บทที่ 465 สามีภรรยาพบกัน
ฮ่องเต้ทำหน้าราวกับต้องการจะตรัสว่า ‘กะไว้แล้วเชียว’!
จวงไทเฮายังคงปฏิเสธหน้าตาย “ข้าเปล่านะ มีตอนไหนที่ข้าออกไปเล่นไพ่ไม่ได้”
ฮ่องเต้ยังคงยืนกราน “เช่นนั้นแปลว่าเสด็จแม่ไม่อยากตื่นเช้าสินะ”
จวงไทเฮา ‘นี่เจ้าหัวดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!!!’
กิจวัตรตื่นเช้าของจวงไทเฮาเป็นอันจบลงตั้งแต่ไปอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ย จะว่าไปก็น่าเสียดาย
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ตกลงกับจวงไทเฮาได้แล้วว่าจะไม่มีการว่าราชการหลังม่าน อย่างไรเสีย เขาก็เป็นฮ่องเต้ และไม่ว่าเขาจะไว้วางใจไทเฮามากเพียงใด เขาก็จะไม่ปรารถนาที่จะปกครองโดยลำพัง
ช่างเป็นความคิดที่ย้อนแย้งนัก
จวงไทเฮาอายุปูนนี้แล้ว มีอะไรที่ยังมองไม่ออกอีก
เป็นธรรมดาที่ประมุขแห่งแคว้นจะมีความคิดแบบนี้ ไม่อย่างนั้น ทุกคนจะเป็นเหมือนไท่จื่อ ที่ตามใจและไว้ใจคนคนหนึ่งอย่างไม่มีเงื่อนไขและไร้ซึ่งบรรทัดฐาน สุดท้ายโอกาสที่ถูกหักหลังทรยศย่อมเกิดขึ้นได้ ถึงเวลานั้นหามีผู้ใดยอมไม่
การเป็นฮ่องเต้ หรือแม้แต่การเป็นกษัตริย์ที่ทรงเมตตาไม่ใช่เรื่องผิดอันใด ช่วงเวลาที่ควรอ่อนโยนก็ควรอ่อนโยน แต่จะละทิ้งความเด็ดเดี่ยวไปไม่ได้เด็ดขาด
แต่ก็ใช่ว่าฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยที่จะให้ไทเฮายกเลิกการว่าราชการหลังม่าน ต้องมีเงื่อนไข นั่นคือไทเฮาจะต้องพาเขาไปร่วมวงไพ่ด้วยเดือนละสามถึงสี่ครั้ง
อีกทั้งไทเฮาจะต้องเจียดเวลามาช่วยงานหลวงในทุกๆ วัน
เขาจะใช้เวลากับเสด็จแม่ช่วงหลังบ่าย!
ใช่ว่าจวงไทเฮาจะสละอำนาจทั้งหมดเสียทีเดียว เพียงแต่พระองค์ไม่อยากเข้าองค์ประชุมก็เท่านั้น ทรงอยากจะใช้เวลาทำอะไรตามอำเภอใจให้ได้มากที่สุด
แม้ลิ่วหลังจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว แต่เงินของเขาก็ยังไม่พอจ่ายค่าเช่ารายเดือนให้เจ้าตัวเล็กอยู่ดี
เฮ้อ ภาระที่เรือนช่างหนักเสียจริง
…
หลังจากเลิกงาน พอเซียวเหิงเดินออกจากสำนักฮั่นหลิน ก็เจอกับรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ฝั่งเยื้องตรงกันข้าม
เขาไม่เคยเจอสารถีคนนี้มาก่อน รวมถึงรถม้าคันนี้เช่นกัน
แต่เขาสัมผัสได้ว่าคนบนรถกำลังรอเขาอยู่แน่ๆ
ทั้งรอบทิศไร้ซึ่งผู้คน ตัวเขาเองก็คร้านจะเล่นละครและตัดสินใจเดินตรงไปที่รถม้าคันนั้นทันที
พอไปถึง สารถีรถม้าไม่พูดอะไร ยื่นบันไดให้เขาขึ้นรถ
ขณะที่เขาลังเลอยู่นั้น ก็เห็นองค์หญิงซิ่นหยางค่อยๆ เปิดม่านรถออก
เซียวเหิงตกใจเล็กน้อย จากนั้นเดินขึ้นรถม้า
เขานั่งลงตรงข้ามองค์หญิง จากนั้นองค์หญิงเอ่ยกับสารถี “ออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังโรงหมอ”
“ขอรับ”
เสียงเหวี่ยงแส้ดังขึ้น ล้อรถเริ่มหมุน
สีหน้าขององค์หญิงซิ่นหยางดีขึ้นกว่าตอนเพิ่งกลับมาเมืองหลวงมาก บนพวกแก้มของนางเริ่มเผยให้เห็นเลือดฝาด แม้จะไม่มีรอยยิ้มให้เห็นบนปาก แต่กลับแสดงออกผ่านดวงตาของนาง
“ข้าแวะมาหาเจ้า” องค์หญิงเอ่ย
“อืม”
ดูเหมือนคนแถวนี้จะยังทำตัวไม่ถูก
องค์หญิงหัวเราะพลางก้มมองที่ขาขวาของเขา “ขาของเจ้าดีขึ้นแล้วนี่ เมื่อครู่นี้ข้าเห็นอยู่ตอนเจ้าเดินมา”
“อืม ดีขึ้นแล้ว” เซียวเหิงเอ่ยด้วยเสียงอ้อมแอ้ม กระนั้นก็ไม่ได้ปิดบังอะไร
หลังจากแยกกันเป็นเวลานาน การจะกลับมาด้วยความสัมพันธ์แบบเดิมอีกครั้งคงเป็นเรื่องยาก อีกทั้งนางยังเคยทำร้ายเขา ที่จริงคนที่สับสนยิ่งกว่าดูเหมือนจะเป็นองค์หญิงซิ่นหยางด้วยซ้ำ เพียงแต่นางไม่ได้แสดงอาการให้เห็นก็เท่านั้น
องค์หญิงหัวเราะอีกครั้งพลางชี้ไปที่ไม้เท้า “แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ทิ้งมันล่ะ”
“รอผ่านไปสักพักค่อยจัดการ” เซียวเหิงเอ่ย
“อ้อ” องค์หญิงเข้าใจความหมายของเขาในทันที
ลูกชายคนนี้ โตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ต้องพึ่งแม่แล้วสินะ
แต่ก่อน ตอนที่เขาหมั้นกับเวินหลินหลัง ไม่เห็นเขาจะเอาใจใส่นางเหมือนกับที่เอาใจใส่กู้เจียวเลย
จากนั้น องค์หญิงเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าได้ยินเรื่องที่อวี้เหิงเข้าราชสำนักแล้วหรือยัง”
“ข้ารู้ข่าวแล้ว” เซียวเหิงตอบ
“เป็นแผนของราชครูจวง เข้าราชสำนักจะต้องเริ่มจากการเป็นเลขาระดับเจ็ด ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นการลดตำแหน่งลง แต่เนื้อแท้แล้วมันคือการยกระดับสถานะ”
ที่แท้ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว
เซียวเหิงไม่แปลกใจเลยที่องค์หญิงจะรู้ข้อมูลภายในเหล่านี้ ตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา เขามักจะเห็นข้อมูลภายในทุกประเภทในห้องทรงงานขององค์หญิง
“ข้าได้ยินมาว่าราชเลขาหยวนชื่นชมเจ้ามาก” องค์หญิงซิ่นหยางแตกประเด็นต่อ
เซียวเหิงนิ่งไป ก่อนจะตอบ “ไม่ถึงกับชื่นชมหรอก เขาเจอข้าแค่สองสามหนเอง”
เซียวเหิงเข้าใจความหมายขององค์หญิงดีว่าคงกลัวเขาจะรู้สึกท้อแท้ที่จวงอวี้เหิงไปไกลกว่าเขา และถ้าเป็นไปได้ นางคงจะใช้เส้นสายเพื่อให้เขาเข้าไปในราชสำนัก
“ข้าอยู่ที่สำนักฮั่นหลินนี่ก็ดีแล้ว” เซียวเหิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
บางอย่างอาจใช้ทางลัดได้ แต่ไม่ใช่กับทุกอย่าง
สำหรับเขาแล้ว การเข้าไปในราชสำนักอาจไม่ใช่เรื่องดีเสียทีเดียว
พอได้ยินดังนั้น องค์หญิงก็แอบวางใจ
เมื่อครู่นี้นางแค่อยากจะลองใจเขา เพราะเมื่อก่อน เขาเป็นเด็กที่ชอบเอาชนะ ไม่ว่าอะไรก็ต้องได้ที่หนึ่ง และแน่นอนว่าเขามีความสามารถที่คู่ควรกับการเป็นที่หนึ่งจริงๆ เพียงแต่ ราชสำนักไม่ต่างอะไรกับสนามรบ บางครั้ง การชนะศึกอาจตามมาด้วยการแพ้ให้แก่สนามรบ
จิตใจของเซียวเหิงบัดนี้แข็งแกร่งกว่าที่องค์หญิงคาดเดาไว้มาก
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเกือกม้าดังขึ้น ตามด้วยเสียงกรีดร้องราวกับรถม้ากำลังพุ่งเข้าชนอะไรสักอย่าง
“ไอ้หยา! ม้าพยศเสียแล้ว!”
เสียงตะโกนของสารถีดังขึ้น
ไม่ใช่ม้าของพวกเขาที่ควบคุมไม่ได้ แต่เป็นของอีกฝ่าย อาละวาดกระแทกคนเดินถนนที่ผ่านไปจนล้มระเนระนาด และไม่มีท่าทีจะหยุดได้
เมื่อเห็นว่าม้าของอีกฝ่ายกำลังจะเข้าพุ่งชนรถม้าของพวกเขา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนไม่สารถีไม่สามารถกลับรถได้ทัน และในตอนนั้นเอง หลงอีปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ เปิดหลังคารถม้า และคว้าร่างขององค์หญิงซิ่นหยางและเซียวเหิงออกมา
เจ้าม้าพยศวิ่งชนเข้ากับรถม้าจนโครงรถแตกเป็นเสี่ยงๆ
หลงอีวางพวกเขาไว้บนหลังคา ก่อนจะลงไปช่วยสารถีต่อ
“หลงอี เด็กคนนั้น!”
เด็กคนหนึ่งยืนตื่นตระหนกอยู่กลางถนนด้วยความงุนงง ขณะที่ม้าพยศกำลังวิ่งพุ่งเข้าไปหา
มือข้างหนึ่งของหลงอีคว้าสารถี ส่วนอีกข้างยื่นไปคว้าเด็กคนนั้น
ในที่สุดเขาก็พาเด็กออกไปทัน
องค์หญิงซิ่นหยางถอนหายใจโล่งอก แต่ยังไม่ทันไร จู่ๆ เท้าของนางเกิดลื่นและพลัดตกลงจากหลังคา เซียวเหิงยื่นมือคว้าร่างของนางไว้จนทั้งสองร่วงลงไปพร้อมๆ กัน
หลงอีกผละมือจากสารถีและเด็กไม่ทัน เขารีบพุ่งตัวไปที่พวกเขา แต่กลับช่วยได้แค่เซียวเหิงคนเดียวในขณะที่องค์หญิงซิ่นหยางหลุดมือเขาไป
และในตอนนั้นเอง จู่ๆ ร่างที่สูงและทรงพลังอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศและคว้าเอวอันอ่อนนุ่มขององค์หญิงซิ่นหยางไว้แล้วค่อยๆ ลงสู่พื้น
ร่างสูงที่ว่ามิใช่ใครอื่น เขาคือเซวียนผิงโหวผู้ที่ฮ่องเต้ยกย่องให้เป็นหน้าตาของแคว้น
เซวียนผิงโหวยืนอุ้มองค์หญิงอย่างวางมาด
รอบๆ เต็มไปด้วยเสียงปรบมือ!
เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วและยิ้มให้นาง “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ องค์หญิง”
“จะเก๊กหล่ออีกนานแค่ไหน เก๊กเสร็จแล้วก็รีบวางข้าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยหน้าตาย
“เชอะ ทำลายบรรยากาศหมด” เซวียนผิงโหวเบ้ปากก่อนจะว่างองค์หญิงลง
ส่วนฉางจิงจัดการม้าพยศตัวนั้นแล้วเรียบร้อย คืนนี้คงได้กินเนื้อม้าย่างแล้วสินะ
“เอาละ แยกย้ายๆ ไม่มีอะไรน่ามุงดูแล้ว ไม่เคยเห็นบุรุษช่วยหญิงงามหรือไร” เซวียนผิงโหวเอ่ยกับชาวบ้านที่มามุงดู
ชาวบ้านถึงกับเลิกมุกปากขึ้น พลางนึก ถึงแม้ที่ว่ามามันจะจริงก็เถอะ แต่เล่นอวยตัวเองแบบนี้ไม่หน้าหนาไปหน่อยรึ
แล้วผู้คนต่างก็แยกย้ายไป
เซวียนผิงโหวมองไปที่องค์หญิง จากนั้นหันไปทางรถม้าที่แตกเป็นเสี่ยงๆ “ดูเหมือนจะต้องลำบากองค์หญิงมาใช้รถคันเดียวกันกับข้าแล้วสินะ ฉางจิง”
ฉางจิงขับรถม้าทรงหรูหราเข้ามาเกย
ทว่าองค์หญิงกลับไม่ขึ้นรถของเซวียนผิงโหว
นางเดินไปที่รถม้าอีกคันเพื่อที่จะขอเช่า
เซวียนผิงโหวยืนกอดอกแล้วมองไปที่นาง “นั่นก็รถของข้า”
องค์หญิงซิ่นหยางเดินไปที่รถม้าอีกคันที่ดูจะไม่สะดุดตานัก
“นั่นก็รถม้าของข้า”
“รถม้าของข้าอีกนั่นแหละ”
“ไอ้หยา คันนั้นก็รถม้าข้า”
องค์หญิง “…!!”
นี่เขากว้านซื้อรถม้าทั้งถนนสายนี้เลยหรืออย่างไร!