ตอนที่ 179-1 สี่คนพ่อแม่ลูก
ว่ากันว่าราชวงศ์ต้าเหลียงมีธรรมเนียมการป่วนห้องหอ แต่คิดว่าน่าจะไม่มีใครกล้าเข้ามาป่วนห้องหอของอัครเสนาบดีคนปัจจุบัน ตอนจีหมิงซิวเข้ามาในห้อง ข้างกายมีเพียงมามาที่คอยช่วยถือโคมไฟส่องทางให้ มามาคนนั้นหยุดฝีเท้าตนเองที่หน้าประตู ค้อมกายให้จีหมิงซิวก่อนจะถือโคมไฟถอยออกไป
เฉียวเวยกินดื่มมาตลอดบ่าย หิวนั้นไม่หิวหรอก แต่อยากไปทำธุระสักหน่อย นางส่งมือไปให้ปี้เอ๋อร์ ปี้เอ๋อร์ ห้องสุขาอยู่ที่ใด”
…ปี้เอ๋อร์ออกไปแล้ว
“ภรรยาอยากทำธุระหรือ”
เสียงของจีหมิงซิวดังขึ้นภายในห้อง เฉียวเวยสะดุ้งตกใจ คนผู้นี้เวลาเดินเหตุใดถึงได้เงียบเชียบเช่นนี้นะ อีกอย่าง ไม่ได้บอกว่าตระกูลจีกฎระเบียบมากมายหรอกหรือ ไม่ควรมีคนอยู่ข้างนอกคอยบอกว่านายท่านกลับมาแล้ว คุณชายกลับมาแล้วอะไรเช่นนี้หรือ
นี่ช่างไม่เหมือนบ้านตระกูลจีเอาเสียเลย!
“ภรรยากำลังคิดอะไรอยู่หรือ” เสียงของจีหมิงซิวมีดังขึ้นที่ข้างหูนางอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว ในน้ำเสียงคล้ายเจือเสียงกลั้วหัวเราะอยู่จางๆ ฟังดูยั่วยวนเล็กน้อย
เฉียวเวยกลืนน้ำลาย พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าอยากไปทำธุระ! บ้านตระกูลจีของพวกเจ้าใหญ่เกินไป ข้าจะหาห้องสุขายังหาไม่เจอเลย!”
เรื่องนี้นางไม่ได้พูดเล่น นางจำได้ว่าจากจุดที่ทำพิธีมาถึงห้องหอนั้น นางเดินอยู่เกือบหนึ่งเค่อเห็นจะได้
จีหมิงซิวยื่นมือที่เรียวยาวประหนึ่งหยกของตนออกมาจับมือเฉียวเวยไว้เบาๆ
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “จะทำอะไร”
จีหมิงซิวเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “พาภรรยาออกไปห้องสุขาน่ะสิ”
เฉียวเวยเบือนหน้าหนี “ข้าจะให้ปี้เอ๋อร์พาไป”
จีหมิงซิวเลยบอกว่า “เช่นนั้นภรรยาคงต้องรอถึงพรุ่งนี้แล้ว”
ชั่วช้า!
เฉียวเวยปล่อยให้เขาจับจูงมือนางเดินไป
หลังจากเฉียวเวยกลับมาที่ห้อง นางนั่งเงียบอยู่บนเตียง ดูไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนชุดสักนิด “วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นเล่า”
“หลับแล้ว” จีหมิงซิวบอก
เพิ่งมาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย พวกเขาถึงขั้นนอนหลับไปโดยที่ไม่ต้องให้นางอยู่ด้วยงั้นหรือ
จีหมิงซิวเขยิบเข้ามาใกล้อีกครั้ง
เฉียวเวยถามว่า “เจ้าจะทำอะไรอีก”
จีหมิงซิวแกว่งหยกหรูอี้ในมือ “เปิดผ้าคลุมหน้าให้ภรรยาน่ะสิ”
คลุมมาทั้งวันจนเกือบลืมว่าต้องเปิดผ้าคลุมหน้าไปแล้ว เฉียวเวยร้องอ้อคำหนึ่ง “เช่นนั้นเจ้าก็เปิดเถอะ”
ถูกผ้าคลุมหน้ามาทั้งวัน ตาของเฉียวเวยเกือบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงอยู่แล้ว เมื่อมีแสงไฟแวบขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว นางจึงหลับตาลงทันที รอให้ปรับสายตาได้แล้วถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น
สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือใบหน้าที่โดดเด่นเหนือคนทั้งปวง ขาวผ่องประหนึ่งหยก เครื่องหน้าทั้งห้าประณีตบรรจง ชุดสีแดงสดเมื่อสวมอยู่บนตัวเขา ทำให้ดูเจิดจรัสยิ่งนัก
ประกายแสงไฟที่ใบหน้าซีกขวาของเขา ไม่รู้เพราะด้วยชุดแต่งงานหรือเพราะปัจจัยอื่น ทำให้เขาดูคล้ายว่าหน้าตามีสีสันขึ้นไปอีก
“ภรรยาช่างงามเหลือเกิน” จู่ๆ จีหมิงซิวก็พูดขึ้น
ตาทรงเมล็ดซิ่งของเฉียวเวยเบิกโต “ไม่ต้องมาพูดเอาใจ! อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วข้าจะอภัยให้เจ้า!”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “สามีทำอะไรลงไปหรือ ภรรยาถึงไม่ยอมอภัยให้ข้า”
เฉียวเวยบอกอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าบังคับให้ข้าแต่งงาน! เจ้าหลอกท่านพ่อข้า!”
เอาเถอะ บังคับให้แต่งงานนั้นเขายอมรับ แต่หลอกพ่อของนาง เรื่องนี้นางไปเอามาจากไหน
“ข้าไม่ได้หลอกท่านใต้เท้าพ่อตานะ” เขาบอก
เฉียวเวยสะบัดค้อนใส่อีกฝ่าย “เจ้าไม่หลอกได้อย่างไร ท่านแม่ข้าตายไปตั้งเป็นสิบปีแล้ว เจ้ายังโกหกหน้าด้านๆ ว่าเชื่อว่านางยังมีชีวิตอยู่อะไรนั่นอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้ท่านพ่อข้ามีความหวัง หากหาท่านแม่ไม่พบ ท่านพ่อข้าจะผิดหวังเพียงใด”
จีหมิงซิวบอกเสียงเบาว่า “ให้ความหวังพ่อเจ้ามีชีวิตต่อไปไม่ดีหรือ หากเขาเชื่อว่าท่านแม่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ทุกวันเขาจะอยู่ด้วยความรอคอยและยินดี ไม่ดีกว่าให้เขาใช้ชีวิตที่เหลืออย่างหมดอาลัยตายอยากหรือ”
เฉียวเวยถึงกับหาคำมาโต้แย้งเขาไม่ถูก
จีหมิงซิวพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นการแต่งงานครั้งนี้ท่านแม่เจ้าเป็นคนกำหนดไว้ หรือเจ้าไม่อยากปลอบโยนวิญญาณของท่านแม่เจ้าที่อยู่บนสวรรค์”
เฉียวเวยหันไปส่งค้อนให้อีกฝ่ายเล็กน้อย “ทั้งๆ ที่ฮองเฮาเป็นคนพระราชทาน เหตุใดถึงกลายเป็นท่านแม่ข้ากำหนดไว้ได้”
จีหมิงซิวบอกด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “ฮองเฮาจะต้องไม่พอใจตระกูลจีเพียงใด ถึงได้ให้คุณหนูตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลเฉียวมาเป็นภรรยาในอนาคตของคุณชายตระกูลจี”
เฉียวเวยพลันหน้าบึ้ง “เจ้าดูถูกข้า!”
จีหมิงซิวบีบนวดมือที่อ่อนนุ่มของนาง “การได้แต่งงานกับเจ้า ถือเป็นเกียรติของข้า”
ปากเจ้านี่นะ! พูดได้น่าไม่อายเอาเสียเลย! ไม่เสียแรงที่เป็นขุนน้ำขุนนาง!
เพียงแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้พูดอะไรผิด ฐานะของตระกูลเฉียวต่ำต้อยเกินไปจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คู่ควรกับตระกูลจี
ลูกตาเฉียวเวยสั่นไหวเล็กน้อย “ฮองเฮาใกล้จะตายท้องกลมอยู่แล้ว ท่านแม่ข้าช่วยชีวิตนางไว้ ด้วยความยินดีฮองเฮาจึงพระราชทานสมรสนี้ให้ข้า มีอะไรแปลกด้วยหรือ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าฮองเฮาสนพระทัยตนเองมาก และสนพระทัยไท่จื่อมากเช่นกันน่ะสิ!”
จีหมิงซิวบอกว่า “ท่านแม่เจ้าเดิมทีก็เป็นหมออยู่แล้ว การช่วยชีวิตคนนับเป็นภาระหน้าที่ จำเป็นต้องถือเป็นบุญคุณด้วยหรือ”
คำพูดนี้ฟังดูไร้น้ำใจไปสักนิด แต่กลับเป็นความจริงทั้งสิ้น ข้าตรวจโรค เจ้าให้ค่าหมอ ยื่นหมูยื่นแมว ก็มีบางคนที่ซาบซึ้งอย่างยิ่งยวดจนส่งธงผ้าไหมผืนเล็กไปให้ที่หน่วยของพวกเขา แต่ก็ไม่มีคนป่วยคนใดที่ผลักตระกูลใหญ่ลงน้ำเพียงเพราะการช่วยชีวิตเพียงหนึ่งครั้ง
คุณชายตระกูลจีควรแต่งงานสานสัมพันธ์กับคุณหนูจากตระกูลใหญ่ที่คู่ควรกันถึงจะถูก ภรรยาที่เขาจะแต่งงานด้วยต้องมีฐานะสูงส่ง ถึงจะทำให้ตระกูลเขายิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งเจริญรุ่งเรือง
เฉียวเวยเอ่ยงึมงำว่า “เจ้าคงไม่ได้คิดว่า…ฮองเฮาใกล้ตายแล้ว ท่านแม่ข้าจึงใช้เรื่องนี้มาบีบ ถึงช่วยรักษาอาการป่วยให้ฮองเฮากระมัง”
“ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดท่านแม่เจ้าถึงได้ดึงดันจะให้เจ้าแต่งงานเข้าตระกูลจีเพียงนี้ แต่ข้าคิดว่า ความจริงน่าจะเป็นอย่างที่เจ้าคาดเดาไว้ ดังนั้นเจ้าลองคิดดูสิ คนที่โดนเล่นงานอันที่จริงแล้วคือข้า ข้าต่างหากที่น่าสงสาร” ใต้เท้าอัครเสนาบดีพูดพลางทำสีหน้าน่าสงสารและต่อว่าต่อขานให้รับกับคำพูดของตน
เฉียวเวยฟังไปช่วงแรกยังเกือบจะเชื่ออยู่แล้วเชียว พอฟังครึ่งหลังก็รู้สึกขึ้นมาว่าอีตานี่กำลังหลอกให้นางงุนงง จึงฟาดใส่บนหลังมือเขาทันที “ไม่อยากถูกเล่นงานก็อย่ามาแต่งงานกับข้าสิ! หนังสือสมรสข้าก็เอาถ่วงไว้ที่ใต้สระแล้ว แต่ใครไม่รู้ไปขุดเอามันขึ้นมาทั้งดึกๆ ดื่นๆ!”
“ข้าเอง” จีหมิงซิวตอบอย่างจริงใจและสัตย์ซื่อ
เฉียวเวยมองท่าทางทึ่มทื้อของเขาแล้วหัวเราะพรืดออกมา พอหัวเราะเสร็จก็จับแววหยอกล้อในสายตาเขาได้อีก นางจึงนั่งตัวตรงเอ่ยว่า “อย่ามาคิดจะหลอกตาข้าเชียวนะ! ข้าไม่ได้หลอกง่ายเพียงนั้น!”
พอสิ้นเสียง…
“ข้าเข้าไปแล้วนะ!” เดิมทีประตูห้องลงกลอนอยู่ พอได้ยินเสียงดังแกร๊ก หัวกุญแจก็หล่นลงมา วั่งซูกอดน้องเสี่ยวอวี่ จูงมือกับพี่ชายเดินเข้ามา
ตอนอยู่บนเขา พวกเขานอนด้วยกันกับท่านแม่ เมื่อมาที่นี่ก็ย่อมต้องนอนกับท่านแม่เหมือนเดิมสิ!
ชั่วขณะที่ประตูเปิดออกนั้น จีหมิงซิวหยิบเอาหน้ากากมาสวม
ซาลาเปาน้อยสองคนถอดรองเท้าแล้วปีนขึ้นเตียงอย่างคล่องแคล่ว
จิ่งอวิ๋นมองท่านลุงหมิงที่แต่งงานวันเดียวกับตน การแต่งงานสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงชื่อเรียกหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้รู้ว่าคืออะไร แต่เมื่อเห็นท่านลุงหมิงอยู่ที่นี่ เขาก็พอเข้าใจแล้วว่าการแต่งงานหมายถึงอะไร ก็คือการที่ทุกคนจะได้นอนด้วยกันนั่นเอง
“ท่านลุงหมิงจะนอนกับพวกเราด้วยหรือไม่” วั่งซูถามพลางกะพริบตาปริบๆ
จีหมิงซิวขยี้ศีรษะเล็กๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว “ใช่แล้ว ตั้งแต่วันนี้ไป ลุงหมิงจะนอนกับพวกเจ้าด้วย วั่งซูชอบหรือไม่”
วั่งซูยิ้มจนตาหยี “ข้าชอบ!”
จีหมิงซิวพูดต่อว่า “ต่อไปต้องเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วนะ ลุงหมิงไม่ใช่ลุงของพวกเจ้าแล้ว เวลานี้เป็นท่านพ่อแล้ว”
“ท่านพ่อ!” วั่งซูเรียกอย่างคล่องปาก “เช่นนั้นต่อไปข้าก็จะมีท่านพ่อสองคนแล้ว! คนหนึ่งคือท่านพ่อที่เขียนจดหมายถึงข้า อีกคนหนึ่งคือท่านพ่อลุงหมิง!”
จีหมิงซิวเลยถามว่า “เจ้าชอบคนใดมากกว่ากัน”
“ก็ต้องท่านพ่อลุงหมิงสิ! ท่านพ่อคนนั้นไม่ต้องการข้าแล้วนี่” ดวงตาน้อยๆ ของวั่งซูดูเศร้าหมองลงเล็กน้อย “ตอนที่ข้าคิดถึงเขามากๆ เขายังไม่มาหาข้าเลย ข้ายังร้องไห้ด้วย”
เด็กคนนี้เคยร้องไห้เพราะเหตุนี้จริงๆ หรือ จีหมิงซิวพลันเจ็บจี๊ดขึ้นมาในหัวใจ
บุตรชายไม่ชอบ “พ่อแท้ๆ” ที่เขียนจดหมายถึง ใช่เพราะเหตุเดียวกันนี้หรือไม่
“ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงท่านลุงหมิง ท่านลุงหมิงก็มาหาทุกครั้ง ข้าชอบท่านลุงหมิง!” วั่งซูยื่นหน้าไปหอมแก้มจีหมิงซิวทีหนึ่ง นัยน์ตากลับมามีแววแจ่มใสอีกครั้ง
จีหมิงซิวมองตุ๊กตาผ้าในมือบุตรสาวที่กอดไว้ไม่ยอมปล่อย “ตอนเจ้าได้ยินข่าวท่านพ่อเจ้า ไม่ใช่ว่าดีใจมากหรอกหรือ”
วั่งซูตอบว่า “ก็เพราะมีท่านพ่อ ข้าก็จะไม่เป็นลูกไม่มีพ่อแล้วอย่างไร”
จีหมิงซิวปวดใจยิ่งนัก
จู่ๆ เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา เวลานี้เด็กทั้งสองชื่นชอบเขามากเพียงนี้ หากวันใดวันหนึ่งได้รู้ว่าเขาก็คือท่านพ่อที่ไม่สนใจใยดีพวกเขามาตลอดห้าปี พวกเขาจะไม่มีให้ตนแม้แต่ความชื่นชอบส่วนนี้แล้วหรือไม่
โลกของเด็กน้อย การทอดทิ้งไม่มีเหตุผลทั้งสิ้น ไม่ว่าเขาจะลืมไปแล้วหรือตายไปแล้วก็ตามที
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวด้วยความเห็นใจ เรื่องในตอนนั้นเอาเข้าจริงจะโทษเขาไม่ได้ เพียงแค่ลูกทั้งสองยังเด็กเกินไป ยังไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้
เจ้าซาลาเปาน้อยสองตัวง่วงแล้ว จึงอ้าปากหาวกันหลายทีแล้วลงนอนตรงกลางระหว่างทั้งสอง
วั่งซูชื่นชอบจีหมิงซิวมากจริงๆ แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการแล้ว กลิ้งกลุกๆ เข้าไปให้จีหมิงซิวกอด
จีหมิงซิวกอดนาง นางกอดตุ๊กตาผ้า พลางหัวเราะหึหึหึให้จีหมิงซิว
“รีบนอนเถอะ” จีหมิงซิวเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“อื้อ!” วั่งซูหลับตาลง ตรงมุมปากยังคงเจือรอยยิ้ม
เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นบนเตียงแล้วมุดตัวเข้าสู่อ้อมแขนของจิ่งอวิ๋น
จิ่งอวิ๋นกอดมันไว้ เฉียวเวยกอดจิ่งอวิ๋น ผ่านไปไม่นานเจ้าตัวน้อยทั้งสามก็ค่อยๆ เข้าสู่นิทรารมย์
แต่ผู้ใหญ่ทั้งสองกลับยังไม่หลับ
เฉียวเวยกอดไหล่บุตรชายเอาไว้ มองบุตรสาวที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นบิดา ถึงแม้จะยังเคืองไม่หายที่อีกฝ่ายทำทุกวิถีทางให้นางแต่งงานกับเขา แต่กลับไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่าเขาทำให้ลูกทั้งสองรู้สึกสมบูรณ์
“ขอบคุณนะ” อยู่ๆ จีหมิงซิวก็เอ่ยขึ้น
“ขอบคุณอะไร” เฉียวเวยถาม
“ขอบคุณที่เจ้าคลอดพวกเขาออกมา ขอบคุณที่เจ้าเลี้ยงดูพวกเขาจนโต”
เฉียวเวยหลุบตาลง “ท่านต้องดีกับพวกเขาให้มากนัก พวกเขาลำบากกันมามากจริงๆ มากถึงขั้นที่ท่านจินตนาการไม่ออกเลยทีเดียว”
“ข้ารู้” จีหมิงซิวยื่นแขนยาวๆ ของตนออกไปจับมือเฉียวเวยไว้
“ข้ายังไม่หายโกรธท่าน อย่าได้แกว่งเท้าหาเสี้ยนเชียว”
จีหมิงซิวดึงมือกลับด้วยความขุ่นเคือง
สี่คนพ่อแม่ลูก หลับฝันดีกันตลอดคืน
…