ตอนที่ 178-2 งานมงคลสมรส (จบ)

เมื่อถึงยามซื่อกับอีกสี่เค่อ คณะรับตัวเจ้าสาวก็มาถึง

คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงเกือกม้าก็พากันวิ่งออกจากบ้านมาออกันที่ปากหมู่บ้านเพื่อรอดูว่าบุรุษที่สตรีหม้ายจะแต่งงานด้วยนั้นเป็นตาแก่หน้าตาเช่นไร แต่กลายเป็นว่ากลับได้เห็นบุรุษหนุ่มในชุดสีแดงสด ขี่อยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาประหนึ่งเทพเซียน

คนในหมู่บ้านพากันส่งเสียงฮือฮา

เอ้อร์โก่วจื่อวิ่งขึ้นเนินพลางโก่งคอตะโกนเสียงแตกด้วยความตื่นเต้น “เจ้าบ่าวมาแล้ว! เจ้าบ่าวมาแล้ว!”

ฮูหยินสี่อุทานขึ้นมาคำหนึ่ง “ไม่ได้บอกว่ายามอู่หรือ เหตุใดถึงมาก่อนตั้งนานเพียงนี้”

ตาหลานเขยใจร้อนนี่!

สินเดิมกับสัมภาระใดๆ ล้วนจัดเก็บจนเรียบร้อยแล้ว คนบ้านตระกูลหลัวไปรอต้อนรับแขกกันอยู่ที่เรือนหน้า พอได้ยินเอ้อร์โก่วจื่อตะโกนบอกว่าเจ้าบ่าวมาแล้ว หลัวหย่งเหนียนก็วางผ้าปูโต๊ะในมือลง ยกขาถีบปิดประตูใหญ่ของเรือนหน้าเสีย!

หลัวหย่งจื้อมองน้องชายตนด้วยสายตาประหลาด ตามด้วยมองรั้วรอบๆ ที่สูงยังไม่เท่าตัวคน น้องชายเขาผู้นี้สมองใช้การไม่ได้แล้วหรือไร

แล้วก็เป็นดังคาด จีหมิงซิวก้าวขายาวๆ ของตนข้ามรั้วบ้านเข้ามา

หลัวหย่งเหนียน “…”

การขวางประตูครั้งแรกในชีวิตล้มเหลวแล้วหรือ ในใจหลัวหย่งเหนียนพลันพังทลาย

เขาคิดอยากจะไปปิดประตูใหญ่ของบ้านก็ไม่ทันเสียแล้ว

ที่โชคดีมากก็คือ มีคนล่วงหน้าเขาไปปิดประตูให้แล้ว

ซึ่งก็คือจิ่งอวิ๋น

หลัวหย่งเหนียนหัวเราะฮ่าๆ ออกมา จิ่งอวิ๋นมีวิธีแผลงๆ มากนัก เมื่อมีเขาคอยขวางประตู ข้าว่าวันนี้เจ้าอย่าคิดจะได้เข้าไปเลย!

จีหมิงซิวเคาะบานประตู “ลูกชาย เปิดประตูที”

จิ่งอวิ๋นรู้แล้วว่าท่านลุงหมิงจะมาเป็นบิดาของตน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจนักที่อีกฝ่ายเรียกตนว่าลูกชาย

แต่จิ่งอวิ๋นไม่ยอมเปิด

“ต้องตอบคำถามก่อน” จิ่งอวิ๋นบอก

จีหมิงซิวระบายยิ้ม “คำถามอะไรเล่า เจ้าลูกชาย”

ความรู้สึกยามเรียกอีกฝ่ายว่าลูกชาย เหตุใดถึงดีเพียงนี้หนอ

จิ่งอวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “มีคำถามหนึ่งตำลึง คำถามสิบตำลึง กับคำถามหนึ่งร้อยตำลึง ท่านจะเลือกข้อไหน”

“หนึ่งร้อยตำลึง”

“หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับเท่าไร”

หลัวหย่งเหนียนแทบจะล้มทั้งยืน

“แต่ต้องตอบให้ถูกสามข้อก่อนถึงจะเข้าไปได้” จิ่งอวิ๋นหยิบตั๋วหนึ่งร้อยตำลึงผ่านช่องประตูไป

จีหมิงซิวเลยสอดตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงผ่านช่องตรงประตูไปเสียเลย

จิ่งอวิ๋น “ยินดีด้วย ท่านตอบคำถามครบแล้ว”

หลัวหย่งเหนียนกระอักเลือด!

จีหมิงซิวจัดการบุตรตัวน้อยของตนไปได้สบายๆ ก้าวเข้าบ้านไปด้วยความหยิ่งผยองสุดฤทธิ์

หลังจากเข้าไปในบ้านแล้วยังเหลือประตูบานสุดท้าย ประตูห้องเฉียวเวย

ใต้เท้าอัครเสนาบดีคิดจะใช้ลูกไม้เดิมอีก

หัวหน้าพรรคเฉียวกระแอมไอ “หลังจากแต่งงานแล้ว เงินท่านก็คือเงินข้า เอาเงินข้ามาติดสินบนข้าให้น้อยๆ หน่อย!”

ใต้เท้าอัครเสนาบดีเสียใจยิ่งนัก!

“บอกแม่เจ้าให้เปิดประตูทีสิ” จีหมิงซิวเอ่ยกับบุตรชาย

จิ่งหวิ๋นยังไม่รู้ว่าใครมีเรื่องด้วยได้ ใครมีเรื่องด้วยไม่ได้บ้าง จึงเดินพัดตั๋วเงินในมือพลางฮัมเพลงไปทางห้องของท่านตา

จีหมิงซิว “…”

“ฮูหยิน เปิดประตูที” จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเคร่งขรึม

แน่นอนว่าเฉียวเวยย่อมไม่เปิด อีตานี่รู้ทั้งรู้ว่ามารดาของนางเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็ยังใช้มารดาของนางมากล่อมให้ท่านพ่อนางหลงเชื่อ มากเล่ห์แสนกล!

เฉียวเวยเอ่ยพลางหัวเราะหึหึว่า “ข้าได้ยินลุงเยี่ยนบอกว่าท่านร้องเพลงได้ไม่เลว สู้ร้องมาให้ข้าฟังสักเพลงสิ หากข้าพอใจย่อมต้องเปิดประตูให้ท่านเอง”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ย กลับไปเจ้าโดนบีบคอตายแน่! ตายแน่! ตายแน่!

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่อยู่บนรถม้าตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ…

จีหมิงซิวร้องเพลงเทียนเซียนเพ่ยท่อนหนึ่ง ยามเขาพูดจา น้ำเสียงเขามีความนุ่มทุ้ม ไพเราะจนแทบจะมีดอกไม้ผลิบานในหู แต่ยามเขาร้องเพลงกลับไม่เป็นเช่นนั้นสักนิด เสียงเพี้ยนประหนึ่งนั่งอยู่บนจรวด สั่นระริกอย่างไร้หนทางช่วยเหลือ

พอร้องจบ เฉียวเวยก็หัวเราะจนท้องแทบระเบิด!

จีหมิงซิวหันไปมอง ตรงหน้าประตูมีแต่คนอออยู่เต็มไปหมด พวกเขาได้ยินกันหมดแล้ว…

ตั้งแต่นั้นมา เรื่องที่อัครเสนาบดีร้องเพลงเพี้ยนก็ดังกระจายไปทั่ว หลายปีหลังจากนี้หนังสือประวัติศาสตร์ได้บันทึกเรื่องราวในวันนี้เอาไว้อย่างมีสีสันว่า อัครเสนาบดียอมร้องเพลงเสียงเพี้ยนเพื่อให้ได้แต่งภรรยา

เฉียวเวยถูกเอาผ้าลงคลุมหน้าแล้วส่งออกจากห้องเก็บตัวเจ้าสาวไป

ว่ากันว่าก่อนที่เจ้าสาวจะลงจากเกี้ยว เท้าห้ามแตะพื้น โดยมากมักให้พี่ชายน้องชายมาหามขึ้นเสลี่ยงออกไป

หลัวหย่งเหนียนมาแบกพี่สาวตน พอเดินไปถึงปากประตูกลับเห็นว่าพี่สาวของตนถูกคนเลวบางคนอุ้มขึ้นมาเสียแล้ว

บรรดาสตรีทั้งหลายมีหรือจะเคยเห็นหลานเขยที่ใจร้อนเพียงนี้ จึงพากันปิดหน้าลอบยิ้ม

จีหมิงซิวอุ้มเฉียวเวยพร้อมคารวะลาเฉียวเจิง ก่อนจะเดินลงเนินเขาไปพร้อมเสียงพลุและเสียงตีฆ้องร้องป่าว

เฉียวเจิงมองแผ่นหลังคู่บ่าวสาวที่กำลังจะหายไปจากปากหมู่บ้าน สีหน้าเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นซับซ้อน

ชิงหลวน ข้าทำตามที่เจ้าบอก ให้บุตรสาวแต่งงานกับคุณชายตระกูลจีแล้วนะ คุณชายตระกูลจีสามารถปกป้องนางได้จริงๆ หรือ คนพวกนั้นจะต้องมีสักวันที่ตามหานางจนพบจริงๆ ใช่หรือไม่

ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย

ข้าไม่ขอให้มีลาภยศเงินทอง หวังเพียงให้นางแคล้วคลาดปลอดภัย

จีหมิงซิวอุ้มนางขึ้นรถม้า จากนั้นก็อุ้มบุตรสาวเข้าไป แต่ไม่รู้เพราะไม่ได้มาหานานเกินไปหรืออย่างไร ถึงได้รู้สึกว่าบุตรสาวตนตัวหนักขึ้น

วั่งซูขึ้นไปนั่งข้างมารดาด้วยความตื่นเต้นยินดี นางเองก็สวมชุดสีแดงตัวสวย สวมเครื่องศีรษะทองชิ้นงามบนหัว มีผ้าคลุมหน้าสวยๆ กับเขาเหมือนกันนะ!

เพียงแต่ผ้าคลุมหน้าของนางคลุมลงมาเพียงหน้าผาก นางจึงมองเห็นภาพภายนอกได้

นางเห็นท่านตาที่ยืนอยู่บนเนินเขา กำลังมองมาทางนี้พร้อมกับจูเอ๋อร์

นางโบกมือให้ท่านตากับจูเอ๋อร์

จูเอ๋อร์นั่งอยู่บนหัวไหล่ของเฉียวเจิง ในมือถือผ้าเช็ดหน้าที่ฉวยมาจากตัวของสตรีผู้รอบรู้ ซับน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรก อีกมือหนึ่งจับอยู่ตรงหน้าออก ส่งเสียนสะอื้น “ไห้” จนฟังไม่ได้ศัพท์

เฉียวเจิงยิ้มบางๆ และโบกมือตอบกลับวั่งซูเช่นกัน

วังซูยิ้มจนมองไม่เห็นดวงตา “ท่านตา ลาก่อน!”

ลาก่อน ลูกพ่อ

จิ่งอวิ๋นกับจีหมิงซิวนั่งอยู่บนม้าองอาจตัวสูงสง่า นี่คือม้าเหงื่อโลหิตชั้นดี แม้รูปร่างจะสูงใหญ่สู้ม้ามองโกลไม่ได้ แต่ดูองอาจน่าเกรงขาม ดูมีมาดแห่งความเหนือชั้น

จีหมิงซิวโอบรอบตัวบุตรชาย “ขี่ม้าครั้งแรก?”

จิ่งอวิ๋นพยักหน้า

“กลัวหรือไม่” จีหมิงซิวถาม

“ไม่กลัว” จิ่งอวิ๋นลูบแผงคอม้า “สนุก” พอขยับ ศีรษะเขาจึงไปโดนดอกไม้แดงตรงหน้าอกของจีหมิงซิว เขาจึงถามด้วยความแปลกใจว่า “วันนี้ท่านก็แต่งงานหรือ”

จีหมิงซิวหัวเราะ “ใช่สิ ข้าก็แต่งงานเหมือนกัน”

หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็ก ท่าทางเหมือนกันราวกับแกะ แม้แต่ตำแหน่งดอกไม้แดงที่ผูกอยู่ตรงหน้าอกก็ยังไม่ผิดไปจากกันสักนิด บิดากับบุตรสองคนใส่ชุดแต่งงานเป็น “ชุดคู่พ่อลูก” เมื่อเดินไปตามถนนอันกว้างขวาง จึงดึงดูดสายตาผู้คนตามข้างทางได้อย่างรวดเร็ว

จิ่งอวิ๋นไม่เคยเป็นที่จับจ้องของคนจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน จึงเขินอายระคนตื่นเต้นเล็กน้อย

จีหมิงซิวใช้มือหนึ่งจับบังเหียน อีกมือหนึ่งกอดบุตรชายไว้แน่น

จู่ๆ จิ่งอวิ๋นก็รู้สึกปลอดภัย ไม่นึกกลัวสักนิดอีก

รถม้าเคลื่อนตัวไปถึงตัวเมือง เฉินต้าเตานำคณะศิษย์พรรคชิงหลงมาเปิดทางให้ขบวนรถแล่นตรงไปถึงเมืองหลวง

เถ้าแก่หรงนั่งอยู่บนภัตตาคาร ร้องไห้ฮือๆ สะอึกสะอื้น “ฮือๆ เสี่ยวเฉียวของข้า เหตุใดถึงไปแต่งงานเสียแล้วเล่า”

เฉียวเวยนั่งอยู่บนรถม้า มองไม่เห็นภาพความเป็นไปทางด้านนอก แต่กลับได้ยินเสียงไม่น้อย บ้างแสดงความยินดี บ้างโห่ร้อง และมีแม่นางบางคนที่ร้องตะโกนพลางร้องไห้

อัครเสนาบดีที่ครองตนเป็นโสดมายี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ในที่สุดก็แต่งงานแล้ว ไม่มีใครมีโอกาสแล้วทั้งสิ้น

รถม้าไปถึงบ้านตระกูลจี

จีหมิงซิวยื่นมือไปให้เฉียวเวย เฉียวเวยชะงักเล็กน้อย ก่อนจะส่งมือตนเองให้อีกฝ่ายจับ

เขากระชับมือนั้นไว้

เหมือนเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ก็คล้ายว่าจะต่างไปมากทีเดียว

เฉียวเวยลงจากรถม้า

มีคนส่งชายผ้าแดงมาให้เฉียวเวย เฉียวเวยจับปลายผ้าฝั่งหนึ่งไว้ อีกฝั่งหนึ่งเป็นจีหมิงซิว

เด็กๆ มีปี้เอ๋อร์คอยดูแล เดินตามทั้งสองอยู่ด้านหลัง

ถึงแม้เฉียวเวยจะไม่เห็นอะไรเลย แต่กลับสัมผัสได้ถึงสายตาคู่แล้วคู่เล่าที่มองมายังตนและบุตรทั้งสอง

บุตรทั้งสองกล้าหาญกว่าที่นางคิดเอาไว้ ไม่มีการงอแงจะหาแม่ มีเพียงเสียงหัวเราะที่ดังเป็นระยะๆ วั่งซูคอยทักทายสวัสดีท่านลุง สวัสดีท่านอา สวัสดีท่านอาสะใภ้ สวัสดีพี่สาว ไม่มีกลัวคนแปลกหน้าสักนิด

เฉียวเวยก้าวข้ามกระบะไฟ เหยียบแผ่นกระเบื้องแล้วเข้าไปในห้องที่มีแขกนั่งอยู่เต็มไปหมด

เฉียวเวยลอบกวาดตามองจากใต้ผ้าคลุมศีรษะ รองเท้านั่น ชายเสื้อนั่น ช่างหรูหราเสียนี่กระไร

มีแต่แขกชั้นสูงหรือนี่!

ปี้เอ๋อร์คอยประคองเฉียวเวยไปตลอดทางจนหยุดยืนนิ่งอยู่ในห้อง

เจ้าพิธีร้องบอก “หนึ่งคำนับฟ้าดิน!”

ปี้เอ๋อร์ประคองเฉียวเวยให้หมุนตัวหันไปคำนับทางปากประตู

“สองคำนับกันและกัน!”

ปี้เอ๋อร์ประคองเฉียวเวยขึ้นแล้วหันไปหาจีหมิงซิว

ทั้งสองโค้งตัวให้กัน

จีหมิงซิวคำนับให้ผู้อาวุโสยังไม่ดูจริงใจเช่นนี้ พอถึงคราวคารวะภรรยา เขาแทบอยากจะโค้งตัวลงไปให้ถึงเก้าสิบองศาให้ได้ จนสุดท้ายเกิดเสียงดังโป๊ก หัวชนกันเสียแล้ว!

ศีรษะจีหมิงซิวพลันโนขึ้นเป็นลูกอย่างรวดเร็ว

ทุกคนพากันฮาครืน!

เกิดมาครั้งหนึ่งได้เห็นนายน้อยตระกูลจีขายหน้ากับเขาสัครั้ง ตายก็ไม่เสียดายแล้ว!

“เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง” จีหมิงซิวถาม

เฉียวเวยส่ายหน้า นางไม่เป็นอะไรสักนิด

เมื่อทำพิธีเสร็จ จีหมิงซิวพาเฉียวเวยไปส่งที่ห้องหอ จากนั้นก็พาบุตรทั้งสองกลับไปยังงานเลี้ยงอีกครั้ง

เฉียวเวยนั่งลงบนเตียง ทั้งเบื่อหน่ายทั้งเกียจคร้าน “พวกเจ้าไม่แม้แต่จะเปิดผ้าก่อนเลยหรือ”

ปี้เอ๋อร์จึงบอกว่า “ต้องร่วมหอก่อนถึงจะเปิดได้เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะทำอะไร” เฉียวเวยถาม

ปี้เอ๋อร์มองไปรอบๆ จีหมิงซิวคิดเผื่อไว้อย่างดี กลัวว่าฮูหยินตนจะทำตัวไม่ถูก จึงไม่ได้จัดวางสาวใช้เอาไว้ในห้อง ปี้เอ๋อร์จึงพูดด้วยความสบายใจว่า “ฮูหยินหิวแล้วหรือยัง บนโต๊ะมีขนมอยู่นิดหน่อย”

เฉียวเวยกินอะไรบนรถม้ามาตลอดทาง อันที่จริงไม่ได้หิวสักนิด แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรจึงบอกว่า “เอามาให้ชิมที”

ปี้เอ๋อร์ยกขนมจานหนึ่งมายื่นไปตรงหน้าผู้เป็นนาย

เฉียวเวยหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เอาลงมาดูใต้ผ้าคลุมหน้า “ขนมบ้านตระกูลจีละเมียดละไมเพียงนี้เชียวหรือ” เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมด้านเท่า สลักเป็นรูปดอกหลันฮวา ตรงกลางเป็นรูปตัวอักษร ขนมที่เฉียวเวยทำก็หน้าตาดี แต่ว่าต่างกันที่ความประณีตที่ยังสู้ตระกูลจีไม่ได้

นางชิมไปคำหนึ่ง ทำจากเกาลัด หวานแต่ไม่เลี่ยน พอเข้าปากก็ละลายทันที ไม่เลวเลยทีเดียว

“เจ้าก็ชิมด้วยสิ”

“บ่าวมิกล้า”

ก่อนออกเดินทางมา ฮูหยินสี่กำชับแล้วกำชับอีกว่าบ้านตระกูลจีมีกฎมากมาย นางต้องระวังตัวให้มากยิ่งกว่ายามอยู่บ้านตระกูลเฉียว จะทำให้ฮูหยินขายหน้าไม่ได้

เฉียวเวยกินขนมเปี๊ยะเกาลัดจนหมดชิ้น แล้วหยิบขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง “ข้าให้เจ้ากินเจ้าก็กินสิ”

ปี้เอ๋อร์กลืนน้ำลายแล้วชิมไปคำเล็กๆ อร่อยจริงเชียว!

“มีอะไรให้ดื่มไหม” พอกินขนมมากก็เริ่มคอแห้ง

“มีๆๆ” ปี้เอ๋อร์เทชาดอกไม้บนโต๊ะมาให้ “ยังร้อนอยู่เลย ท่านเขยใส่ใจอีกแล้ว ต้องเป็นท่านเขยที่สั่งไว้ก่อนออกไปเป็นแน่ พอฮูหยินมาจะต้องมีน้ำชาร้อนคอยรอท่า”

เฉียวเวยยังนึกเคืองอีกฝ่ายอยู่ ทนฟังคนอื่นชื่นชมเขาไม่ได้สักนิด นางหันไปถลึงตาใส่ปี้เอ๋อร์ก่อนจะกระดกดื่มชาอักๆ จนหมดถ้วย

กินแต่ขนมอันที่จริงก็ออกจะเลี่ยนอยู่สักหน่อย แต่บนโต๊ะถึงขั้นมีเนื้อแดดเดียวกับหมูหวานวางอยู่ด้วย

สองนายบ่าวกินกันคนละหนุบคนละหนับ

แต่แล้วจู่ๆ เงายาวๆ เงาหนึ่งก็พุ่งลงมาที่พื้น

เฉียวเวยที่กำลังกัดเนื้อแดดเดียวในมือพลันชะงัก “ใคร?”

ปี้เอ๋อร์รีบเอาจานไปซ่อนไว้ข้างหลัง เนื้อแดดเดียวในมือเฉียวเวย นางก็ดึงไปโยนลงบนจานที่ซ่อนไว้ด้านหลังด้วย “เจ้าเป็น…ใครกัน”

อีกฝ่ายไม่ตอบ เพียงเบิกตาโตมองเจ้าสาวที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยความใคร่รู้

“ใครน่ะ” เฉียวเวยถาม

ปี้เอ๋อร์กระซิบบอกว่า “เด็กคนหนึ่ง บ่าวก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร”

“แค่เด็กยังทำเจ้าตกใจได้เพียงนี้เชียวหรือ เด็กหญิงหรือเด็กชาย” เฉียวเวยถาม

ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “คุณชายน้อยคนหนึ่งเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยกวักมือเรียก “น้องชาย มานี่สิ”

หลิวเกอร์ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปหา

เฉียวเวยหยิบเนื้อแดดเดียวชิ้นหนึ่งส่งให้เขา “ให้”

หลิวเกอร์สูดน้ำลาย ท่าทางดูอยากกินยิ่งนัก แต่กลับไม่ได้ยื่นมือออกไปรับเพราะแม่นมบอกว่า เนื้อแดดเดียวย่อยยาก เด็กเล็กไม่ควรกิน

“อร่อยมากนะ” เฉียวเวยได้ยินเสียงเขากลืนน้ำลายแล้วด้วยซ้ำ

ในที่สุดหลิวเกอร์ก็เอาชนะความอยากกินของตนไม่ได้ ยื่นมือขาวเนียนของตนออกไปรับเนื้อแดดเดียวมา

เฉียวเวยได้ยินเขากัด จึงถามกลั้วหัวเราะว่า “อร่อยไหม”

“อื้อ” หลิวเกอร์พยักหน้า อร่อยกว่าของที่ปกติเขากินมากนัก!

“ตายแล้วหลิวเกอร์ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร บ่าวหาท่านแทบแย่!” บ่าวหญิงสูงอายุที่แต่งกายเรียบร้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา พอเห็นคนที่อยู่บนเตียงก็อึ้งงันไปก่อนจะค้อมกายทำความเคารพ “บ่าวซุนซื่อ คารวะฮูหยินน้อย ขอฮูหยินน้อยสุขสำราญ”

เฉียวเวยพยักหน้าเล็กน้อย “ซุนมามา เด็กคนนี้เป็นใครหรือ”

“คุณชายสามเจ้าค่ะ” ซุนมามาเอ่ยกับหลิวเกอร์ว่า “หลิวเกอร์ นี่คือพี่สะใภ้ใหญ่ของท่าน รีบเรียกพี่สะใภ้ใหญ่เร็วเข้า”

หลิวเกอร์เรียกขานว่าพี่สะใภ้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม

เฉียวเวยระบายยิ้ม “หนิวเกอร์ว่าง่ายเสียจริง”

คนในเมืองหลวงตั้งชื่อโบราณกันเช่นนี้ด้วยหรือ!

ซุนมามาเอ่ยด้วยความเกรงใจว่า “ฮูหยินน้อยนั่งพักก่อนนะเจ้าค่ะ บ่าวไม่กวนแล้ว ข้ากับคุณชายสามขอตัวก่อน”

เฉียวเวยพยักหน้า

ซุนมามาอุ้มหลิวเกอร์ออกไป

เฉียวเวยขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ มือของเด็กคนนั้นใหญ่พอๆ กับมือของจิ่งอวิ๋น อายุคงไล่เลี่ยกันกระมัง นางจำได้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของหมิงซิวเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว เหตุใดถึงมีน้องชายเด็กเพียงนี้ได้

หรือว่าจะเป็นบุตรจากอนุ

ในบ้านตระกูลใหญ่ การมีน้องชายจากอนุสักคน คิดแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากนัก

เฉียวเวยกินดื่มจนอิ่มหนำ นางรออยู่อีกพักหนึ่งก็ยังไม่กลับมาเสียที จึงหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ “เอาสุราเหอจิ้น[1]มาให้ข้า!”

ปี้เอ๋อร์เอาจอกสุราบนโต๊ะไปให้ “ฮูหยินเอาสุราเหอจิ้นไปทำอะไรหรือ”

ย่อมต้องใส่ยาให้ใครสักคนกินน่ะสิ คิดจะให้นางร่วมหอคลอแสงเทียนดีๆ อย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!

เฉียวเวยเปิดฝาจอกสุราแล้วเอายานอนหลับเทกรอกลงไป!

[1] สุราเหอจิ้น คือคำเรียกสุราที่ให้บ่าวสาวดื่มในคืนแต่งงาน