หลังจากที่ได้อ่านจดหมาย ลู่โจวก็รู้สึกว่าผู้ชี้แนะคนนี้เป็นคนใจแคบมากเกินไป ตลอดประวัติศาสตร์ไม่ว่าราชวงศ์ไหนก็ล้วนแต่จำกัดความคิดของทุกคนเอาไว้ ทั้งเจตจำนง อิสรภาพ ความรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการพัฒนาของมนุษย์ล้วนแต่ถูกจำกัดไว้
แม้ว่าลู่โจวจะไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ตั้งแต่แรก แต่ถึงแบบนั้นจีเทียนเด๋า หยุนเทียนลั่ว หลิวกู่ หยวนดู่ ทุกๆ คนต่างก็พยายามที่จะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ แม้แต่ศิษย์ที่อายุสั้นอย่างยู่ฉางตงเองก็เคยคิดแบบนั้น
เมื่อยุคสมัยแห่งการแยกดอกบัวเริ่มต้นขึ้น ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายก็เลือกที่จะฝึกฝนตัวเองให้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบในทันที
ครึ่งปีแล้วที่ยุคสมัยใหม่เริ่มต้นขึ้น แม้แต่หลิวกู่เองก็ยังฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบครึ่งได้ ยังไงซะทุกคนก็คงจะตามทันไม่ช้าก็เร็ว ในตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว ใครกันจะหยุดทุกคนไม่ให้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้?
แม้ว่าลู่โจวจะไม่ได้เผยแพร่ทฤษฎีการตัดดอกบัว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีหมากกระดานของหยุนเทียนลั่ว งานศึกษาของหลิวกู่ และความพยายามของยู่ฉางตง ยังไงซะการตัดดอกบัวทองคำของยู่ฉางตงก็ย่อมที่จะเปิดเผยความจริงให้กับทุกคนได้รู้อยู่ดี
ไทเฮาที่ได้ฟังแบบนั้นถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา “ยังไงซะมันก็ขึ้นอยู่กับฟ้าแล้วล่ะ”
“แต่ข้าคิดว่าทั้งหมดขึ้นอยู่ในมือเรา”
ไทเฮาที่ได้ฟังแบบนั้นได้พยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
ลู่โจวได้นึกถึงแม่นางแซ่หลัวที่ถูกพูดถึงในจดหมายได้ “เจ้าเคยได้ยินเรื่องของแม่นางแซ่หลัวไหม ไทเฮา?”
ไทเฮาที่ได้ฟังแบบนั้นกำลังครุ่นคิด บางทีอาจจะเป็นเพราะนางมีอายุที่มากแล้ว เพราะแบบนั้นนางจึงต้องใช้เวลาในการนึกถึงอดีตเพิ่มมากขึ้น เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เริ่มส่ายหัว “ผู้ชี้แนะไม่เคยที่จะพูดถึงแม่นางแซ่หลัวเลย บางทีเขาอาจจะบอกใครสักคนเกี่ยวกับเรื่องของนางก็ได้ ข้าได้ยินจากองค์จักรพรรดิมาก่อน ในตอนนั้นเขาบอกว่าผู้ชี้แนะมักจะใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ผู้ชี้แนะคนนั้นมักจะใช้เวลาคิดถึงบ้านเกิดที่จากมา ผู้ชี้แนะเคยพูดถึงการค้นหาใครบางคน บางทีคนคนนั้นอาจจะหมายถึงแม่นางแซ่หลัวก็เป็นได้”
“นางไม่เคยปรากฏตัวในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มาก่อนเลยเหรอ?” ลู่โจวรู้สึกสับสน
หลี่หยุนเฉาเป็นผู้ตอบกลับมา “ข้าเป็นผู้ที่รับใช้องค์ไทเฮามานานมากที่สุดแล้ว ข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับองค์ไทเฮาดี ข้ารับรองได้เลยว่าองค์ไทเฮาไม่เคยรู้เรื่องของแม่นางแซ่หลัวมาก่อน แต่ถึงแบบนั้นเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็ยังกว้างใหญ่ มีผู้คนมากมายที่ใช้แซ่หลัว พวกเราคงจะต้องมองหาผู้ที่เป็นไปได้ ผู้ที่สำคัญมากพอควรค่าแก่การตามหามากกว่า”
ลู่โจวลูบเคราก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเข้าใจแล้ว”
ในตอนนั้นเองทหารราชสำนักก็ได้ปรากฏตัวขึ้น “องค์ไทเฮา โจวยู่ไคประมุขแห่งสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่และเม้งหนานเฟย ประมุขแห่งสถานศึกษาผืนฟ้าขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ไทเฮาที่ได้ฟังแบบนั้นถอนหายใจ “บอกให้พวกเขารออยู่ที่ตำหนักต้าเฉิงซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
…
ณ ตำหนักต้าเฉิง
โจวยู่ไคและเม้งหนานเฟยกำลังสั่นไปทั้งตัวในขณะที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ไทเฮาได้นั่งอยู่ทางด้านขวาในขณะที่ลู่โจวกำลังนั่งอยู่ทางด้านซ้าย
โจวยู่ไคโคกศีรษะก่อนจะเริ่มต้นพูด “ผู้อาวุโสจี ได้โปรดเชื่อข้าด้วย ข้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้อาวุโสทั้งสิบได้ทำไป…ข้าพยายามห้ามปรามพวกเขาไว้แล้ว แต่ถึงแบบนั้นพวกเขากลับไม่ฟัง!”
เม้งหนานเฟยพูดต่อ “ตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในมณฑลหยาน ข้าก็ได้กำชับสาวกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ถึงแบบนั้นพวกเขากลับไม่เชื่อฟัง…”
บนยอดเขาใกล้ๆ กับมณฑลหยาน ลู่โจวได้เคยพบกับโจวยู่ไคและเคยได้พูดคุยกันมาก่อนแล้ว
ในบรรดาประมุขทั้งสอง ทุกๆ คนต่างก็คิดสงสัยในตัวเม้งหนานเฟยมากกว่า
“บอกเหตุผลที่จะทำให้ข้าเชื่อเจ้า”
โจวยู่ไคเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะหยิบเครื่องรางออกมา “นี่เป็นเครื่องรางของข้าที่มอบให้กับสาวกหลักไป ถ้าหากมีสาวกคนไหนห่างจากสถานศึกษา เครื่องรางชิ้นนี้ก็จะจางหายไปเอง ผู้อาวุโสจี ท่านมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำ ท่านจะต้องตรวจสอบเวลาที่เครื่องรางเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นได้แน่”
ลู่โจวโบกแขนของตัวเอง หนึ่งในเครื่องรางได้ลอยเขาหาฝ่ามือเข้า มันเป็นความจริงที่เครื่องรางมีร่องรอยอยู่เล็กน้อย บนเครื่องรางมีตราประทับที่แสนเรียบง่ายถูกประทับเอาไว้
“แล้วเจ้าล่ะ?” ลู่โจวหันกลับไปมองเม้งหนานเฟยแทน
เม้งหนานเฟยสั่นไปทั้งตัว ดวงตาของเขาเบิกกว้างในขณะที่ตอบโต้ “ผู้อาวุโส ข้าพูดความจริง…ข้าเองก็ใช้วิธีการเดียวกัน แต่ว่า…”
สิ่งที่เม้งเฟยหนานพูดไม่น่าเชื่อถือมากพอ
บนยอดเขาใกล้ๆ กับมณฑลหยาน ในตอนนั้นเม้งเฟยหนานปฏิเสธที่จะตอบรับคำเชิญของลู่โจว เม้งเฟยหนานในตอนนั้นเลือกที่จะส่งสาวกไปที่ยอดเขาแทน ลู่โจวในตอนนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น ตัวเขาได้ใช้การ์ดวิเศษเพื่อปลอมแปลงพลังข่มขู่
ในตอนนั้นเองฮั๊วจงหยางก็เริ่มพูด “ผู้อาวุโสจี ข้ามีอะไรบางอย่างที่จะต้องพูด!”
“ว่ามา”
“เมื่อสำนักอเวจีบุกโจมตีเมือง ในตอนนั้นข้าเห็นสาวกจากสถานศึกษาผืนฟ้าหลายคนรวมตัวกัน!” ฮั๊วจงหยางรีบรายงาน
คำพูดของฮั๊วจงหยางเป็นดั่งตะปูที่ตอกอยู่บนฝาโลงของเม้งหนานเฟย “เจ้า…เจ้าจะต้องเข้าใจผิดแล้วแน่!”
ฮั๊วจงหยางถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ข้าพอจะแยกแยะได้ว่าสาวกของสถานศึกษาผืนฟ้ากับทหารราชสำนักมันต่างกันยังไง”
กลุ่มหนึ่งเป็นผู้สวมใส่ชุดเกราะ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธชุดขาว ฮั๊วจงหยางย่อมรู้ดี
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นตัดสินใจได้แล้ว ตัวเขาเหลือบมองไปที่ฮั๊วจงหยาง “สาวกของสำนักอเวจีตายไปกี่คน?”
“พวกเรายังไม่สามารถระบุจำนวนได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนจะเริ่มการต่อสู้ พวกเรามีสาวกกว่า 70,000 ตอนนี้พวกเราเหลือไม่ถึง 40,000 แล้ว…” ฮั๊วจงหยางใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป
พรึ๊บ!
ในตอนนั้นเองสาวกจากสำนักอเวจีกว่าหลายคนได้กู่มายังทางเข้าของตำหนักต้าเฉิง ทุกคนเหลือบมองเม้งหนานเฟยด้วยดวงตาอันแดงก่ำ
ผู้นำทัพย่อยทั้ง 12 คนแห่งสำนักอเวจีได้คุกเข่าลงในทันที “เมื่อเจ้าสำนักของพวกเราไม่อยู่ ผู้อาวุโสจีได้โปรดตัดสินใจแทนเราด้วย!”
สาวกจากสำนักอเวจีต่างก็พูดกันอย่างพร้อมเพรียง
“ได้โปรดตัดสินใจแทนด้วย ท่านผู้อาวุโส!”
“ได้โปรดตัดสินใจแทนด้วย ท่านผู้อาวุโส!”
เสียงของสาวกดังกังวานไปทั่วตำหนักต้าเฉิง
‘ทุกอย่างย่อมมีเหตุผล ทุกความขับข้องใจต้องมีทางออก ทุกความแค้นต้องสะสาง’
หลิวกู่ตายไปแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
ลู่โจวมองไปที่เม้งหนานเฟย “แม้ว่าข้าจะให้อภัยเจ้า แต่เมื่อคำนึงถึงเลือดเนื้อของสาวกสำนักอเวจีที่เสียไป ข้าเองก็คงจะตัดสินใจไม่ได้”
หัวใจของเม้งเฟยหนานเต้นรัว “ผู้อาวุโส…ผู้อาวุโสจี…ข้าไม่มีทางเลือก…ข้าก็แค่ต้องรับใช้ผู้เป็นเจ้านายก็เท่านั้น!”
ลู่โจวไม่ได้สนใจคำแก้ตัว “ฮั๊วจงหยาง”
“ครับ ท่านผู้อาวุโส”
“ในขณะที่ยู่เฉิงไห่ไม่อยู่ เจ้าจงรับผิดชอบเรื่องในสำนักอเวจีซะ…ข้าขอฝากเม้งหนานเฟยไว้กับเจ้าด้วย” ลู่โจวโบกแขนเสื้อหลังสั่งการ
เมื่อฮั๊วจงหยางได้ฟังเช่นนั้น ตัวเขาก็ได้คุกเข่าลง “ขอบคุณผู้อาวุโสจี”
เมื่อได้ฟังคำพูดของลู่โจว ผู้นำทัพย่อยทั้งหมดต่างก็รู้สึกยินดี
ฮั๊วจงหยางเหลือบไปมองเม้งหนานเฟยแทน “มากับเราซะ”
“…”
เมื่อเม้งหนานเฟยไม่เคลื่อนไหว ฮั๊วจงหยางก็เลือกที่จะลากเขาออกไปแทน ฮั๊วจงหยางในตอนนี้บาดเจ็บ ตัวเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะรับมือกับเม้งหนานเฟย
เม้งหนานเฟยสะดุ้ง
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้ยกฝ่ามือขึ้น! เพียงแค่พลังอวตารดอกบัวห้ากลีบก็สูงมากพอที่จะถูกยอมรับให้กลายเป็นยอดฝีมือ
ตู๊ม!
เม้งหนานเฟยไม่กล้าแม้แต่จะหลบหลีก ตัวเขากระเด็นกลับไปหลังจากที่ถูกโจมตี ที่ริมฝีปากเต็มไปด้วยรอยเลือด
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรเม้งหนานเฟย “ฮั๊วจงหยาง ข้าจะอยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อีกหลายวัน เจ้าจะต้องเก็บกวาดเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ให้ได้…ในเมื่อข้ายังอยู่เจ้าก็อย่าได้เกรงกลัวอะไร”
ฮั๊วจงหยางกังวลว่าสำนักอเวจีจะมีปัญหาถ้าหากลู่โจวจากไป ท้ายที่สุดแล้วทั้งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์และสำนักอเวจีต่างก็สูญเสียด้วยกันทั้งคู่ แต่เป็นเพราะศาลาปีศาจลอยฟ้า เพราะแบบนั้นทุกอย่างจึงราบรื่น
ฮั๊วจงหยางและสาวกจากสำนักอเวจีต่างก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก “ขอบคุณผู้อาวุโส!”
…
บนกำแพงเมืองของมณฑลเหลียง
หวางซื่อเจียมองไปยังชายผู้ใช้ดาบชุดเขียว “ท่านสอง ท่านกำลังคิดหาวิธีสังหารแม่ทัพคาร์รอลอยู่อย่างงั้นสินะ?”
ยู่ฉางตงตอบโดยที่ไม่หันหลังกลับมา “ไม่”
“แล้วท่านกำลังคิดอะไรอยู่กัน?”
“ข้าสงสัยว่าทำไมคาร์รอลถึงยังไม่โจมตี” ยู่ฉางตงตอบกลับมา
“เจ้านั่นคงจะกลัว”
“แทนที่จะตั้งรับอยู่เฉยๆ ทำไมพวกเราไม่คิดเริ่มโจมตีล่ะ?”
“ท่านสอง ท่านหมายความว่าอะไรกัน?” หวางซื่อเจียตกใจ
ในตอนนั้นเองใครคนหนึ่งได้บินมาหาทั้งคู่ “ท่านเจ้าเกาะ มีจดหมายมาจากท่านเจ็ด”
“เขียนว่าอะไร?”
“เจ้าสำนักยู่เฉิงไห่มีปัญหาแล้ว”
“…”