ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 20 ตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่น (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ตอนที่ 20 ตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่น (3)

ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างลังเล “แม้เป็นเช่นนี้ เย่ว์เหวินฮั่นก็ได้รับความนับถือจากลูกหลานตระกูลเย่ว์อย่างมาก หากพวกเราช่วยเหลือเย่ว์อู่จิวเช่นนี้ น่ากลัวว่าคนเหล่านั้นในตระกูลเย่ว์จะไม่ยอมรับเย่ว์อู๋จิวเป็นเจ้าตระกูล”
ชายหนุ่มขยับยิ้ม “เรื่องบางอย่างเจ้าไม่ต้องรู้ เย่ว์เหวินฮั่นคนนี้เป็นคนเก่งใจกล้าก็จริง แต่เขากลับทำเรื่องหนึ่งที่มิสมควรทำที่สุด เขาไม่สมควรขวางทางพวกเรา ไม่สมควรมีน้องสาวคนดีที่ทุ่มเททำเพื่อเขา และยิ่งมิควรแต่งอนุภรรยาเช่นนั้น”
ชายวัยกลางคนเอ่ยเหมือนเพิ่งกระจ่างใจ “หรือว่าเซวียฮูหยินคนนั้นเป็นคนของตำหนักอี๋หวง”
ชายหนุ่มลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้กลับมิใช่ ก่อนหน้านี้เซวียฮูหยินผู้นี้เคยเป็นสหายเก่าของพวกเรา เดิมทีชาติกำเนิดของนางสูงศักดิ์ แม้แต่ยามนี้บิดาของนางก็เป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งในราชสำนัก คุณหนูสูงศักดิ์ผู้สง่างามคนหนึ่ง หากมิเคยทำผิดพลาด จะกลายเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นได้อย่างไร จะว่าไปแล้ว จนวันนี้เจ้าสำนัก เจ้าตำหนักจี้กับเจ้าตำหนักเยี่ยนก็ยังรู้สึกว่าเซวียฮูหยินทำพวกนางขายหน้าเหลือเกิน แต่มิว่าอย่างไร หากมิได้เซวียฮูหยินเกลี้ยกล่อมเย่ว์เหวินฮั่นกับน้องสาว เกรงว่าพวกเขาคงฆ่าตัวตายไปนานแล้ว ไม่ถูกพวกเราจับวางตามใจเช่นนี้ ผู้ใดให้เซวียฮูหยินผู้นี้รักหน้าตายิ่งจนมิยินยอมบอกเล่าเรื่องราวเก่าก่อนให้สามีฟังกันเล่า หากมิใช่พวกเราใช้เรื่องนี้ข่มขู่ นางจะยอมจำนนได้อย่างไร”
ชายวัยกลางคนเอ่ยว่า “แต่เจ้าตำหนักรับปากไว้ว่าหลังจบเรื่องจะไว้ชีวิตเย่ว์เหวินฮั่น แล้วให้เขายกเซวียฮูหยินเป็นภรรยาเอก เรื่องนี้เย่ว์อู๋จิวยอมรับปากหรือ”
ชายหนุ่มยิ้มหยัน “ไม่รับปากคงไม่ได้ พวกเราต้องเก็บเย่ว์เหวินฮั่นไว้คุมเย่ว์อู๋จิว ไม่ให้เขาอหังการเหิมเกริมเกินไป ไม่ว่าอย่างไร ถึงเวลาเย่ว์เหวินฮั่นย่อมไม่มีความสามารถหนีพ้นฝ่ามือของพวกเราไปได้ เขาทำความผิดใหญ่หลวง นอกจากหนานฉู่กับพวกเรา ผู้ใดก็ปกป้องเขามิได้”
ชายหนุ่มกล่าวจบประโยคนี้ ภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เขานึกถึงความยากลำบากหลายปีที่ผ่านมา การตั้งตัวที่หนานฉู่ซึ่งเป็นอริกันมิใช่เรื่องง่าย ผู้คนในสำนักต่างมีความคิดของตัวเอง หลังจากต่อสู้กันมาสองสามปี ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะรวมสำนักเฟิงอี้ขึ้นใหม่สำเร็จ แล้วแบ่งเป็นตำหนักเฟิ่งอู่กับตำหนักอี๋หวงเพื่อกระจายอำนาจแต่เดิมของสำนักเฟิงอี้ จี้เสียกับเยี่ยนอู๋ซวงเป็นเจ้าตำหนักของตำหนักทั้งสอง ทั้งคู่มักมีความคิดไม่ลงรอยจนขัดแย้งกันในเงามืดอยู่ตลอด ส่วนตนก่อตั้งตำหนักเฉินรับคนนอกเข้าสำนัก รับผิดชอบจัดการงานภายนอกและการบุกทำลายศัตรู มองผิวเผินเป็นกลาง แต่เพราะการเล่นงานกันเองของอีกสองตำหนักจึงทำให้ตำหนักเฉินของตนกลายเป็นอำนาจสำคัญที่สุด หลิงอวี่ผู้เป็นเจ้าสำนักถูกทั้งสามตำหนักยกขึ้นหิ้ง นอกจากองครักษ์กลุ่มหนึ่งข้างกายก็ไม่มีกำลังอื่นใดอีก
ตนรู้ดีว่าสำนักเฟิงอี้มิใช่เป้าหมายสุดท้ายที่ตนตั้งใจแย่งชิง ดังนั้นจึงรักษาตำแหน่งของหลิงอวี่กับสมดุลภายในสำนักไว้อย่างชาญฉลาด ลำบากมากมายนักกว่าจะทำให้ตนควบคุมสำนักเฟิงอี้ได้อย่างสมบูรณ์แล้วเริ่มต้นการแก้แค้นที่ตนเฝ้าฝันปรารถนา ในที่สุดเขาก็โน้มน้าวซั่งเหวยจวินให้ร่วมมือกับตนสำเร็จ สำหรับซั่งเหวยจวินแล้ว ตระกูลลู่ผู้กุมอำนาจทหารไว้ในมือเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงเสียยิ่งกว่าภัยคุกคามของต้ายงที่มีต่อหนานฉู่ การทำลายบ้านเกิดเมืองนอนดูเหมือนจะเป็นงานอดิเรกของผู้มีอำนาจแต่ละยุคของหนานฉู่กระมัง
ลู่ช่าน ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง หากมิใช่ว่ายามนี้ต้องพึ่งพาคนผู้นี้ต้านต้ายง เขาคงคิดหาวิธีทำให้ลู่ช่านตายนานแล้ว มิใช่เพื่อซั่งเหวยจวินขยะผู้นั้น แต่เพราะลู่ช่านเคยเป็นศิษย์ของคนผู้นั้น ในอกราวกับมีสัตว์ร้ายร้องคำราม ร่ำร้องจะทำลายทุกสิ่งที่คนผู้นั้นเหลือไว้บนโลก สิ่งนี้กลายเป็นความยึดติดเพียงหนึ่งเดียวในใจของตัวเขา…เหวยอิง
ภายในห้องโถงมงคล ด้านหลังม่านหลายชั้น เจ้าสาวกำลังรอคอยฤกษ์มงคลโดยมีหญิงรับใช้ทั้งชราและเยาว์วัยปรนนิบัติอยู่ ตระกูลเย่ว์เป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง เย่ว์ชิงเยียนยังเป็นบุตรีภรรยาเอกของเจ้าตระกูล หญิงรับใช้มากมาย สินเดิมเจ้าสาวมหาศาล ผู้ที่มาส่งตัวเจ้าสาวคือพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าสาว เจ้าตระกูลน้อยเย่ว์เหวินฮั่นกับเย่ว์อู๋จิวผู้ดูแลใหญ่แห่งตระกูลเย่ว์ แน่นอนว่าเวลานี้พวกเขาต่างอยู่ในห้องโถงพิธีด้านหน้า ห้องโถงด้านหลัง นอกจากบรรดาสตรีตระกูลเย่ว์ก็มีเพียงหญิงรับใช้ของตระกูลเจียงเท่านั้น ส่วนผู้ที่รับผิดชอบดูแลเจ้าสาวมิใช่ใครอื่น แต่คือเซวียฮูหยิน อนุภรรยาของเย่ว์เหวินฮั่นนั่นเอง
เซวียฮูหยินผู้นี้แต่งงานเข้ามาในตระกูลเย่ว์ได้เกือบสองปีแล้ว เซวียฮูหยินเป็นคุณหนูคนหนึ่งที่เย่ว์เหวินฮั่นบังเอิญพบเข้า ได้ยินมาว่าเป็นสายเลือดตระกูลดังจากทางเหนือ แต่ชะตาขัดกับดาวฉัตรจักรพรรดิ จึงมาบำเพ็ญตนที่วัดจื่อจู๋บนเขาผู่ถัวที่หนานไห่ สามปีก่อนเย่ว์เหวินฮั่นมาแก้บนแทนมารดาผู้เสียไปที่เขาผู่ถัว แล้วบังเอิญพบฮูหยินเซวียผู้นี้โดยไม่ตั้งใจ จากนั้นก็ตกหลุมรัก จึงเพียรตามจีบอย่างลำบากยากเย็น แต่เซวียฮูหยินผู้นี้กลับเย็นชาดั่งน้ำแข็ง เอ่ยปฏิเสธหลายต่อหลายครั้ง เย่ว์เหวินฮั่นพยายามตามจีบอยู่หนึ่งปีกว่า ในที่สุดคนงามจึงหวั่นไหว
แต่เดิมเย่ว์เหวินฮั่นต้องการตบแต่งนางเป็นภรรยาเอก แต่กลับถูกผู้อาวุโสตระกูลเย่ว์คัดค้าน พวกเขาคาดหวังกับเย่ว์เหวินฮั่นไว้ไม่น้อย วางเขาไว้ในนฐานะอนาคตเจ้าตระกูล การแต่งงานของเจ้าตระกูลของตระกูลเย่ว์ย่อมมิอาจตัดสินใจโดยง่าย แม้เซวียซื่อรูปโฉมคุณสมบัติเพียบพร้อม แต่ความเป็นมามิชัดเจนจึงเป็นภรรยาเอกมิได้เด็ดขาด เย่ว์เหวินฮั่นจนปัญญาจึงขอร้องเซวียซื่อย่างอ้อมๆ หวังว่านางจะยอมแต่งเป็นอนุภรรยาของตนก่อน เมื่อสบโอกาสเหมาะค่อยยกนางขึ้นเป็นภรรยาเอกอีกครั้ง
ผู้ใดจะคิดว่าเซวียซื่อเก็บตัวคิดอยู่สองสามวันกลับตกลง แล้วยังบอกว่าเดิมทีตนก็มิคู่ควรเป็นเย่ว์ฮูหยินอยู่แล้ว แม้เย่ว์เหวินฮั่นประหลาดใจ แต่เขาตกหลุมรักจนถอนตัวมิขึ้นจึงตบแต่งเซวียฮูหยินมาด้วยความดีอกดีใจ
เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนดียิ่งนัก ทว่านับจากกำหนดวันแต่งงานของคุณหนูได้ ระหว่างทั้งสองคนก็คล้ายจะเกิดปัญหา เย่ว์เหวินฮั่นจู่ๆ ก็เย็นชาต่อเซวียซื่อ แต่เซวียซื่อกลับมิสนใจ ตรงกันข้ามกลับกระตือรือร้นดูแลการแต่งงานของน้องสามี
เมื่อหญิงรับใช้ตระกูลเจียงนำทางโหรวหลันกับหลี่หลินเดินเข้ามาในห้องโถงด้านหลัง พวกเขาก็เห็นเซวียซื่อกำลังสั่งการหญิงรับใช้ให้แต่งหน้าเจ้าสาวซ้ำ เซวียซื่ออายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปี รูปโฉมดั่งบุปผาฤดูใบไม้ผลิ เรือนร่างดั่งกิ่งหลิว ท่าทางเปิดเผยตรงไปตรงมาแต่ท่วงท่าสง่างาม แม้ภายในห้องมีคนมากมายเสียงดังเอะอะ แต่นางกลับสั่งการได้อย่างเป็นระเบียบ
ทว่าความคิดของโหรวหลันล้วนจดจ่ออยู่กับตัวเจ้าสาว นางพินิจดูก็แลเห็นว่าเย่ว์ชิงเยียนผู้เป็นเจ้าสาวอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี บอบบางอ้อนแอ้น ดวงตารูปคิ้วดุจภาพวาด ดวงหน้างดงามหมดจด แม้อายุยังน้อย แต่งดงามเฉิดฉิน หากจะให้กล่าวว่ามีจุดใดด้อยก็คงเป็นผิวของเย่ว์ชิงเยียนผู้นี้ขาวผ่องเกินไปจนแทบโปร่งแสง แม้งดงามทว่าซีดเผือดเกินไปจนแลดูเลือดลมพร่อง
ด้วยเหตุนี้เซวียซื่อจึงกำลังใช้ชาดผัดหน้าให้นางเองกับมือ แต่งแต้มอย่างบรรจงอยู่นานจึงพอวางมือได้ เซวียซื่อคงชำนาญการประทินโฉมเป็นแน่แท้ หลังจากผ่านมืออันเยี่ยมยอดของนาง คุณหนูเซวียก็ดูคล้ายมีเลือดฝาดเพิ่มขึ้นอยู่มาก งามวิลาศขึ้นอีกหลายส่วน ยิ่งนางสวมชุดไหมมงคลสีแดงสดกับมงกุฎหงส์และผ้าทับทรวง[1]ยิ่งงามมิมีใดเทียม หญิงรับใช้ที่นำทางโหรวหลันมาอุทานอย่างตกตะลึง “ฮูหยินน้อยช่างงดงามแท้ ท่านโหวน้อยมีบุญจริงๆ”
เสียงของหญิงรับใช้เรียกพวกเซวียซื่อให้รู้ตัว นางคลี่ยิ้มกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้แม่นมหลี่มาถึงแล้ว พวกเขาคือใครหรือ” สายตาของนางมองบนร่างโหรวหลันกับหลี่หลิน
หญิงรับใช้ก้มคำนับแล้วตอบว่า “เรียนเซวียฮูหยิน ท่านนี้คือคุณหนูหลัน บุตรีของผู้มีพระคุณของท่านโหวน้อย ท่านโหวให้นางมาพบฮูหยินน้อยที่โถงหลัง”
ดวงตาของเซวียฮูหยินทอแสงวูบหนึ่งแล้วคลี่ยิ้ม “ที่แท้ก็คุณหนูหลัน ชิงเยียน เจ้ามาพบหน่อย”
เย่ว์ชิงเยียนเดิมทีสงบคำไม่พูดไม่จา เมื่อได้ยินคำพูดของเซวียฮูหยินจึงเงยหน้าขึ้นมองมาทางโหรวหลัน ดวงตากระจ่างดุจน้ำพุเย็นคู่นั้นฉายแววเศร้าสร้อยอย่างประหลาด นางค้อมกายเล็กน้อยแล้วเรียกทักทาย “น้องหลัน” กล่าวจบนางพลันยื่นมือขวาออกมา ทำท่าให้โหรวหลันเข้าไปหา มือข้างนั้นเรียวงาม ผิวผ่องประหนึ่งน้ำแข็งจนราวกับสลักจากหยกน้ำงาม
โหรวหลันเดินเข้าไปข้างตัวนางแล้วกุมมือเรียวงามข้างนั้นไว้อย่างอดไม่อยู่ สัมผัสที่แตะมือเย็นเฉียบ โหรวหลันอดคิดไม่ได้ว่าหรือเจ้าสาวผู้นี้จะปั้นมาจากน้ำแข็ง นึกแล้วนางก็ตัวสั่นเทา
[1] ผ้าทับทรวง (霞帔) หรือ เสียเพ่ย ผ้าผืนยาวสำหรับพาดทับไหล่ทั้งสองข้างลงมา ชายผ้าทอดยาวไปด้านหลัง สำหรับสตรีสูงศักดิ์สวมใส่
ตอนต่อไป