นางพร้อมกระซิบเรียกว่า “ตื่นได้แล้ว เสี่ยวเวย”

เฉียวเวยขยี้ตา พอตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงยุ่งวุ่นวายดังอยู่ข้างนอก ห้องครัวเริ่มทำงานกันแล้ว

“เช้าเพียงนี้เชียวหรือ” เฉียวเวยอ้าปากหาวพลางลุกขึ้นนั่ง

ฮูหยินสี่เห็นอีกฝ่ายปลุกง่ายเช่นนี้จึงระบายยิ้ม “วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้าเชียวนะ จะไม่เช้าได้อย่างไร”

เฉียวเวยร้องอ้อคำหนึ่ง

ฮูหยินสี่จึงยิ่งอยากหัวเราะขึ้นไปอีก เด็กคนนี้จะรู้สึกว่าเป็นวันมงคลสมรสสักนิดก็หาไม่ สตรีนางอื่นวันแต่งงานมีแต่จะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ แต่ดูจากใบหน้ามีเลือดฝาดของนาง คล้ายว่าหลับสนิทมาตลอดคืน

เฉียวเวยหลับสนิทมากจริงๆ จิตใจนางแข็งแกร่งมากพอ ต่อให้เรื่องใหญ่แค่ไหนก็ไม่กระทบเรื่องการนอนหลับของนางทั้งสิ้น

เมื่อนอนหลับเต็มอิ่ม จิตใจก็กระปรี้กระเปร่า

เฉียวเวยยืดเอวบิดขี้เกียจ เพียงพริบตาก็สดชื่นแจ่มใส

ฮูหยินสี่ให้คนเตรียมน้ำร้อนไว้ตั้งแต่ก่อนมาปลุกเฉียวเวยแล้ว เวลานี้น้ำอุ่นกำลังพอดี จึงพาเฉียวเวยไปหลังฉากกั้นกันลม

เฉียวเวยพอเห็นน้ำโรยกลีบดอกไม้ที่ส่งไอพวยพุ่งอยู่เต็มถัง ฝีเท้าก็พลันชะงัก “จะทำอะไรน่ะ”

“อาบน้ำอย่างไร” ฮูหยินสี่ตอบยิ้มๆ แล้วหันไปพยักหน้าให้ปี้เอ๋อร์ ปี้เอ๋อร์ก้าวเข้ามาปรนนิบัติเฉียวเวยให้เปลี่ยนเสื้อผ้า

เป็นเจ้าสาวยังได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ด้วยหรือ เฉียวเวยเลิกคิ้ว ปล่อยให้ปี้เอ๋อร์ลอกคราบตนเองจนล่อนจ้อน เรือนร่างที่งดงามของนางเล่นเอาฮูหยินสี่อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ผู้หญิงด้วยกันเห็นแล้วยังอดหน้าแดงใจสั่นไม่ได้ หากหลานเขยได้เห็น น่ากลัวว่าคงได้กลายร่างเป็นหมาป่า

เฉียวเวยนั่งลงไปในถังน้ำ

ปี้เอ๋อร์ใช้กระบวยไม้ตักกลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำขึ้นมากระบวยหนึ่งแล้วรดเบาๆ ลงบนหัวไหล่ของเฉียวเวย

ผิวพรรณของฮูหยินช่างงดงามเหลือเกิน ราวกับกระเบื้องเคลือบก็มิปาน ปี้เอ๋อร์คิดในใจ

เฉียวเวยเอามือกอบกลีบดอกไม้ขึ้นมา “มีส้มโอด้วยหรือ”

ฮูหยินสี่เห็นเปลือกส้มโอในมือนางจึงตอบว่า “เจ้าหมายถึงเหวินตั้น?”

“ที่แท้พวกเจ้าก็เรียกส้มโอว่าเหวินตั้นนี่เอง” เฉียวเวยเอ่ยด้วยความสงสัย “เหตุใดถึงต้องใส่เปลือกเหวินตั้นหรือ”

ฮูหยินสี่เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไว้ปัดเป่าความโชคร้าย”

เปลือกแตงโตช่วยปัดเป่าความโชคร้ายหรือนี่ เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เฉียวเวยโยนเปลือกส้มโอกลับลงน้ำ

ปี้เอ๋อร์เอาผงทำความสะอาดขึ้นมาฟอกผมให้เฉียวเวย

ฮูหยินสี่ยังกำชับบ่าวหญิงข้างกายตนอีกว่าให้บีบนวดหัวไหล่และท่อนแขนให้เฉียวเวยโดยละเอียดด้วย

ช่างบีบนวดได้สบายเหลือเกิน

เฉียวเวยนั่งพิงขอบถัง หลับตาดื่มด่ำการปรนนิบัติที่ได้รับ ที่แท้การมีคนคอยปรนนิบัติมันสบายเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าคนมีเงินพวกนั้นถึงต้องซื้อตัวสาวใช้กลับมา

ปุดๆ

ใต้กลีบดอกไม้มีฟองอากาศผุดขึ้นมา

กลิ่นคาวเลือดอ่อนๆ กระจายอยู่ในถังน้ำ กลิ่นคาวเลือดนี้มีเพียงจางๆ ทั้งยังถูกกลิ่นดอกไม้และกลิ่นส้มโอกลบอยู่ แต่ถึงอย่างไรเฉียวเวยก็เกิดเป็นหมอ จึงอ่อนไหวกับกลิ่นคาวเลือดมากกว่าคนทั่วไป นางแทบจะได้กลิ่นแปลกๆ นี้ในทันที จึงพลันเบิกตาโต โน้มตัวไปข้างหน้าพร้อมยื่นแขนออกไปปัดกลีบดอกไม้เพื่อให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใต้!

เสี่ยวไป๋จริงด้วย!

เสี่ยวไป๋ที่มีเลือดกำเดาทะลักออกมา…

เฉียวเวยหงุดหงิดจนกลายเป็นเดือดดาล “เจ้าเสี่ยวไป๋ลามก! ถึงขั้นแอบดูข้าอาบน้ำเชียวหรือ! ข้าว่าเจ้าอยากโดนดีสินะ!”

เสี่ยวไป๋ถูกจัดการอย่างน่าเวทนา เดินคอตกแขนห้อยกลับขึ้นคานห้องไปกอดงูสุดรักของตนด้วยความสลดหดหู่ยิ่ง

แช่น้ำเสร็จฟ้าก็ยังไม่สว่าง ปี้เอ๋อร์เปลี่ยนชุดตัวในสีแดงสดและชุดตัวนอกสีแดงสดให้เฉียวเวย ผิวพรรณของเฉียวเวยเนียนนุ่ม ขาวผ่องราวกับหยก เมื่อตัดกับเนื้อผ้าสีแดงสดยิ่งทำให้ดูเปล่งประกายจนน่าตกใจ

“จะใส่ชุดแต่งงานแล้วหรือ” เฉียวเวยถาม ในใจรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย นี่เหมือนความรู้สึกเด็กน้อยอยากลองชุดแต่งงานกระนั้น

ฮูหยินสี่เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ยังไม่เร็วเพียงนั้น เจ้ากินอะไรเสียก่อน ปล่อยให้ผมแห้งอีกนิด น้องเขยเห็นใจที่เจ้าพักอยู่ไกล จึงตั้งใจให้ฤกษ์ดีไปอยู่ในช่วงเย็น ทำเช่นนี้มีทั้งดีทั้งไม่ดี ที่ดีก็คือเจ้าไม่ต้องเร่งรีบเดินทางไปกลางดึก ไม่ดีก็คือน่ากลัวว่าเจ้าจะต้องทนหิวไปทั้งวัน”

เฉียวเวยคิดในใจว่าข้าเป็นคนตัวเป็นๆ ยังจะปล่อยให้ตัวเองหิวได้หรือ พอขึ้นไปนั่งบนรถม้า ใครจะรู้ว่าข้าทำอะไรอยู่ข้างใน

ฮูหยินสี่ให้คนไปบอกให้ห้องครัวนำอาหารเข้ามา

เด็กน้อยสองคนยังหลับคร่อกฟี้กันอยู่ ทุกคนจึงพยายามเดินให้เสียงค่อยที่สุด

ไม่นานหมั่นโถวหนึ่งเข่งกับลูกชิ้นเนื้อหนึ่งชามก็ถูกยกเข้ามา ล้วนเป็นของที่กินให้อิ่มท้องทั้งสิ้น

เฉียวเวยไม่เลือกกิน จึงจัดการอาหารเช้าลงไปอย่างรวดเร็ว

ผมเผ้านางแห้งประมาณหนึ่งแล้ว ปี้เอ๋อร์ยกชุดแต่งงานเข้ามาช่วยผลัดเปลี่ยนให้เฉียวเวย

นี่เป็นชุดแต่งงานที่พอดีตัวมาก ช่วงเอวรัดจนคอดกิ่ว แขนเสื้อกว้างยาว กระโปรงจีบคล้ายฝักบัวคว่ำ บานออกเป็นองศาที่โปร่งสบาย ชุดแต่งงานแบ่งออกเป็นสองชุด อีกชุดหนึ่งทำจากผ้าโปร่งบางสีแดง เมื่อห่มคลุมลงมาบนกายทำให้ดูงดงามพริ้วไหวขึ้นทันตา

ทุกคนพากันอุทานด้วยความตกใจ ชุดแต่งงานที่งดงามจับตาเช่นนี้ เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ!

ชุดก็งามคนก็สวย ถึงแม้จะยังไม่ทันได้ผัดหน้า แต่เฉียวเวยเป็นคนพื้นฐานดี ผิวขาวจนไม่มีจุดด่างพร้อยสักนิด เลอโฉมจนเอาความงดงามของชุดแต่งงานอยู่

เวลานี้ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ตรงริมขอบฟ้าเริ่มมีแสงสีขาวปรากฏให้เห็น

จิ่งอวิ๋นขยับพลิกตัวตื่นก็หันมาเห็นท่านแม่ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ท่านแม่อยู่ในชุดแต่งงานสีแดงสุด งดงามราวกับเทพธิดา

จิ่งอวิ๋นเหลือบขึ้นไปมอง “ชุดงานมงคล” ตัวน้อยที่พาดอยู่ตรงหัวเตียงกับดอกไม้สีแดงที่อยู่บน “ชุดงานมงคล” ตัว เขาเคยดูละครที่ปากหมู่บ้าน เจ้าบ่าวในละครก็แต่งกายเช่นนี้

จิ่งอวิ๋นน้อยที่คิดว่าตนเองจะได้แต่งงาน จึงเปลี่ยนไปใส่ “ชุดงานมงคล” อย่างว่าง่าย พร้อมเอาดอกไม้แดงมาผูกไว้กลางอก

ป้าหลัวกับคนที่จะมาช่วยงานมาถึงกันครบแล้ว และเริ่มทำงานของตนกันในบ้านของเฉียวเวย คนที่ปัดกวาดก็ปัดกวาด คนทำอาหารก็ทำอาหาร หลัวหย่งเหนียนกับลุงหลัวก็ลากลับมาร่วมงาน เวลานี้กำลังช่วยจัดวางสินเดิมเฉียวเวยกันอยู่ที่เรือนหลัง

สินเดิมของเฉียวเวยเมื่อรวมกับของเสิ่นซื่อกับของที่เฉียวเจิงเตรียมไว้ให้พิเศษ จึงมากจนใส่ได้เต็มคันรถ ของหมั้นจากฝ่ายชายยิ่งไม่ต้องพูดถึง ซึ่งก็ต้องยกส่วนหนึ่งกลับไปก่อนเช่นกัน

“วางใจได้ ข้าว่าจ้างรถม้าเอาไว้หมดแล้ว อีกเดี๋ยวก็มาถึง” เฉียวปี้เอ่ยบอก

หลัวหย่งเหนียนมองเรือนหลังรวมถึงสระน้ำที่มีแต่สีแดงเต็มไปหมด ในใจคิดว่าต้องใช้รถม้าสักกี่คันหนอ คงหลายสิบคันกระมัง! คนที่รู้ก็บอกว่าพี่สาวเขากำลังจะแต่งงาน แต่คนไม่รู้ยังคิดว่าจะย้ายโรงเก็บของกันเสียอีก!

ไม่นาน สตรีผู้รอบรู้ก็มาถึง พอเข้ามาก็เอ่ยแต่วาจาเป็นมงคล ยั่วแหย่คนในห้องจนบรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นทันตา

วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นไปที่ห้องของเฉียวเจิง

สตรีผู้รอบรู้เป็นญาติทางฝั่งมารดาของฮูหยินสี่ สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว มีทั้งบุตรสาวและบุตรชาย ร่างกายแข็งแรง นับเป็นคนที่มีบุญมาก ทั้งยังพอดีพักอยู่ในเมืองหลวง จึงถูกฮูหยินสี่เชิญให้มาที่นี่

“เจ้าสาวเลอโฉมมากทีเดียว” สตรีผู้รอบรู้เอ่ยกลั้วหัวเราะออกมาจากใจจริง

ฮูหยินสี่จึงบอกว่า “เป็นคุณหนูที่งามที่สุดของตระกูลเราแล้ว”

สตรีผู้รอบรู้ไม่มีความเห็นเป็นอื่น “ก็แน่สิ งามกว่าเจียเอ๋อร์ของเจ้าอยู่ตั้งสามส่วนแหนะ!”

เฉียวเจียคือบุตรสาวคนโตของเฉียวปี้กับฮูหยินสี่ อายุสิบสามปี หมั้นหมายกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของบ้านฝ่ายมารดาเอาไว้ ช่วงก่อนหน้านี้มารดาของฮูหยินสี่ป่วยหนัก จึงให้เด็กๆ ไปเยี่ยมเยียน ด้วยหนทางที่ยาวไกลจึงกลับมาร่วมงานมงคลสมรสของเฉียวเวยไม่ทัน

ฮูหยินสี่เอ่ยล้อเล่นว่า “เจียเอ๋อร์ของข้ายังโตไม่เต็มที่เลย ไว้รอให้โตเต็มวัยก่อนสิ ต้องงามเลิศเช่นเดียวกับพี่สาวนางแน่”

คนในห้องหัวเราะกันครืนใหญ่

“ว่ากันตามศักดิ์แล้วควรเรียกเจ้าว่าอี๋ผอ” ฮูหยินสี่เอ่ยกับเฉียวเวย

เฉียวเวยยิ้มพลางเรียกขานอีกฝ่ายว่าอี๋ผอ สตรีผู้รอบรู้ขานรับด้วยความยินดี เสร็จก็ก้าวขึ้นไปบนพื้นไม้ของเตียงปาปู้ ยืนอยู่หลังเฉียวเวยแล้วเริ่มจัดการหวีผมให้เจ้าสาว

“หวีศีรษะหนึ่ง มั่งคั่งไร้กังวล

หวีศีรษะสอง ไร้โรคไร้ทุกข์

หวีศีรษะสาม มากบุตรอายุยืนยาว

ตามด้วยหวีปลายผม สามีภรรยารักใคร่ให้เกียรติ

หวีปลายผมสอง เหมือนสองปีกช่วยกันโผบิน

หวีปลายผมสาม ใจผูกสัมพันธ์กันตลอดกาล

มีต้นมีปลาย มั่งคั่งร่ำรวย”

น้ำเสียงนางอ่อนนุ่มน่าฟัง เฉียวเวยที่ได้ฟังก็พลอยใจอ่อนยวบไปด้วย

ในเวลานั้นเองด้านนอกมีเสียงเคาะไม้กลับดังขึ้น “ว่ากันว่าคนเราต้องมีมงคลทั้งสาม หนึ่งคือยามแต่งงาน เจ้าบ่าวเจ้าสาวจิตใจเดียวกัน นกยวนยางและเป็นน้ำรวมอยู่ในบ่อ เจ้าบ่าวเจ้าสาวยกน้ำชาให้กัน มาร่วมพิธีเมื่อถึงฤกษ์งามยามดี เข้าประตูทุกรุ่นล้วนมั่งคั่ง วันหน้าร้อยบุตรพันหลาน ยกชาเจ้าสาวขึ้นดื่ม สองปีคลอดสามคน หนึ่งคนอุ้ม สองคนคลาน!”

“เฉียวเวยเดินไปที่หน้าต่างด้วยความแปลกใจ พอผลักหน้าต่างออกไปมองก็เห็นบุรุษคนหนึ่งแต่งกายซอมซอ บนศีรษะมัดผ้าแดงอยู่ผืนหนึ่ง มือหนึ่งถือไม้เท้า มือหนึ่งตีกลับไม้ กำลังขับร้องพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า

ป้าหลัวรีบร้อนวิ่งออกไป เอาพวกเหรียญทองแดงส่งให้เขา

เขารับไปแล้วเริ่มตีกลับไม้ขึ้นอีกครั้ง

ป้าหลัวให้เขาอีกพวงหนึ่ง

เขาก็ยังตี

ป้าหลัวคลี่ยิ้มด้วยความโกรธ ควักเงินก้อนหนึ่งออกมาเสียเลย “เช่นนี้พอได้แล้วกระมัง”

คนผู้นั้นยิ้มพริ้มพร้อมรับเงินไป เอ่ยขอบคุณป้าหลัวเสร็จก็หันไปโค้งคำนับให้เฉียวเวยที่ยืนเกาะดูอยู่ตรงหน้าต่าง

เฉียวเวยเลยหัวเราะออกมา

ช่างน่าสนุกยิ่งนัก ตอนนี้ยังได้เห็นคนแสดงที่เดินตีกลับขับร้องอยู่กลางถนนด้วย

นางจำได้ลางๆ ว่าสมัยนางยังเด็ก ทุกเทศกาลปีใหม่จะดีการเชิดสิงโต ตีกลับขับร้องแล้วไป “เคาะประตู” ตามบ้าน คนมีเงินก็ให้เงิน ไม่มีเงินก็ให้ข้าว พอโตมานางไม่ได้เห็นอีก แต่เอาเข้าจริงก็คิดถึงอยู่มากเหมือนกัน

วันนี้ได้เห็นเป็นบุญตาแล้ว นับว่าแต่งงานไม่เสียเปล่า!

ฮูหยินสี่ “ดึง” ตัวเฉียวเวยกลับเข้ามาแล้วปิดหน้าต่าง “เจ้าเด็กนี่! วันแต่งงานเข้าไปแล้ว เหตุใดจึงไปมองผู้ชายคนอื่นอีก”

เฉียวเวยนั่งลง “สนุกดีออก”

หลังจากนั้นก็มีคนตีกลับไม้มาอีกสองคน ตีกลับสู้คนแรกไม่ได้ ป้าหลัวก็ให้เงินไล่ไปทุกคน

เชิดสิงโตก็มากับเขาด้วย ตีฉาบกันเสียงดังสนั่น

มาตอนหลังพวกเขาไปเชิญคณะละครมากันเองเสียเลยเพื่อกลบเสียงเหล่านั้นเอาไว้ เฉียวเวยเลยไม่รู้ว่ามีคณะระบำอะไรมาอีกหรือไม่

สตรีผู้รอบรู้เอาด้ายเส้นเล็กมาเปิดผิวหน้าให้เฉียวเวย

การเปิดผิวหน้าพูดให้ชัดก็คือการใช้ด้ายขจัดขนบนใบหน้า ตอนทำบนหน้าจะมีเส้นด้ายอยู่สามเส้น จึงเรียกอีกอย่างว่าระบำสามเส้น

สตรีผู้รอบรู้เอาปลายด้านหนึ่งงับไว้ในปาก อีกด้านหนึ่งผูกไว้ที่นิ้วชี้ข้างซ้าย มือขวาหมุนพันรอบหนึ่ง นางพันอย่างไรเฉียวเวยดูไม่เข้าใจ สรุปก็คือนางเริ่มถอนขนบนใบหน้านางแล้ว

หางตานางเห็นว่านิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของอี๋ผอเดี๋ยวกางเดี๋ยวหุบ ทุกครั้งที่หุบขนก็จะถูกตัดจนขาดออกมา

ไม่รู้ว่าเพราะฝีมือของอี๋ผอรวดเร็วและแม่นยำเกินไป หรือเพราะเดิมทีเฉียวเวยก็ไม่ค่อยมีขนที่หน้าอยู่แล้ว สรุปก็คือไม่เจ็บเท่าไรนัก

อีกด้านหนึ่ง จูเอ๋อร์ฉวยเอาด้ายเส้นหนึ่งจากถุงผ้าของอี๋ผอมา แล้วเลียนแบบมือไม้ของอี๋ผอในการถอนขนบนใบหน้าตน

แต่มันเป็นลิงนี่นะ ทั้งหน้าเต็มไปด้วยขน จะมาถอนอย่างนี้ได้หรือ

“เจี๊ยก…”

เจ้าลิงแสบเจ็บจนขนตั้งชันไปทั้งตัว!

เมื่อเปิดผิวหน้าแล้ว สตรีผู้รอบรู้ก็ใช้ใบหลิวใส่ลงในน้ำร้อนมาชำระล้างใบหน้าให้เฉียวเวย ซ้ำยังทาขี้ผึ้งบุปผาหิมะชั้นบางๆ ให้อีกชั้น จากนั้นจึงเริ่มผัดหน้าให้เจ้าสาว

ที่แท้สมัยโบราณก็มีการใช้แป้งเหมือนกัน เพียงแต่โดยมากจะใช้แป้งที่ทำจากข้าว มีเนื้อหยาบ ไม่ค่อยติดหน้า หลุดร่อนง่าย แป้งผัดหน้าที่สตรีผู้รอบรู้นำมาเห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีข้อด้อยในเรื่องนี้ เมื่อทาลงบนใบหน้าแล้วทั้งกลืนไปกับผิวและดูเป็นธรรมชาติ

“นี่คือผงอะไรหรือ” เฉียวเวยถามด้วยความใคร่รู้

สตรีผู้รอบรู้ตอบว่า “ผงตะกั่ว ทำจากตะกั่วขาวผสมกับผงไข่มุก ยามปกติเจ้าอย่าทาอะไรพวกนี้ ทามากไม่ดี แต่ทาแค่วันเดียวไม่เป็นอะไร”

ผงแป้งผัดหน้าในสมัยโบราณก็ผสมตะกั่วแล้วหรือนี่ ช่างเป็นความรู้ใหม่นัก

บนหน้าของเฉียวเวยมีอะไรทาอยู่ถึงสามชั้น ขาวจนแม้แต่ตัวเองยังแทบจำไม่ได้ จากนั้นสตรีผู้รอบรู้ก็ทาผงชาดสีแดงสดให้นางอีก

เฉียวเวยมีคิ้วที่ดกดำอยู่แล้ว รูปคิ้วก็สวย ตามความนิยมของคนในยุคนี้จึงแทบไม่ต้องวาดเพิ่ม แต่สตรีผู้รอบรู้กลับโกนคิ้วนางจนได้เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสองเส้น ก่อนจะใช้ปากกาสีดำเติมตรงส่วนหางอีกเล็กน้อย

สุดท้ายก็เป็นสีปาก กระดาษทาปากสีแดงสดแค่เม้มเล็กน้อยก็ได้เป็นสีสันขึ้นมาทันที

เฉียวเวยมองตนเองในกระจกที่แทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้าแล้วลอบทอดถอนใจ ดูราวกับเซวียเป่าชา[1]

จากนั้นก็ใส่มงกุฎเฟิ่งกวาน มงกุฎเฟิ่งกวานของชาวบ้านทั่วไปจะไม่มีรูปหงส์ ในความเป็นจริงชาวบ้านยุคโบราณไม่อาจสวมมงกุฎเฟิ่งกวานได้เนื่องจากผิดกฎ มงกุฎเฟิ่งกวานของนางเป็นดอกไห่ถังขนาดใหญ่ ทำจากทองคำสีเหลืองทองอร่าม กลีบดอกไม้พลิ้วบางประหนึ่งของจริง เกสรดอกไม้ใช้ทับทิมสีแดงวางเรียงกัน เมื่อเอาขึ้นสวมศีรษะจึงดูงดงามสูงสง่าขึ้นมาในบัดดล

คนทั้งห้องกำลังจับจ้องมาที่นางคล้ายกำลังมองฮองเฮาที่ในวัง พวกนางไม่เคยเห็นว่าฮองเฮาเป็นอย่างไร แต่แค่รู้สึกเพียงว่านางดูสูงส่งสง่างามยิ่งนัก

ครั้นเมื่อจะเอาผ้าลงคลุมหน้า จู่ๆ เฉียวเวยก็ทะลึ่งตัวลุกขึ้นยกกระโปรงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะ! เจ้าจะไปไหนน่ะเสี่ยวเวย!” ฮูหยินสี่วิ่งตามออกไปด้วย

เฉียวเวยไปที่ห้องของเฉียวเจิง “ท่านพ่อ!”

เด็กสองคนจับจูงกันไปทำธุระหนัก เฉียวเจิงนั่งเหม่ออยู่ตรงหน้าต่างคนเดียว พอได้ยินเสียงเรียกของเฉียวเวยเขาก็หันไปมองตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นสตรีที่งดงามจับตาก็กระแทกเข้าสู่สายตาเขา ใจเขาพลันกระตุก คล้ายได้เห็นภรรยาของตนเมื่อในอดีต

ฮูหยินสี่วิ่งตามมา เจ้าเด็กคนนี้ รู้หรือไม่นี่ว่ารูปลักษณ์ของนางในตอนนี้ไม่อาจให้บุรุษคนอื่นที่ไม่ใช่สามีเห็นน่ะ บิดาผู้ให้กำเนิดก็ไม่ได้!

เฉียวเวยเดินเข้าห้องไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉียวเจิง นางเลิกคิ้วบอกว่า “ข้าคิดว่าท่านน่าจะอยากเห็นว่าข้าใส่ชุดแต่งงานแล้วเป็นอย่างไร”

เฉียวเจิงเริ่มแสบจมูกขึ้นมาเล็กน้อย

“สวยหรือไม่เล่า” เฉียวเวยถามราวกับเป็นเด็กน้อย

เฉียวเจิงพยักหน้าอึ้งๆ

เฉียวเวยเขย่งปลายเท้าหอมแก้มผู้เป็นบิดา ในขณะที่เฉียวเจิงกำลังจับจ้องมาที่นาง เฉียวเวยก็เบะปากเอ่ยว่า “ข้าจะแต่งงานแล้ว ท่านดูแลตัวเองด้วย”

เฉียวเจิงพยักหน้าน้อยๆ

ในตอนนั้นเฉียวเจิงไม่ได้พูดอะไรเลยจนคำเดียว

เฉียวเวยหมุนตัวเดินออกจากห้อง

ฮูหยินสี่หันไปมองเฉียวเจิง “พี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง”

เฉียวเจิงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าไปทำอย่างอื่นเถอะ”

“เช่นนั้นข้าไปแล้วนะ”

ฮูหยินสี่ปิดประตูให้เฉียวเจิง

ภายในห้องสงบเงียบลง

เฉียวเจิงเดินไปที่เตียงเงียบๆ นั่งลงเงียบๆ ตามด้วยเอาหมอนเข้าไปกอดแล้วส่งเสียงฮือๆ ร้องไห้ออกมา!

[1] เซวียเป่าชา ตัวละครในเรื่องความฝันในหอแดง มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องรูปโฉมที่งาม