บทที่ 464 เลื่อนตำแหน่ง
พอเซียวเหิงถึงสำนักฮั่นหลิน หนิงจื้อหย่วนก็มารอเขาที่ห้องทำงานแต่เช้า
พอเห็นเขาเดินเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งตัวไปคว้าแขนทั้งสองข้างแล้วยิงคำถามใส่รัวๆ “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกโจรจับตัวไป! เหตุใดถึงได้กล้าทำเรื่องชั่วๆ กันได้ลงคอ?!”
เรื่องที่หนิงอ๋องก่อเหตุไว้นั้น เดิมฮ่องเต้ทรงต้องการประกาศให้ทั่ว แต่ถูกเซียวฮองเฮาและองค์หญิงซิ่นหยางห้ามไว้เสียก่อน
แม้ว่าองค์หญิงจะไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมดให้เซียวฮองเฮา แต่เซียวฮองเฮาก็ทรงเข้าใจเช่นกันว่าหากข่าวการลอบสังหารเซียวลิ่วหลังของหนิงอ๋องรั่วไหลออกไป ตัวตนของเซียวเหิงจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด อย่างไรเสียหนิงอ๋องก็ไม่ได้มีเหตุผลที่จะเอาชีวิตของเซียวลิ่วหลัง นอกเสียจากมีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่เกี่ยวกับตัวตนของเซียวลิ่วหลัง
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกลัทธิแปลกๆ ในยุทธภพน่ะ พวกมันต้องการรีดไถเงินของข้า ตอนนี้ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว”
พวกลัทธิซวงเตาถูกทหารองครักษ์จัดการเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ” หนิงจื้อหย่วนมองเขาด้วยสายตาคลาแคลง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าบาดเจ็บที่มือด้วย ไหนข้าขอดูหน่อย”
ชายสองคนยืนจับมือถือแขนกันมันก็น่า…
แต่ในเมื่อหนิงจื้อหย่วนยืนกราน เซียวลิ่วหลังเลยต้องยื่นมือออกไปอย่างไม่เต็มใจ
แผลของเขาส่วนใหญ่คือบริเวณหลังมือและข้อมือ ส่วนแผลบริเวณฝ่ามือเริ่มหายดีจนแทบไม่เห็นรอย หนิงจื้อหย่วนมองไปที่มือขาวของเขาที่มีรอยแผลเป็นน่าเกลียดหลายแห่ง และอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “น่าเสียดาย ยังเขียนได้อยู่หรือเปล่า”
“เขียนได้สิ” เซียวเหิงเอ่ย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนิงจื้อหย่วนก็โล่งใจ “วันที่เจ้าถูกลักพาตัวไป ตอนนั้นข้ากำลังคิดว่า เจ้าน่ะได้เลื่อนตำแหน่งเร็วจนไปขวางทางบางคนหรือเปล่า ข้ายังแอบสงสัยจวงอวี้เหิงด้วยซ้ำ! แต่ตอนหลัง พอข้าเจอเขาหลายครั้ง เขาดูไม่มีพิรุธหรือแม้แต่ความรู้สึกผิด ก็เลยมองว่าไม่น่าจะใช่เขา แล้วลัทธิบ้าอะไรถึงได้ลักพาตัวเด็กยากจนจากชนบทอย่างเจ้า เจ้ามีเงินเยอะอย่างนั้นหรือ หรือเพราะภรรยาเจ้าเริ่มมีเงินเก็บมาขึ้นกันล่ะ ข้าได้ยินมาว่ากิจการของเมี่ยวโส่วถังเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ข้าว่าเจ้าต้องระวังเรื่องนี้ให้ดีนะ ถ้าเจ้ามีเงินเยอะเกินไปจะตกเป็นเป้าสายตาได้ เจ้าควรจ้างใครสักคนที่เก่งศิลปะการต่อสู้มาอยู่ข้างๆ นะ”
“อืม” เซียวเหิงตอบรับคำแนะนำของเขา
ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะทำงาน
หนิงจื้อหย่วนนึกอะไรขึ้นได้ ทันใดนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ย “จะว่าไป ครั้งนี้ที่เจ้าโดนลักพาตัวใช่ว่าจะมีแต่เรื่องร้ายเสียทีเดียว เจ้าโชคดีแค่ไหนที่ไม่ได้เข้าร่วมการประเมินรายเดือนรอบนี้ รู้หรือไม่ว่าหวังซิวจ้วนน่ะสอบตกในครั้งนี้ด้วยล่ะ และถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากใต้เท้าฮั่น อีกนิดเกือบถูกลดระดับแล้ว”
“เจ้าล่ะ” เซียวเหิงถาม
หนิงจื้อหย่วนออกอาการภูมิใจ “ข้าน่ะหรอ ก็เฉยๆ นะ สอบได้ที่สาม คนที่ได้ที่หนึ่งคือจวงอวี้เหิง”
ไม่ใช่แค่คนกลุ่มใหม่เท่านั้นที่ได้รับการประเมินร่วม แต่คนเก่าๆ ก็เข้าร่วมในการประเมินด้วย ยกเว้นใต้เท้าฮั่นซึ่งเป็นผู้ทดสอบและผู้ให้คะแนน
ไม่แปลกที่หนิงจื้อหย่วนและจวงอวี้เหิงจะได้อันดับต้นๆ เพราะพวกเขาเพิ่งผ่านการสอบไปได้ไม่นาน ยังอยู่ในช่วงช่ำชองกับการทำข้อสอบ
ส่วนคนอื่นๆ ที่ได้ลำดับถัดจากพวกเขา ใช่ว่าจะเป็นคนไม่มีความสามารถ เพียงแต่พวกเขาทั้งสองทำข้อสอบเก่งกว่า
“แต่ก็น่าเสียดาย” หนิงจื้อหย่วนขมวดคิ้ว
“ทำไมรึ”
“ก็ใต้เท้าหยางออกไปแล้วมิใช่รึ ตำแหน่งของเขาก็เลยว่าง จะต้องมีคนไปทำตำแหน่งนั้นแทน และช่วงนี้ชื่อเสียงของจวงอวี้เหิงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ”
จวงอวี้เหิงเป็นหลานชายของราชครูจวง เป็นถึงปั้งเหยี่ยนและบวกกับครั้งนี้เขาได้อันดับที่หนึ่งในการประเมิน แม้จะเป็นคนมีประสบการณ์ไม่มากนัก แต่ก็แทบไม่มีข้อเสียให้ติเลย
ซ้ำยังเคยไปเยือนแคว้นเฉินในฐานะเชลย เรียกได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญของแคว้นเจาเลยก็ว่าได้
ในช่วงบ่าย สำนักฮั่นหลินก็ได้ประกาศข่าวดีเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่ง
ทว่า คนๆ นั้นมิใช่จวงอวี้เหิง แต่เป็นเซียวลิ่วหลัง
“มีชื่อเจ้าด้วย!” หนิงจื้อหย่วนเอามือตบไหล่เซียวเหิง
เซียวเหิงไม่เข้าใจว่าทำไมตำแหน่งถึงตกมาที่เขา แม้ว่าเขาจะตั้งใจที่จะต่อสู้เพื่อมันก่อนหน้านี้ แต่หลังจากได้รับบาดเจ็บ เขาก็แสร้งทำเป็นหายตัวไปครึ่งเดือนแล้วพักฟื้นเป็นเวลาสิบวัน และไม่ได้ร่วมการประเมินด้วย
ด้วยเหตุผลต่างๆ เขาจึงมองว่าตัวเองคงพลาดตำแหน่งนี้ไปแล้ว
“ยินดีด้วยนะลิ่วหลัง!” หนิงจื้อหย่วนเอ่ย
“ยินดีกับเจ้าด้วยเช่นกัน” เซียวเหิงเอ่ยตอบ
หนิงจื้อหย่วนเองก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากเปี่ยนซิวระดับหก เป็นซิวจ้วนระดับหก ซึ่งขึ้นมาแทนตำแหน่งเดิมของเซียวลิ่วหลัง
“อะแฮ่ม ข้ามาแทนตำแหน่งของเจ้าแล้วล่ะ แต่ว่า ข้าขอไม่รับห้องทำงานของเจ้านะ”
ก็ห้องนั้นทั้งใกล้ห้องน้ำทั้งร้อนทั้งอับขนาดนั้น ช่วงหน้าร้อนได้มีร้อนตายแน่นอน!
ให้เขาอยู่ห้องเดิมยังดีเสียกว่า!
เซียวเหิงเดินไปที่ห้องตำแหน่งซื่อตู๋ ซึ่งเป็นห้องเดิมของหยางซื่อตู๋ แต่เขาทำอยู่ได้ไม่นาน และด้วยความที่เขาออกกะทันหัน เขาจึงเก็บข้าวของทุกอย่างออกไปหมดแล้ว
จนห้องทำงานอยู่ในสภาพว่างเปล่า
พอได้ขึ้นเป็นตำแหน่งซื่อตู๋ นอกจากย้ายห้องทำงานแล้ว เงินเดือนยังเพิ่มขึ้นจาก 5 ตำลึงต่อเดือนเป็น 8 ตำลึงต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีเครื่องแบบเพิ่มให้สิบชุด และข้าวสารอีกสิบกิโลทุกปี อีกทั้งยังมีเครื่องบรรณาการน้ำแข็งทุกฤดูร้อนและเครื่องบรรณาการถ่านทุกๆ ฤดูหนาว สามารถเบิกสิ่งของหรือแปลงเป็นเงินได้
โดยทั่วไปแล้ว สำนักฮั่นหลินคือหน่วยงานราชการธรรมดา ซึ่งไม่ร่ำรวยเท่ากรมทั้งหก แต่หลังจากประสบการณ์อันยาวนานในกั๋วจื่อเจียน ผู้คนมักจะมองพวกเขาว่าอยู่เหนือชั้น
อีกทั้งขุนนางระดับสูงๆ ของแต่ละกรม ไม่ว่าจะเป็นราชครูจวง ราชเลขาหยวน จี้จิ่วอาวุโส และผู้อำนวยการหลี ล้วนแต่มาจากสำนักฮั่นหลินกันทั้งนั้น
ยกตัวอย่างราชเลขาหยวนที่ตอนแรกทำตำแหน่งซิวจ้วนและขยับมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นบัณฑิตระดับห้าของสำนักฮั่นหลิน ต่อมาเขาถูกลดตำแหน่งเพราะไปพัวพันกับเรื่องบางอย่างเข้า จึงถูกลดอำนาจและถูกย้ายเมือง ห้าปีต่อมา เขากลับมายังเมืองหลวง และได้เลื่อนเป็นจงชูระดับเจ็ด จนกระทั่งได้มาเป็นราชเลขาหยวนอย่างทุกวันนี้
ส่วนคนอื่นๆ พอออกจากสำนักฮั่นหลินก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ในแต่ละภาคส่วน
หนิงจื้อหย่วนช่วยเซียวเหิงย้ายข้าวของ
ด้านนอกห้อง มีเจ้าหน้าที่บางส่วนเดินผ่าน เสียงสนทนาของพวกเขาดังเข้ามาด้านในห้อง
“เจ้ารู้ข่าวแล้วหรือยัง อันจวิ้นอ๋องกำลังจะถูกย้ายไปยังคณะเสนาบดีล่ะ”
“ใครบอกเจ้ารึ”
“เขาก็แอบได้ยินจากใต้เท้าหานกับอันจวิ้นอ๋องมาน่ะสิ”
“เจ้าไปแอบฟังที่กำแพงห้องใต้เท้าหานมารึ!”
“ไม่ใช่นะ ข้าแค่บังเอิญได้ยิน! ใต้เท้าพูดว่า ไปที่คณะเสนาบดีก็อย่าลืมการเรียนของเจ้าล่ะ พื้นฐานการปกครองแคว้นอยู่ในหนังสือเหล่านี้ทั้งหมด”
แม้ประโยคดั้งเดิมจะไม่ใช่แบบนั้น แต่มันไม่ง่ายเลยที่ผู้คนจะตั้งคำถามเมื่อพวกเขาเห็นว่าเขาจงใจปกปิด อย่างไรก็ตาม การรู้เรื่องบางอย่างมากเกินไปอาจไม่ใช่เรื่องดีนัก
เสียงพูดคุยของเจ้าหน้าที่เริ่มเบาลงหลังจากที่พวกเขาเดินออกไป
หนิงจื้อหย่วนถึงกับร้องอ๋อ “มิน่าล่ะ ทำไมเขาถึงไม่คิดจะแย่งตำแหน่งของเจ้า ที่แท้เป็นเพราะเขาได้ไปที่ที่ ดีกว่าแล้วนี่เอง”
เป้าหมายของพวกเขาที่ต้องการเข้าไปทำงานในราชสำนัก ก็เพื่อจะได้รับใช้ฮ่องเต้ หรือไม่ก็ได้ทำงานในหกกรม
แทบไม่มีใครอยากทำงานที่สำนักฮั่นหลินไปตลอดชีวิต
เซียวเหิงไม่เอ่ยอะไร
นี่คงเป็นความตั้งใจของราชครูจวง ด้วยความสามารถของอวี้เหิงแล้วดูเป็นเรื่องยากที่จะเข้าไปทำงานในราชสำนัก คงเป็นเพราะท่าทีของจวงไทเฮาที่มีต่อหนิงอ๋อง ทำให้ราชครูจวงรู้สึกไม่ปลอดภัย
ราชครูจวงไม่อยากพึ่งพาจวงไทเฮาอยู่ฝ่ายเดียว เขาต้องการกระจายอำนาจไปยังคนอื่นๆ ในตระกูล
ปัจจุบัน คนของตระกูลจวงในราชสำนักแบ่งออกเป็นผู้ช่วยราชเลขาสองคน ครึ่งหนึ่งของสมาชิกในสำนักบัณฑิตของราชสำนักก็เป็นคนของเขา หากเพิ่มอันจวิ้นอ๋องเข้ามาด้วย ต่อไปหากราชครูจวงลงจากตำแหน่ง ทั้งราชสำนักก็จะกลายเป็นถิ่นของตระกูลจวง
หนิงจื้อหย่วนที่เห็นเซียวลิ่วหลังเงียบไป ก็คิดไปว่าเซียวลิ่วหลังคงกำลังหดหู่ เลยรีบเข้าไปลงที่ตบบ่า “ลิ่วหลัง เจ้าอย่าท้อไป วันหนึ่งเจ้าจะได้เข้าไปทำงานในราชสำนักนะ!”
เซียวเหิงไม่ได้คิดที่จะเข้าร่วมในราชสำนัก แต่กำลังคิดว่าราชครูจวงต้องการอะไรจากท่านย่าอีกหรือไม่
ณ วังหลวง
หลังจากฮ่องเต้และจวงไทเฮาลงจากสำนัก ทั้งสองต่างมุ่งหน้าไปยังตำหนักเหรินโซ่ว
จวงไทเฮาขึ้นนั่งบนเกี้ยว พลางหันไปมองเกี้ยวของฮ่องเต้ด้วยความสงสัย “ตำหนักฮว๋าชิงของเจ้าไปทางนู้นมิใช่รึ”
“ข้าจะไปเสวยอาหารที่ตำหนักเสด็จแม่” ฮ่องเต้เอ่ยตอบอย่างมั่นใจ
จวงไทเฮานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนขานตอบ
ฮ่องเต้ ‘เสด็จแม่ไม่ปฏิเสธเลยหรือนี่’
หลังมื้ออาหาร จวงไทเฮาเอ่ยกับฮ่องเต้ “มาที่ห้องทรงงานกับข้า”
“เสด็จแม่มีเรื่องอันใดรึ”
จวงไทเฮาพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ในเมื่อฮ่องเต้ทรงงานมาหลายปี ข้าคิดมาอย่างดีแล้วว่าจะมอบอำนาจคืนกลับให้ฮ่องเต้”
“เหตุเสด็จแม่ทรงตัดสินพระทัยเช่นนี้”
จวงไทเฮาเอ่ยตอบพลางถอนหายใจ “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ว่าราชการหลังม่านแล้ว”
ประโยคหนึ่งแวบเข้ามาในความคิดของฮ่องเต้… จะไม่ได้ไปกลับราชสำนักกับเสด็จแม่แล้วหรือนี่!
“เสด็จแม่!”
จวงไทเฮาหรี่ตามองเขา “ไหนเจ้าไม่อยากให้ข้าไปตำหนักจินหล่วนกับเจ้ามิใช่หรือ นี่ไง เจ้าได้ในสิ่งที่เจ้าประสงค์แล้ว ไม่มีความสุขหรือ”
“นั่นมันเมื่อก่อนนี่” ฮ่องเต้บ่นอุบอิบ
ตั้งแต่เรื่องของจิ้งไท่เฟยถูกเปิดโปง ฮ่องเต้พบว่าที่ผ่านมาเขาเข้าใจผิดในตัวเสด็จแม่มาโดยตลอด ทั้งๆ ที่เสด็จแม่มีโอกาสตั้งมากมายที่จะกำจัดเขา แต่นางไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น
กลับกันกับเขา ทุกๆ ครั้งเขามักจะวางแผนปองร้ายเสด็จแม่ แถมยังทำให้เสด็จแม่เป็นโรคเรื้อน หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากกู้เจียว เกรงว่าชีวิตที่เหลือของเขาคงมีแต่ความรู้สึกคับแค้นไปตลอด
หากไม่นับเรื่องความสัมพันธ์ อย่างไรเสียจวงไทเฮาเป็นคนกล้าหาญและมีไหวพริบมากกว่าตัวเขาเองเสียอีก
จวงไทเฮาเอ่ยอย่างมีอารมณ์ขัน “ข้าแก่แล้ว ได้เวลาใช้บั้นปลายชีวิตอย่างสบายๆ สักที”
ฮ่องเต้ก้มหน้ากดสายตาลงต่ำตรัส “เสด็จแม่ ที่จริงแล้วท่านต้องการไปเล่นไพ่ที่ตรอกปี้สุ่ยล่ะสิ!”
นางไม่พาเขาไปด้วยแน่ๆ !
จวงไทเฮาเอ่ย “…เอ่อ นี่ข้าแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเชียวรึ”