ตอนที่ 589 คำถามที่ยากจะตอบ
ติงหลิงเอ๋อร์ถลึงตาใส่เขาแล้วเอ่ยว่า “หากผู้ชายล้วนมีนิสัยโง่เขลาเหมือนเจ้า ข้าไม่เพียงผิดหวัง แต่ยังสิ้นหวังอีกด้วย ! ”
หยานชิงชิงที่มองคนทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างสนุกสนานอยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า ฟังบทสนทนาของพวกท่านแล้ว ข้าก็คิดถึงคำหนึ่งขึ้นมาได้…คู่รักคู่กัด ! ”
ใบหน้าของติงหลิงเอ๋อร์พลันแดงก่ำขึ้นมา ก่อนจะยื่นมือไปจี้เอวหยานชิงชิง “เด็กตัวแสบ หยุดพูดไร้สาระเดี๋ยวนี้ ข้าแก่กว่าเขาตั้งหนึ่งปี ! เขาควรเรียกข้าว่าพี่สาวด้วยซ้ำ ! ”
“หนึ่งปีที่ไหนกัน แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น อย่าคิดวางท่าเป็นพี่สาวต่อหน้าข้าเชียว ! ” หลินจื่อเหยียนมีท่าทางเขินอาย ไม่รู้ว่าควรเอาสายตาไปมองที่ไหนดี
“ผู้ชายได้คบผู้หญิงแก่กว่า มักจะโชคดี ช่างเหมาะสมกันพอดีเลย ! ” หยานชิงชิงหลบกรงเล็บของติงหลิงเอ๋อร์พร้อมหัวเราะออกมา ก่อนจะไปหลบอยู่ด้านหลังของหลินเว่ยเว่ย “ท่านมีพี่สามีอย่างพี่เว่ยเว่ยแล้วโชคดีจะตายไป ไม่มีปัญหาระหว่างพี่สามีกับน้องสะใภ้ด้วย ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์โมโหจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา นางกระทืบเท้าแล้วเอ่ยว่า “อย่าพูดเหลวไหล ถ้าพูดอีก ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว ! ”
แต่องค์หญิงเจียวเจียวกลับครุ่นคิดแล้วจู่ ๆ ก็ปรบพระหัตถ์หนึ่งครั้งพลางตรัสว่า “จริงด้วย ! เหตุใดข้าคิดไม่ถึง ? หลินจื่อเหยียน เจ้ามาเป็นสามีข้าเถิด แบบนี้ข้าก็สามารถอยู่กับพี่เว่ยเว่ยตลอดไปได้แล้ว ! ”
หลินจื่อเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนแข้งขาอ่อนแรงเกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น ปากก็เอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “อะ…อะไรนะ ? องค์หญิงเจียวเจียว…ตรัสว่าอะไรนะ ? กระหม่อมฟังผิดไปใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ฟังไม่ผิด ! ข้าจะให้เจ้ามาเป็นสามี…อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าทั้งนั้น ข้าเพียงเห็นแก่หน้าพี่เว่ยเว่ยจึงจะฝืนรับเจ้าไว้แล้วกัน ! ” องค์หญิงเจียวเจียวกอดแขนหลินเว่ยเว่ยเอาไว้พลางตรัสอย่างเบื่อหน่าย
หมินหวางเฟยทอดพระเนตรกลุ่มกู่เหนียงน้อยโวยวายอยู่ที่โต๊ะ ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหทัย ‘เป็นหนุ่มสาวช่างดีจริง ๆ ดูสิว่ามีชีวิตชีวาเพียงใด ? ’
พอเห็นติงหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หมินหวางเฟยก็อดไม่ได้ที่จะส่ายดวงพักตร์ ‘สตรีมักปากไม่ตรงกับใจ’ พระนางจึงเตือนองค์หญิงเจียวเจียวว่า “เจียวเจียว พี่เว่ยเว่ยของเจ้าต้องออกเรือน ต่อให้เจ้าได้จื่อเหยียนมาเป็นสามีก็ไม่สามารถอยู่ข้างกายเว่ยเว่ยตลอดไปได้ ! ”
“จริงด้วย ! ” องค์หญิงเจียวเจียวขมวดพระขนงเป็นปม “เช่นนั้นก็ช่างเถิด ! ถือว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน…พี่เว่ยเว่ย พี่เขยของข้ามีพี่ชายน้องชายอีกหรือไม่ ? ”
‘พี่ชายน้องชาย ? มีสิ ! ก็หมินอ๋องซื่อจื่อนั่นไง แม้ทั้งสองจะมีอายุห่างกันมากไปหน่อย แต่ยุคนี้สามีแก่กว่าก็มีถมไป ! ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะยอมให้องค์หญิงน้อยอภิเษกกับคนตระกูลจ้าวที่มีอำนาจมากมายทั้งยังกุมอำนาจทหารหรือไม่ ! ’
หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้าพลางยิ้ม “ไม่มี บัณฑิตน้อยของข้าเป็นลูกคนเดียว ! ”
องค์หญิงเจียวเจียวราวกับกระต่ายที่หูลู่ลงทันใด “เช่นนั้นก็น่าเสียดาย ! ”
หลังจากขบวนแห่และงานเลี้ยงฉลองในอุทยานหลวงฉงหลินผ่านพ้นไป จากนั้นก็ถึงขั้นตอนการมอบตำแหน่งให้แก่บรรดาจิ้นซื่อ เดิมทีคิดว่าจอหงวนจะได้อยู่ที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินเหมือนในอดีต ซึ่งคนมีความสามารถจะถูกเก็บไว้ภายในเพื่อรับช่วงต่อเป็นโฉวฝู่แห่งราชสำนัก…คาดไม่ถึงว่าจอหงวนหนุ่มที่มีตำหนักหมินอ๋องหนุนหลังจะถูกส่งไปเป็นนายอำเภอขั้นหกของอำเภอที่ห่างไกลแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือ กระนั้นแม้ว่าจะเป็นขุนนางขั้นหกเท่ากัน แต่เจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นจะมีอำนาจเทียบเท่าเจ้าหน้าที่จากเมืองหลวงได้อย่างไร ?
คนจำนวนไม่น้อยพากันคาดเดาว่าหรือจะเป็นเพราะฝ่าบาทไม่ชอบหน้าจอหงวนหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาผู้นี้ หมินอ๋องถึงขนาดอยากจะเข้าวังไปทูลคัดค้านฮ่องเต้ด้วยพระองค์เองเลยทีเดียว ‘ฝ่าบาทชื่นชมเจ้าหนุ่มแซ่เจียงนักไม่ใช่หรือ ? แล้วเหตุใดจึงส่งไปอยู่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ? หรือเพราะเจ้าเด็กคนนี้เป็นบุตรเขยของเปิ่นหวาง ? ’
มีเพียงเจียงโม่หานเท่านั้นที่รู้ดีว่าไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ เนื่องจากก่อนประทานตำแหน่งนั้นฮ่องเต้เคยตรัสกับเขาด้วยพระทัยจริงว่าอำเภอหนิงซีเป็นอำเภอที่มีความพิเศษมาก เป็นสถานที่สำหรับใช้เนรเทศนักโทษของราชวงศ์ก่อน ชาวบ้านที่นั่นจึงมีความเข้มแข็งมาก แต่บางครั้งก็มีพวกอันธพาลมาคอยรุกราน ขุนนางที่ส่งไปถ้าไม่ตายก็ถูกจับตัวไป จึงไม่มีใครสามารถทำงานได้
หมู่บ้านนักโทษที่มีชื่อเสียงของอำเภอหนิงซี นับเป็นที่อยู่ของนักโทษเนรเทศจึงควบคุมดูแลได้ยาก หากไม่มีกองทหารที่คอยเฝ้านักโทษประจำการอยู่ คงเกิดเหตุจลาจลขึ้นนานแล้ว ! ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กองทหารรักษาการณ์นั้นมีความทะนงตนและไม่เกรงกลัวขุนนางที่ทางราชสำนักส่งไป
สถานที่ยิ่งวุ่นวายจึงยิ่งใช้ชีวิตลำบาก แต่จะสร้างผลงานได้ง่ายเช่นกัน ฮ่องเต้จึงฝากความหวังไว้ที่เจียงโม่หานอย่างมาก แผนการที่พระองค์วางไว้ให้เจียงโม่หานคือดำรงตำแหน่งนายอำเภอขั้นหกนานสามปี จากนั้นเป็นจือโจวขั้นห้าแล้วค่อยเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าเมืองขั้นสี่ แล้วกลับมาเมืองหลวงเพื่อรับตำแหน่งชื่อหลาง ( ผู้ช่วยของช่างชู ) ขั้นสามของหนึ่งในหกกรม…เพราะช่างชูแห่งกรมคลังและกรมโยธาธิการแทบจะตีกันเพื่อเขาอยู่แล้ว !
ฮ่องเต้หยวนชิงไตร่ตรองแล้วว่าก่อนสละบัลลังก์ จะต้องฝึกฝนมือขวาที่มากความสามารถให้แก่ฮ่องเต้องค์ต่อไปให้ได้ และเจียงโม่หานก็คือโฉวฝู่คนต่อไปที่พระองค์วางเอาไว้ ! ส่วนผู้บัญชาการทหารนั้นบุตรชายของหมินอ๋องก็ไม่เลวทีเดียว มีนิสัยเหมือนบิดาย่อมทำการใหญ่ได้ดี ! แต่การที่ฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ล้วนมาจากครอบครัวเดียวกันนั้น ฮ่องเต้หยวนชิงไม่ได้กังวลแต่อย่างใด เพราะบุตรที่หมินอ๋องเลี้ยงมาย่อมมีความจงรักภักดี
ส่วนเจียงโม่หานที่หมินอ๋องไม่เคยทำหน้าที่บิดาเลยนั้น…มีนางหนูเว่ยเว่ยอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ ? เด็กคนนั้นมีความยุติธรรม จิตใจดีงาม ไม่มีทางปล่อยให้สามีกระทำเรื่องไม่ดีจนทำให้บ้านเมืองโกลาหลแน่นอน !
เรื่องนี้ทำให้เจียงโม่หานกลายเป็นจอหงวนเพียงคนเดียวนับตั้งแต่ราชวงศ์ต้าเซี่ยสถาปนาขึ้นมาที่ถูกส่งไปประจำการนอกเมืองหลวง หลังจากบรรดาจิ้นซื่อเข้ารับตำแหน่งแล้วจะได้รับวันหยุดระยะหนึ่งเพื่อกลับไปกราบไหว้บรรพบุรุษและญาติพี่น้องที่บ้านเกิด โดยบ้านเกิดของเจียงโม่หานอยู่ที่อำเภอเป่าชิงเมืองจงโจว ดังนั้นจึงมีวันหยุดนานเกือบสามเดือน
ณ ตำหนักหมินอ๋อง หลินเว่ยเว่ยเก็บข้าวของอย่างเพลิดเพลินก่อนจะไปทูลลาหมินอ๋องและหมินหวางเฟย เพราะนางจะกลับบ้านแล้ว ! นางจะได้เจอท่านแม่และเจ้าหนูน้อยที่น่ารัก ! นางคิดถึงพวกเขามาก รวมถึงเพื่อนบ้านที่แสนเรียบง่ายและจิตใจดีแห่งหมู่บ้านฉือหลี่โกวด้วย !
บางทีอาจเพราะส่วนลึกในจิตใจ แม้ว่าหมิงอ๋องและหมินหวางเฟยจะดีกับนางมากเพียงใด แม้ว่าตำหนักหมินอ๋องสะดวกสบายกว่าหมู่บ้านฉือหลี่โกวร้อยเท่า แต่ภายในใจของนางก็ยังคงคิดว่านางหวงคือมารดาแท้ ๆ ส่วนหมู่บ้านฉือหลี่โกวนั้นเป็นบ้านของตน !
“ฟู่หวาง หมู่เฟย ลูกมาทูลลาเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยก้าวเข้ามาในโถงของสวนจื่อถงด้วยความตื่นเต้น บนบ่ายังสะพายสัมภาระที่เก็บเรียบร้อยแล้วมาด้วย
“ลา ? เว่ยเอ๋อร์ เจ้าจะไปไหน ? ” หมินหวางเฟยประทับอยู่ที่โต๊ะพลางยกถ้วยชาขึ้นมาอย่างสง่างาม ก่อนจะค่อย ๆ จิบลงไปหนึ่งอึก
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะ แฮะ แฮะ แล้วทูลว่า “ลาไปหมู่บ้านฉือหลี่โกวเพคะ ! บัณฑิตน้อยได้วันหยุดสามเดือนเพื่อไปเยี่ยมญาติ ลูกจะไปเป็นเพื่อนเขา แล้วรับท่านแม่กับเอ้อร์ฮว๋ามาด้วยเลยเพคะ ! ”
“แม่ ? ข้าไม่ใช่แม่ของเจ้าหรืออย่างไร ? ” หมินหวางเฟยแสร้งตรัสอย่างแง่งอน
หลินเว่ยเว่ยวางสัมภาระลงแล้วเดินเข้าไปกอดไหล่ของหมินหวางเฟยพลางเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ “พระองค์คือท่านแม่ผู้ยิ่งใหญ่ของลูก พระองค์และท่านแม่ล้วนเป็นคนที่ลูกรักที่สุดเพคะ ! ”
หมินหวางเฟยยังแกล้งนางต่อ “เช่นนั้น หากแม่คนนี้กับแม่คนนั้นของเจ้าตกน้ำ เจ้าจะช่วยใครก่อน ? ”
หลินเว่ยเว่ยถึงขั้นไปไม่เป็น นางมีสีหน้าลำบากใจพลางเอ่ยอย่างลังเลว่า “เรื่องนี้…ควรทำเช่นไรดีเพคะ ลูกว่ายน้ำไม่เป็น หากลงน้ำไปแล้วยังต้องลำบากหมู่เฟยมาช่วยลูกอีก หมู่เฟยเพคะ รอให้ลูกว่ายน้ำเป็น แล้วพระองค์ค่อยมาถามคำถามนี้ใหม่ ดีหรือไม่เพคะ ? ”
“เด็กเจ้าเล่ห์ ฉลาดนักนะ ! ” หมินหวางเฟยปัดที่ปลายจมูกของนาง “ดูสิว่าใครมา ? ”