ตอนที่ 597 การจากไปของดาบปีศาจ

My Disciples Are All Villains

ดวงตาของหวางซื่อเจียเบิกกว้าง “นี่มันไม่ใช่เวลาจะมาล้อเล่นหรอกนะ!”
  “ท่านเจ็ดเป็นผู้เขียนจดหมายเอง ข้าน้อยไม่กล้าโกหก! ท่านเจ็ดได้บอกให้พวกเรารอเขา” ผู้ส่งสารโค้งคำนับให้ก่อนที่จะยื่นจดหมายด้วยมือทั้งสองข้าง
  “…”
  “ท่านเจ็ดกำลังเดินทางมายังมณฑลเหลียง เขาน่าจะมาถึงพรุ่งนี้เช้า!”
  …ยู่ฉางตงมองขึ้นไปบนทิศที่ชนเผ่าอื่นมารวมตัวกัน ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นหันกลับมา ที่ใบหน้าของเขาในก่อนหน้านี้มีรอยยิ้มจางๆ อยู่ แต่ในตอนนี้สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
  หวางซื่อเจียสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้นตัวเขาจึงเลือกที่จะคารวะให้ก่อนจะจากไป
  …
  ณ มณฑลเหลียง เช้าวันรุ่งขึ้น
  หวางซื่อเจีย เจียงอาเฉียน หลี่จิงยี่ เจ้าสำนักหมื่นอสรพิษ เจ้าสำนักเบ่งบาน และประมุขแห่งวิหารปีศาจต่างก็มารวมตัวกันที่คฤหาสน์แม่ทัพ
  “ท่านสองอยู่ที่ไหนกัน?”
  สาวกคนหนึ่งโค้งคำนับก่อนจะตอบกลับไป “ท่านสองอยู่ที่ป้อมปราการ”
  “เขารีบร้อนอะไรขนาดนั้นเลยอย่างงั้นเหรอ?” เจียงอาเฉียนตกตะลึง
  “ท่านสองอยู่ที่นั่นตลอดทั้งคืนครับ”
  “ทั้งคืน?” หวางซื่อเจียขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าจะไปดูเอง”
  เจียงอาเฉียนพูดต่อ “ท่านอาจารย์…ท่านกังวลไปก็เปล่าประโยชน์ ท่านที่ไปในตอนนี้ไม่กลัวถูกถลกหนังเหรอไงกัน? ท่านสองน่ะไม่เป็นไรจนกระทั่งรู้เรื่องที่เกิดกับยู่เฉิงไห่”
  หวางซื่อเจียตกตะลึง “ข้าคิดว่าพวกเขาจะไม่ถูกกันซะอีก”
  “ก็จริงอยู่ แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็เป็นศิษย์ร่วมสำนัก” เจียงอาเฉียนตอบ
  “เจ้าพูดมีเหตุผล” หวางซื่อเจียพยักหน้า “เจ้าเจียงน้อย…”
  เจียงอาเฉียนที่ได้ฟังแบบนั้นรีบพูดขัด “ท่านอาจารย์ โปรดเรียกข้าว่าอาเฉียนเถอะ! ได้โปรดเรียกข้าว่าผู้คลั่งไคล้ดาบเจียงอาเฉียนด้วย…ถ้าหากท่านจะเรียกข้าว่าเจียงน้อย ข้าจะรีบไปจากที่นี่แน่!”
  “สามหาว!” หวางซื่อเจียพูดต่อ “ถ้าหากเจ้ามีพลังและพรสวรรค์เหมือนกับยู่ฉางตงจริง ข้าก็คงจะไม่ตกต่ำเหมือนตอนนี้…” หวางซื่อเจียเริ่มดูสิ้นหวัง
  “ท่านอาจารย์ ท่านจะเปรียบเทียบแบบนั้นไม่ได้ แม้ว่าข้าจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกับท่านสอง แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังเป็นหนึ่งในสามผู้คลั่งไคล้ดาบผู้ยิ่งใหญ่! ข้าเคยทำให้ชื่อเสียงของท่านมัวหมองเมื่อไหร่กัน? ไม่ยุติธรรมเลยที่จะเปรียบเทียบข้ากับท่านสอง!” เจียงอาเฉียนตัดพ้ออย่างเย่อหยิ่ง
  …
  ในตอนนั้นเองรถม้าล่องเมฆากำลังเร่งความเร็วไปยังเมืองมณฑลเหลียง บางทีอาจจะเป็นเพราะความเร็วในการบินจึงทำให้เกิดเสียงดังไปทั่ว
  ผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างก็สังเกตเห็นได้
  “พวกเขามากันแล้ว!”
  “ท่านเจ็ดมาแล้ว!”
  ทุกๆ คนลุกขึ้นก่อนที่จะเหลือบดูท้องฟ้า
  ในชั่วพริบตาชายผู้สวมใส่ชุดสีเขียวก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ชายคนนั้นเอามือกอดอกในขณะที่มองรถม้าล่องเมฆากำลังลอยมาด้วยแววตาอันเย็นชา
  “อรุณสวัสดิ์ท่านสอง” ผู้คนจากสำนักหมื่นอสรพิษ สำนักเบ่งบาน และวิหารปีศาจต่างก็โค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน
  ยู่ฉางตงไม่ได้สนใจอะไรพวกเขา ตัวเขายังคงเหลือบมองไปที่รถม้า
  ไม่นานนักรถม้าก็ลอยอยู่เหนือมณฑลเหลียง
  เมื่อเห็นแบบนั้นยู่ฉางตงก็ลอยขึ้นไป
  สีวู่หยาที่เป็นผู้ควบคุมพังงารถม้าได้โค้งคำนับก่อนจะกล่าวทักทาย “ศิษย์พี่รอง!”
  เพียงแค่ชำเลืองมองยู่ฉางตงก็เห็นยู่เฉิงไห่นอนอยู่บนรถม้า ตัวเขาไม่รอช้ารีบตรวจสอบพลังลมปราณของยู่เฉิงไห่ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้พบพลังอะไร สภาพของยู่เฉิงไห่ไม่ต่างอะไรจากผู้ที่ตายไปแล้ว เมื่อเห็นแบบนั้นใบหน้าของยู่ฉางตงจึงเปลี่ยนแปลงไป “ท่านอาจารย์รู้รึยัง?”
  “ท่านอาจารย์รู้แล้ว ในตอนที่เขามาถึงมันก็สายเกินไป ศิษย์พี่ใหญ่ได้ต่อสู้กับหลิวกู่อย่างกล้าหาญเหนือแม่น้ำเมฆาพิโรธ พลังที่ทั้งสองคนมีเท่าเทียมกัน และทั้งคู่ก็ได้เสียชีวิตจากการต่อสู้” สีวู่หยาตอบกลับอย่างใจเย็น
  ยู่ฉางตงส่ายหัวก่อนจะพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ข้าบอกแล้วว่าหลิวกู่ไม่ใช่พวกฝืนตัวเอง ถ้าหากเขายอมฟังข้าสักนิดเรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่”
  สีวู่หยาถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “จะพูดถึงเรื่องนี้ก็คงจะไม่มีความหมายอะไรแล้ว แม้ว่าท่านอาจารย์จะรักษาศิษย์พี่ใหญ่แล้วก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นท่านอาจารย์ก็ทำได้เพียงยื้อชีวิตของเขาเอาไว้เท่านั้น”
  ยู่ฉางตงเข้าไปในรถม้าล่องเมฆา ตัวเขาเหลือบมองไปที่ยู่เฉิงไห่ที่นอนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
  ภายในรถม้าล่องเมฆาเงียบสนิท
  ชิ๊ง!
  ทันใดนั้นเองดาบยืนยาวก็ถูกชักออกมาจากฝัก แสงสีแดงที่ดาบมีได้ส่องเข้าสู่ร่างของยู่เฉิงไห่ก่อนที่ดาบจะกลับคืนสู่ฝัก
  ยู่ฉางตงได้หันกลับมาถามต่อ “แล้วท่านอาจารย์ได้พูดอะไรอีก?”
  หลังจากนั้นสีวู่หยาก็เล่าเรื่องทุกอย่างที่ลู่โจวพูดไว้ให้กับยู่ฉางตงได้ฟัง สีวู่หยาที่เล่าเรื่องทุกอย่างได้หันกลับมาพูดต่อไป “ข้าจะพาศิษย์พี่ใหญ่เข้าไปในลั่วหลาน ข้าจะหาที่ที่เขาถูกฝังไว้เป็นครั้งแรกเอง”
  ทุกๆ คนต่างก็ตื่นตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้
  เจียงอาเฉียนส่ายหัว ตัวเขาก้าวไปที่ด้านหน้าก่อนที่จะพูดกับสีวู่หยา “ข้ารู้ว่าท่านมีไหวหริบ แต่ถึงแบบนั้นที่ลั่วหลานเต็มไปด้วยผู้คนที่ใช้เวทมนตร์คาถา ทั้งม่อหลี่และไป่มาต่างก็ตายในดินแดนหยาน ตอนนี้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในความวุ่นวาย คนนอกทั้งหลายคงกำลังรอโอกาสที่จะพิชิตดินแดนของพวกเราแน่ การที่ท่านจะไปที่ลั่วหลานในตอนนี้ไม่เท่ากับการฆ่าตัวตายอย่างงั้นเหรอ?”
  สีวู่หยาตอบกลับ “นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยศิษย์พี่ใหญ่ได้ ถ้าหากข้าช่วยเข้าได้ ข้าก็เต็มใจที่จะเสี่ยง”
  ทุกคนต่างก็พยักหน้าเมื่อได้ฟังแบบนั้น
  ในตอนนั้นเองยู่ฉางตงก็พูดออกมา “ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
  “ศิษย์พี่รอง?”
  “ข้าจะไปที่ลั่วหลานเอง” ยู่ฉางตงยกมือขึ้น ในตอนนั้นเองพลังงานก็ได้ยกตัวของยู่เฉิงไห่เอาไว้
  “แต่ว่า…”
  “ข้ามีดาบยืนยาวอยู่ ข้าสามารถยืดอายุขัยของเขาได้” ยู่ฉางตงได้หันกลับไปมองสีวู่หยา “นอกจากนี้พลังวรยุทธของเจ้ายังอ่อนแอเกินไปด้วย”
  “…”
  “ไม่ต้องเสียเวลาพูดกันแล้วล่ะ ข้าสัญญาว่าเขาจะต้องอยู่ได้แน่ตราบใดที่ข้าและดาบยังอยู่” ยู่ฉางตงได้บินออกไปจากรถม้าพร้อมๆ กับร่างของยู่เฉิงไห่
  ทุกๆ คนต่างก็มองดาบปีศาจด้วยความสับสน ทำไมเขาถึงได้รีบร้อนขนาดนั้น? เขาไม่คิดที่จะวางแผนอะไรไว้หน่อยเหรอ? หรือว่าเขาจะเสียสติไปแล้ว
  “ยังไงก็เถอะสถานการณ์ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นยังไงบ้าง ศิษย์น้องเจ็ด?”
  “หลิวกู่ตายแล้ว สำนักอเวจีได้รับชัยชนะ ตอนนี้ท่านอาจารย์กำลังจับตาดูเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ให้ เพราะแบบนั้นที่นั่นปลอดภัยแน่นอน” สีวู่หยาตอบกลับ
  “งั้นก็ดีแล้ว” ยู่ฉางตงมองไปยังทิศที่ชนเผ่าอื่นอาศัยอยู่ “ช่วยดูแลเมืองมณฑลเหลียงให้ข้าด้วย”
  สีวู่หยาอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ‘…ศิษย์พี่รองคงจะคิดว่างานนี้เป็นงานง่ายๆ สินะ?’
  ฮี้!
  ในตอนนั้นเองก็มีเสียงร้องของม้าดังมาจากทางด้านหลัง
  ทุกๆ คนต่างก็ตื่นตกใจก่อนจะเหลือบมองกลับไป ทุกคนต่างก็คิดว่าชาวรั่วหรี่กำลังบุกมา แต่ถึงแบบนั้นทุกคนก็ได้เห็นหมิงซี่หยินที่ขี่ม้าเข้ามาใกล้แทน
  ม้าที่เห็นแผงคอสีแดงดุจดั่งทับทิม มีขนปกคลุมสีขาวราวกับหิมะ ดวงตาของมันเป็นสีทอง ม้าที่ได้เห็นดูโดดเด่นเกินกว่าม้าทั่วไปจริงๆ
  “ฮี้! ฮี้!”
  “หยุดบ่นได้แล้วหน่า เจ้าน่ะบ่นมาตลอดทางแล้วนะ!”
  ทุกๆ คนต่างก็ตื่นตกใจ
  “หรือว่านั่นจะคือท่านสี่แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้ากัน?”
  “ท่านสี่มีสัตว์ขี่แบบนั้นด้วยหรอ?”
  สีวู่หยามองไปที่หมิงซี่หยินด้วยดวงตาอันสับสน เขาไม่รู้เลยว่าผู้เป็นศิษย์พี่คนนี้เดินทางมาที่นี่ทำไม
  หมิงซี่หยินหยุดก่อนจะกระโดดลงม้า “สวัสดี ศิษย์พี่รอง”
  ยู่ฉางตงยิ้มให้เบาๆ ก่อนจะถามกลับ “ทำไมเจ้าถึงได้เตร็ดเตร่อยู่นานจนเพิ่งจะมาถึงล่ะ?”
  “ข้าน่ะเหรอ? ท่านคงเข้าใจผิดแล้วศิษย์พี่ ท่านจำผิดคนแล้วล่ะ” หมิงซี่หยินเกาหัว เขาทำเหมือนกับราวไม่รู้เรื่องอะไร
  “เจ้ามักจะทะเลาะกับศิษย์น้องเจ็ดอยู่เสมอ ตอนนี้ชนเผ่าอื่นกำลังจะบุกมาแล้ว พวกเจ้าทั้งคู่จะต้องเลิกทะเลาะกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน” ยู่ฉางตงพูดกับหมิงซี่หยินและสีวู่หยา
  “ข้าเข้าใจแล้ว” เห็นได้ชัดว่าคำตอบของหมิงซี่หยินดูไม่จริงใจ ‘ทีท่านเองก็ยังทะเลาะกับศิษย์พี่ใหญ่เลยนิ?’
  “ข้าแน่ใจว่าหลังจากนี้การปกป้องมณฑลเหลียงเอาไว้คงจะยากขึ้นแน่ ถ้าหากมีปัญหาอะไรก็รีบขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ซะเถอะ อย่าเย่อหยิ่งประมาทศัตรูจนเกินไปล่ะ” ยู่ฉางตงตักเตือน
  “ข้าเข้าใจแล้ว” หมิงซี่หยินตอบกลับไปอย่างส่งๆ ‘ทำไมข้าคิดว่าคำแนะนำนี้เหมาะกับท่านมากกว่า’ ถึงแม้จะคิดแบบนั้นแต่หมิงซี่หยินก็ไม่กล้าพูดออกไป
  ยู่ฉางตงยิ้มให้อีกครั้ง “เห็นทีข้าคงจะต้องฝากให้พวกเจ้าจัดการแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
  ยู่ฉางตงเตรียมที่จะบินจากไป…
  ฮี้!
  จี้เหลียงรีบบินไปดักหน้าของยู่ฉางตงเอาไว้
  “หืม?”
  ฮี้!
  จี้เหลียงก้มๆ เงยๆ ราวกับกำลังพยักหน้าให้
  “เฮ้ย จี้เหลียง เจ้าจะไปขวางทางศิษย์พี่รองทำไม?” หมิงซี่หยินตกตะลึงที่เห็นแบบนั้น
  ฮี้! ฮี้! ฮี้!
  จี้เหลียงยังคงเคลื่อนไหว
  ยู่ฉางตงที่เห็นแบบนั้นได้คาดเดาออกมา “เจ้าต้องการจะไปกับข้า ไปที่ลั่วหลานอย่างงั้นเหรอ?”
  จี้เหลียงพยักหน้า
  ทุกๆ คนตกตะลึงเมื่อเห็นจี้เหลียงพยักหน้า
  “ช่างเป็นม้าที่น่าทึ่งจริง!”
  “ม้ามีสติปัญญา! นี่มันสัตว์ขี่ในตำนานไม่ผิดแน่!”
  “ท่านโชคดีจริงๆ ท่านสอง ถ้าหากได้ม้าตัวนี้มันจะต้องนำพาท่านไปถึงที่หมายอย่างราบรื่นแน่!”
  “…” หมิงซี่หยินพูดไม่ออก
  ทุกวินาทีสำคัญกับการช่วยชีวิตยู่เฉิงไห่ เพราะแบบนั้นยู่ฉางตงจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคัดค้านจี้เหลียง “ดีมาก”
  ยู่ฉางตงกระโดดไปบนหลังของจี้เหลียงโดยที่มียู่เฉิงไห่อยู่ทางด้านหลัง
  จี้เหลียงดูเชื่องและเชื่อฟังเป็นพิเศษ…
  หมิงซี่หยินยังคงพูดไม่ออก
  ยู่ฉางตงหันกลับมา “ข้าต้องขอโทษด้วยศิษย์น้องสี่”
  “ไม่ ไม่ ไม่จำเป็นจะต้องขอโทษข้าเลย…ม้าตัวนี้เป็นของท่านอาจารย์ ศิษย์พี่เอามันไปใช้ได้เลย!” ในใจของหมิงซี่หยินได้สาปแช่งจี้เหลียงอยู่นับครั้งไม่ถ้วน
  ยู่ฉางตงพยักหน้าให้โดยที่ไม่พูดอะไรอีก ตัวเขาได้ขี่จี้เหลียงไปทางป่าทิศตะวันตก เพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็หายวับไป
  …
  ในตอนนั้นเอง
  หลังที่กบดานทางเหนือของป่า ชาวรั่วหรี่ที่สวมหน้ากากสังเกตเห็นจี้เหลียงเขา เมื่อได้เห็นแบบนั้นเขาจึงรีบกลับไปยังค่ายพักแรม
  …
  ค่ายพักแรม
  เมื่อแม่ทัพคาร์รอลรู้ข่าว เขาก็ได้ยิ้มออกมา “เจ้ารู้ไหมว่าใครออกจากมณฑลเหลียงไป?”
  “ท่านแม่ทัพ…แม้ว่าจะเห็นจากระยะไกลแต่ข้าก็มั่นใจว่าเขาคนนั้นคือศิษย์คนที่สองแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ยู่ฉางตงได้ขี่ม้าจากไป ดูเหมือนว่าเขาจะพาคนเจ็บไปด้วย”
  “ทำได้ดีมาก” คาร์รอลสั่งการต่อ “แจ้งไปที่ลั่วหลาน บอกให้จับตาดูชายคนนั้นให้ดี ถ้าหากพบโอกาสที่เหมาะสมก็จัดการมันซะ!”
  “ครับ ท่านแม่ทัพ!”