ที่ค่ายทหารของชาวรั่วหรี่ ทหารทั้งหลายต่างก็มารวมตัวกันรอบกองไฟ ทหารทั้งหมดต่างก็ดื่มเหล้าและกินอาหารกันอย่างเพลิดเพลิน ในตอนนี้ไม่มีร่องรอยอะไรของการเตรียมพร้อมต่อสู้เลย
คาร์รอลก้าวออกไปนอกค่ายก่อนที่จะเหลือบมองดูท้องฟ้า ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาอย่างเย็นชา “คาร์รัน…ข้าจะต้องล้างแค้นให้กับเจ้าได้แน่”
…
ตกดึก
ณ ป่าอันเงียบสงบ
หลังจากที่เดินทางมาด้วยความเร็วสูงสุดตลอดทั้งวัน ยู่ฉางตงก็วางแผนที่จะหยุดพัก
พลังที่จี้เหลียงมีมันอยู่เหนือความคาดหมายของยู่ฉางตงไปแล้ว แม้แต่คูสวรรค์จี้เหลียงก็คงจะพาตัวเขาข้ามผ่านมาได้แน่
คูสวรรค์ตั้งอยู่ในส่วนลึกของป่าแห่งหนึ่ง มันเป็นชื่อของเทือกเขาสูงตระหง่านของดินแดนหยาน เทือกเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก การจะข้ามผ่านคูสวรรค์นี้ได้คนคนนั้นจะต้องมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำมากพอ ถ้าหากมีพลังไม่มากพอวิธีการเดียวที่พอจะทำได้นั่นก็คือการอาศัยรถม้าลอยฟ้า ใกล้ๆ กับคูสวรรค์มักจะมีทหารคอยปกป้องอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากตกอยู่ในสถานการณ์ปกติการจะข้ามคูสวรรค์ได้คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย
หลังจากที่เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เหว่ยซู่หยานก็ได้รวบรวมกำลังพลกลับมา และเพราะแบบนั้นจึงทำให้คูสวรรค์ดูรกร้างไปโดยปริยาย
ยู่ฉางตงเหลือบมองไปที่คูสวรรค์ที่ด้านนอกป่า นอกจากดวงดาวแล้วตัวเขาไม่พบเห็นอะไรอีก หลังจากนั้นยู่ฉางตงก็หันมามองยู่เฉิงไห่ ยู่เฉิงไห่ที่หมดสติถูกวางพิงไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง “ท่านน่ะเกลียดพวกลั่วหลานมาโดยตลอด ทำไมท่านถึงไม่ใช้สำนักอเวจีที่มีเพื่อจัดการพวกนั้นล่ะ? ทำไมท่านถึงต้องเลือกพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ด้วย?”
แม้จะถามอะไรไปมากแค่ไหนแต่ยู่เฉิงไห่ก็ไม่สามารถตอบกลับได้
“ในตอนนั้น ตอนที่พวกเราพ่ายแพ้ให้กับท่านอาจารย์…หลังจากที่ท่านอาจารย์จากไป ถ้าหากข้าไม่ต่อสู้กับท่านต่อ หลิวกู่ก็คงไม่อาจจัดการกับท่านได้ เพราะแบบนั้น…ข้าเองก็มีส่วนกับความตายของท่าน แต่ข้าน่ะไม่เคยเสียใจที่ได้ต่อสู้กับท่านเลย ท่านน่ะจะแบกรับความรู้สึกนี้ไว้บนบ่าคนเดียวไปอีกนานแค่ไหนกัน?”
ณ ป่าที่เงียบสงบ ยู่ฉางตงก็ยังคงพูดกับชายผู้หมดสติ
“ถ้าหากพวกลั่วหลานคร่าชีวิตท่าน…ข้าก็จะไปจัดการกับพวกมันเอง…ท่านคิดว่ายังไงกันล่ะ? แค่บอกกับข้าว่าท่านคิดอะไรอยู่…ท่านน่ะมักจะเงียบแบบนี้เสมอ”
ยู่ฉางตงไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป
ฮี้!
ในตอนนั้นเองจี้เหลียงได้ส่งเสียงร้อง
ยู่ฉางตงสังเกตเห็นพลังชีวิตที่ยู่เฉิงไห่มีกำลังอ่อนแอ ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ชักดาบยืนยาวออกมา เมื่อแสงสีแดงส่องใส่ร่างของยู่เฉิงไห่ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้เก็บดาบยืนยาวเข้าฝัก
“ถ้าหากพวกเรายังคงทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเราทั้งคู่จะต้องตายแน่” รอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนหน้าของยู่ฉางตง “แต่ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่คิดว่าสวรรค์จะปล่อยให้พวกเราตายไปอย่างง่ายๆ หรอก”
ยู่ฉางตงยกดาบยืนยาวออกมาก่อนที่จะใช้นิ้วมือชักมันออกมา
ฉั๊วะ!
ดาบยืนยาวจู่โจมเข้าใส่ผู้ฝึกยุทธที่กำลังซ่อนตัวอย่างแม่นยำ ดาบยืนยาวที่โจมตีศัตรูได้ส่องแสงสีแดงจางๆ ออกมาก่อนที่จะกลับคืนสู่ฝัก
ยู่ฉางตงได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม คำพูดของเขาดูราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ในที่สุดคนแรกก็มาถึงแล้วสินะ”
ยู่ฉางตงได้ลุกขึ้นก่อนที่จะอุ้มยู่เฉิงไห่ไปยังจี้เหลียง ไม่นานนักจี้เหลียงที่แบกรับทั้งสองคนไว้ก็ได้บินออกจากป่า
ในตอนที่ยู่ฉางตงจากไป ในตอนนั้นก็มีใครคนหนึ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก “นั่นดาบปีศาจแห่งดินแดนหยานอย่างงั้นสินะ? ท่านแม่ทัพคาร์รอลต้องการให้พวกเราสกัดกั้นเจ้านั้นอย่างงั้นเหรอ? ใครจะไปทำได้กัน ต้องรีบรายงานท่านแม่ทัพแล้ว!”
ไม่ทันที่ชายคนนั้นจะได้พูดจบ ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้น “สหายข้า”
“หืม?”
“ขอโทษด้วย แต่พวกเจ้าคงจะไม่ได้ส่งจดหมายนั่นแน่”
เมื่อเงยหน้าขึ้น ในตอนนั้นผู้ฝึกยุทธลึกลับก็ได้เห็นดาบยืนยาวที่ห่อหุ้มไปด้วยพลังงานพุ่งเข้ามาหา
“ส่วนนี่ก็คือคนที่สองอย่างงั้นสินะ”
ดาบยืนยาวกลับเข้าสู่ฝักอีกครั้ง
ยู่ฉางตงได้บินกลับไปที่หลังของจี้เหลียงเช่นเคย
จี้เหลียงยังคงบินไปยังคูสวรรค์ต่อไป
คูสวรรค์เป็นทิวเขาที่สูงตระหง่านและทอดยาวถึง 10,000 ไมล์ ทิวเขาแห่งนี้เป็นที่แบ่งเขตแดนระหว่างดินแดนหยานและดินแดนตะวันตกนั่นเอง ด้วยความสูงและความยาวอันเป็นเอกลักษณ์ เพราะแบบนั้นจึงทำให้ใครหลายคนไม่อาจที่จะพิชิตทิวเขาแห่งนี้ได้
ผู้ฝึกยุทธส่วนมากเลือกที่จะใช้ทางอ้อมมากกว่า การจะเดินทางไปยังชนเผ่าอื่นยังมีอีกหลายเส้นทาง แต่แน่นอนทางที่อ้อมย่อมใช้เวลาที่ยาวนานกว่าการเดินทางตรง
เมื่อยู่ฉางตงกลับไปที่ภูเขาน้ำกร่อย ภูเขาที่เป็นดินแดนของชาวชนชั้นสูงในอดีต ด้วยพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบที่มีตัวเขาต้องใช้เวลาเกือบห้าวันกว่าที่จะเดินทางไปยังสุสานเมลิล็อต ในตอนนี้ทางอ้อมไม่ใช่ทางเลือก ถ้าหากยิ่งเสียเวลาไปมากกว่านี้ยู่เฉิงไห่ก็จะตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้น โชคยังดีที่คราวนี้ยู่ฉางตงเดินทางมาพร้อมกับจี้เหลียง
จี้เหลียงดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับยู่ฉางตง ไม่ว่ายู่ฉางตงต้องการที่จะทำอะไร จี้เหลียงก็จะเข้าใจได้ในทันที
จี้เหลียงบินสูงไปโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัว มันเป็นความแตกต่างที่สัตว์ขี่ในตำนานแตกต่างจากผู้ฝึกยุทธ ถ้าหากเป็นผู้ฝึกยุทธก็คงจะไม่มีใครเลือกบินด้วยความสูงเช่นนี้
ผืนป่าที่ยู่ฉางตงเดินทางผ่านกว้างใหญ่มาก มันไม่ง่ายเลยที่ผู้ฝึกยุทธจะบินผ่านทิวเขาที่ทอดยาวแบบนี้ไปจนสุดทาง
และยิ่งบินสูงมากเท่าไหร่ ผู้ฝึกยุทธคนนั้นก็ยิ่งที่จะต้องใช้พลังลมปราณมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อจี้เหลียงบินมาได้ครึ่งทาง ในตอนนั้นอุณหภูมิรอบตัวก็ลดลงอย่างกะทันหัน ความหนาวเย็นกำลังกัดกินยู่ฉางตง
ดูเหมือนว่าจะมีพายุหิมะพัดผ่านมาที่ยู่ฉางตง
ยู่ฉางตงรีบเปิดเกราะพลังงานป้องกันตัวเอง ตัวเขาได้ป้องกันทั้งจี้เหลียงและยู่เฉิงไห่ไปในคราวเดียว
“ข้าได้ยินศิษย์น้องสี่เรียกเจ้าว่าจี้เหลียง…ถ้าเป็นไปได้ เจ้ามีอะไรที่จะพูดกับข้าไหม?” ยู่ฉางตงได้ถามจี้เหลียงในขณะที่จี้เหลียงเริ่มบินขึ้นสูง
ฮี้!
จี้เหลียงตอบกลับในขณะที่บินสูงขึ้นไปอีก
“เยี่ยมจริงๆ”
ฮี้! ฮี้!
“ไม่จำเป็นจะต้องห่วงท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์น่ะมีสัตว์ขี่อีกหลายตัว เขาไม่คิดถึงเจ้าหรอก”
ฮี้! ฮี้! ฮี้!
“มาแล้วสินะ”
ดูเหมือนว่าพายุหิมะเหนือคูสวรรค์จะมีความรุนแรงมากกว่าที่ผ่านๆ มา
ยู่ฉางตงได้ยิ้มออกมาเบาๆ “ตามข้ามา…” ยู่ฉางตงได้ผลักหลังของจี้เหลียงไปอย่างเบาๆ ในขณะที่ตัวเขาได้ใช้พลังอวตารออกมา
ซู่วว!
พลังอวตารไร้ดอกบัวที่สูงกว่า 90 ฟุตได้ช่วยปกป้องจี้เหลียงจากพายุหิมะเอาไว้
ยู่ฉางตงส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “ถ้าหากในเวลาแบบนี้ข้ามีดอกบัวทองคำ มันจะต้องมีประโยชน์มากแน่…” ท่าทางของเขายังคงดูเยือกเย็นในขณะที่บินไปพร้อมๆ กับร่างอวตาร หลังจากนั้นไม่นานยู่ฉางตงก็บินขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของคูสวรรค์ได้
ในตอนนั้นเองทหารรักษาการณ์รวมไปถึงชาวเมืองทั้งหลายที่อาศัยอยู่รอบคูสวรรค์ต่างก็ยืนมอง ทุกคนต่างก็ได้เห็นแสงที่กำลังลอยขึ้นสู่ยอดคูสวรรค์
ทางฝั่งตะวันตก ทหารที่รักษาชายแดนทั้งหลายเริ่มรู้สึกตัวเมื่อได้เห็นแสงจากร่างอวตาร ทุกคนกำลังระดมพลมุ่งสู่คูสวรรค์!
ยู่ฉางตงยังคงจดจ่ออยู่กับการบิน เป็นเพราะพายุหิมะจึงทำให้ตัวเขาถูกบดบังทัศนวิสัย เกล็ดหิมะจำนวนมากตกลงสู่ร่างอวตาร มันปกคลุมแสงที่คอยส่องนำทางไปเรื่อยๆ แม้จะเป็นแบบนั้นแต่ความมุ่งมั่นที่ตัวเขาก็มีก็ไม่ได้สั่นคลอน
“จงออกมา” กลีบดอกบัวสีทองทั้งเจ็ดได้ปรากฏขึ้นก่อนที่จะหมุนรอบร่างอวตาร มันหมุนรอบอวตารอย่างไม่หยุดนิ่ง
เกล็ดหิมะที่เคยติดร่างอวตารถูกปัดเป่าไปอย่างง่ายดาย ในที่สุดร่างอวตารก็กลับมาส่องแสงสว่างจ้าได้อีกครั้ง
ตู๊ม!
พลังจากร่างอวตารได้ผลักพายุหิมะออกจากตัว แสงจากร่างอวตารก็ได้ส่องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน
จี้เหลียงได้ประสานการเคลื่อนไหวกับยู่ฉางตงเป็นอย่างดี มันกำลังเคลื่อนที่ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ยิ่งเดินทางนานเท่าไหร่ ลมหนาวก็ยิ่งพัดพามามากขึ้นเท่านั้น
เมื่อยู่ฉางตงเลิกใช้พลังอวตาร ผม ใบหน้า รวมไปถึงเสื้อคลุมของเขาได้เปลี่ยนกลายเป็นสีขาวในทันที ยู่ฉางตงรีบสร้างม่านพลังป้องกันลมหนาวที่โหมกระหน่ำอีกครั้ง
จี้เหลียงยังคงบินต่อไปโดยที่แบกยู่ฉางตงไว้ด้วย มันกำลังบินอยู่ข้างยู่ฉางตงติดๆ
ชายหนุ่มคนหนึ่งและม้ากำลังยืนอยู่บนยอดคูสวรรค์ ทั้งคู่กำลังมองลงมายังดินแดนทางฝั่งตะวันตก ดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา
ลมหนาวที่พัดผ่านดังพอๆ กับเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ทั่วทั้งทิวเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ดินแดนทางด้านตะวันตกถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
“…ในตอนที่ข้าฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้ ในตอนนั้นข้าได้มาที่นี่ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ช่างน่าเบื่อ”
ฮี้!
ยู่ฉางตงหันไปมองยู่เฉิงไห่ที่อยู่บนหลังจี้เหลียง “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านคงไม่เคยมาที่นี่สินะ…ท่านคงไม่เคยเห็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามแบบนี้”
ยู่ฉางตงเหลือบมองลงไปอีกครั้ง ตัวเขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ ยิ่งอยู่นาน ตัวเขาก็ยิ่งจะสูญเสียพลังลมปราณมากยิ่งขึ้น การยืนหยัดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะไม่ใช่เรื่องดีเลย
ยู่ฉางตงกระโดดขึ้นหลังของจี้เหลียงก่อนจะชี้ไปยังดินแดนลั่วหลาน “จี้เหลียง สลัดพวกผู้ฝึกยุทธทั้งหมดแล้วไปที่นั่นซะ”
ฮี้!
จี้เหลียงกระโดดขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง เมื่ออยู่ในระดับความสูงที่เหมาะสม จี้เหลียงก็ออกบินไปด้วยความเร็วสูงอย่างมั่นคง
…
ภายในตำหนักต้าเฉิง ณ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ค่ำคืนนี้ทุกตำหนักเงียบสงบ
หลังจากที่นั่งทำสมาธิได้สองวัน ลู่โจวก็ฟื้นฟูพลังวิเศษบางส่วนกลับมาได้ ในตอนนั้นเองตัวเขาก็หยุดทำสมาธิ ลู่โจวได้ยินเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาที่ใกล้เข้ามา…
“ชู่วว นี่คือเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ภารกิจของพวกเราในตอนนี้ก็คือการสืบข่าว ห้ามสังหารใครเด็ดขาด!”
“ตำหนักเขียวชอุ่ม ตำหนักต้าเฉิง คลังสมบัติชั้นใน…ค้นหาทุกซอกทุกมุม พวกเราจะต้องหากล่องให้ได้ ในระหว่างที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในความวุ่นวาย พวกเราจะต้องใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์!”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันที่นี่! เอาล่ะแยกย้ายได้!”