ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 21 โศกนาฏกรรมงานมงคล (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ตอนที่ 21 โศกนาฏกรรมงานมงคล (1)

โหรวหลันรีบชักมือออกแล้วกล่าวว่า “เย็นนักเชียว มือพี่สาวเหตุใดจึงเย็นเช่นนี้” นางมองเย่ว์ชิงเยียนอย่างประหลาดใจ ในใจคิดว่ามือของท่านแม่องค์หญิงมักจะอบอุ่นนุ่มนิ่มอยู่เสมอ เหตุใดมือของพี่สาวเจ้าสาวคนนี้กลับเย็นเฉียบ เย่ว์ชิงเยียนคลี่ยิ้มขออภัย แล้วตอบว่า “ร่างกายของพี่สาวไม่ค่อยแข็งแรง มือเท้ามักเย็นอยู่เสมอ”
โหรวหลันกลอกตาไปมาแล้วเอ่ยว่า “พี่สาวร่างกายไม่แข็งแรงหรือ ท่านพ่อของข้ากับท่านตาล้วนเป็นหมอเทวดา อีกสองสามวันพี่ไห่ต้องพาพี่สาวไปคารวะท่านพ่อกับท่านแม่เป็นแน่ ถึงเวลาให้ท่านตารักษาท่านดีหรือไม่”
ใบหน้าของเย่ว์ชิงเยียนเผยรอยยิ้มจนหนทางออกมาชั่ววูบแล้วเอ่ยเบาๆ “ไม่มีประโยชน์” เสียงของนางเบาหวิวยิ่งนัก แทบจะเป็นการละเมอ แม้แต่โหรวหลันตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายนางก็ฟังไม่ชัดว่านางพูดอันใด แต่หลี่หลินที่ยืนอยู่ด้านหลังโหรวหลันเห็นสีหน้าของนางชัดเจน นั่นคือสีหน้าแห่งความสิ้นหวังและจนหนทางยามทดท้อสิ้นกำลังใจ
แม้หลี่หลินอายุน้อย แต่เพียงเห็นก็รู้ทันที เพราะเขาเห็นสีหน้าเช่นนี้มาก่อน ในกองทัพต้ายง หลี่หลินมิใช่คุณชายน้อยผู้อยู่ท่ามกลางความสุขสบาย แม้อายุไม่มาก หอกดาบล้วนยกไม่ขึ้น แต่หลี่เสี่ยนแทบจะพาเขาไปอยู่ข้างกายตลอดเวลา สิ่งที่หลี่หลินมักเห็นบ่อยที่สุดก็คือสายลับทหารฝ่ายศัตรูที่ถูกจับเป็นเชลย หรือทหารที่ทำผิดกฎกองทัพจนถูกบิดาของตนสั่งให้ลากออกไปตัดหัว
ทุกครั้งในเวลาเช่นนี้ มิว่าคนผู้นั้นจะร่ำร้องวิงวอนหรือเฉยเมยต่อความตาย หลี่หลินก็มักเห็นแววตาสิ้นหวังจนหนทางเช่นนั้นในดวงตาของพวกเขาเสมอ แววตาดังเช่นแววตาก่อนสิ้นใจของสัตว์ป่ายามถูกล่า หลี่หลินรู้ว่าคนที่มีแววตาเช่นนี้เป็นคนที่น่ากลัวที่สุดและอันตรายที่สุด
มีครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นใจนายทหารที่กำลังจะต้องโทษตายคนหนึ่งจึงเดินเข้าไปข้างกายเขาหวังจะปลอบประโลม แต่นายทหารผู้นั้นกลับดิ้นหลุดจากเชือก คิดจะจับหลี่หลินเป็นตัวประกันบีบหลี่เสี่ยนให้ปล่อยเขาไป แม้สุดท้ายมือธนูฝีมือเยี่ยมในกองทัพจะยิงนายทหารผู้นั้นตาย ช่วยชีวิตหลี่หลินไว้ได้ แต่นับจากนั้นหลี่หลินก็ระวังคนเช่นนี้อยู่เสมอ
เขาดึงโหรวหลันมาไว้ด้านหลังตน แล้วมองเย่ว์ชิงเยียนด้วยสายตาเป็นอริ โหรวหลันมองหลี่หลินอย่างประหลาดใจ นางไม่เข้าใจว่าเขาจะทำสิ่งใด แต่โหรวหลันสัมผัสได้ถึงอารมณ์เคร่งเครียดและร่างกายที่เกร็งขมึงของหลี่หลิน ดังนั้นนางจึงนิ่งไม่ขยับอย่างเชื่อฟัง แต่เวลานี้เย่ว์ชิงเยียนผู้มีรอยยิ้มฝืดเฝื่อนก็กำลังยื่นมือมาจะดึงโหรวหลันเข้าไปหาพอดีเช่นกัน การกระทำนี้ของหลี่หลินจึงทำให้บรรยากาศภายในห้องกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
โหรวหลันกระตุกเสื้อหลี่หลินเบาๆ หลี่หลินกลับดึงดันมิยอมให้เย่ว์ชิงเยียนเข้าใกล้โหรวหลัน ในใจของเด็กน้อยมีเพียงความคิดเดียว คือจะปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายน้องสาวตัวน้อยคนนี้ด้านหลังตนมิได้ น้องสาวตัวน้อย แน่นอนต้องเป็นน้องสาวตัวน้อย หลี่หลินคิดอย่างดื้อรั้น ตนสูงกว่านาง ตัวก็ใหญ่กว่านาง แม้ท่านพ่อให้ตนเรียกนางว่าพี่สาว นางเองก็เรียกตนว่าน้องชาย แต่ในหัวใจดวงน้อยของหลี่หลิน โหรวหลันคือน้องสาวตัวน้อยของตนเอง
ตอนนี้เองเซวียฮูหยินก็เดินเข้ามาอุ้มโหรวหลันอย่างชำนิชำนาญ หลี่หลินคิดจะขวาง แต่เซวียฮูหยินเพียงยื่นมือออกมาดึงเบาๆ ก็อุ้มโหรวหลันเข้าไปในอ้อมแขนได้แล้ว ใบหน้าของหลี่หลินปรากฏสีหน้าขุ่นเคืองปนอับอาย
เซวียฮูหยินขยับยิ้ม “คุณหนูหลัน ชิงเยียนอารมณ์ไม่ดีนัก คงทำให้คุณหนูหลันตกใจแล้ว นี่เป็นเพราะชิงเยียนประหม่าเล็กน้อย ผู้ใดให้เวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตของหญิงสาวกันเล่า ผ่านไปสองสามวันรอชิงเยียนไปคารวะท่านพ่อของท่าน ข้าจะให้นางเอ่ยขอโทษคุณหนูแน่นอน คุณหนูมิสู้ไปพบฮูหยินของท่านโหวเถิด หลายวันนี้นางร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แม้แต่งานเลี้ยงฉลองแต่งงานก็มาเข้าร่วมมิได้ หากมิใช่เพื่อเสริมสิริมงคล พวกเราก็คงมิตกลงให้ชิงเยียนแต่งงานเข้ามาเร็วเช่นนี้”
ดวงตาของโหรวหลันฉายแววงุนงง มิว่านางเฉลียวฉลาดเช่นไร สุดท้ายก็ยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง เซวียฮูหยินเอ่ยยาวยืดเช่นนี้ นางฟังแล้วเหมือนอยู่ในเมฆหมอก แต่คำพูดยาวเฟื้อยนี่ของเชวียฮูหยินกลับทำให้บรรยากาศภายในห้องผ่อนคลายขึ้นมากอย่างเป็นธรรมชาติ
เวลานี้นอกประตูพลันมีเสียงเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณหนูโหรวหลัน ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญท่านไปพบนาง” นั่นเป็นความเย็นยะเยือกประหนึ่งลำธารเย็นเฉียบกลางหุบเขา น้ำเสียงแฝงความนุ่มนวลอยู่หลายส่วน ทั้งไพเราะและสง่า ชวนให้คนรู้สึกคล้ายได้กลืนน้ำเย็นในวันร้อนระอุ
โหรวหลันร้องเรียกอย่างลิงโลด “ท่านอาซุ่น” หลังจากนั้นก็กระโดดโลดเต้นวิ่งออกไปด้านนอก หลี่หลินตะลึงวูบหนึ่งก็วิ่งตามออกไปด้วย จากนั้นเขาจึงเห็นชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งยืนมือไพล่หลังอยู่ที่ระเบียง ดวงตาเย็นชาดั่งน้ำแข็งมีรอยยิ้มจริงใจน้อยๆ ประดับอยู่
โหรวหลันโถมเข้าไปหาด้วยความดีอกดีใจ นางกระโดดขึ้นจากพื้นอย่างคุ้นเคยยิ่งนัก ชายหนุ่มชุดเขียวก็ดันใต้เท้านางแผ่วเบาอย่างเหมาะเจาะ ทำให้โหรวหลันยืมแรงขึ้นไปนั่งบนหัวไหล่ของชายหนุ่มชุดเขียวอย่างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ
โหรวหลันเอ่ยอย่างเบิกบานใจ “ท่านอาซุ่น เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่เล่า มิใช่ว่าท่านมิยอมห่างกายบิดาหรอกหรือ”
ชายหนุ่มชุดเขียวยิ้มละไมตอบว่า “คุณชายสั่งให้ข้ามาปกป้องคุณหนูขอรับ” จากนั้นสายตาของเขาก็จับบนร่างหลี่หลิน
หลี่หลินรู้สึกว่าสายตาของคนผู้นั้นเพียงกวาดผ่านร่าง ตนก็รู้สึกคล้ายถูกมองทะลุไปจนถึงเครื่องใน จึงอดถอยหลังก้าวหนึ่งมิได้ ทว่าความรู้สึกถูกหยามอันแรงกล้าทำให้เขามิยอมถอยหลังอีก ตรงกันข้ามกลับถลึงตามองชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น
ยามนี้เอง ร่างของเซวียฮูหยินก็ปรากฏตัวตรงหน้าประตู แต่นางมิได้ก้าวออกจากประตูห้องมา ตรงกันข้างนางกลับก้าวถอยหลัง ใบหน้าของนางมีสีหน้าตกตะลึงปรากฏขึ้นจางๆ แล้วถามเสียงเบาว่า “เหตุใดจึงมีบุรุษอยู่ที่นี่เล่า”
แม่นมหลี่ที่ตระกูลเจียงส่งมาเหลือบมองนอกประตูแวบหนึ่งแล้วตอบขึ้นว่า “เรียนฮูหยิน คนผู้นั้นคือท่านหลี่จากครอบครัวของคุณหนูหลัน เขาทำงานอยู่ในเรือนของสตรีตลอดอยู่แล้วมิเป็นปัญหา ขอฮูหยินอย่าได้กังวล”
ดวงตาของเซวียฮูหยินทอประกายวูบหนึ่ง แล้วแลกสายตากับหญิงรับใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องมาตลอด ดวงตาของหญิงรับใช้ผู้นั้นเผยจิตสังหารแล้วทำท่าจะยกเท้าก้าวออกมา แต่เซวียฮูหยินส่งสายตาดุดันให้ครั้งหนึ่ง หญิงรับใช้จึงหยุดฝีเท้า ในดวงตาฉายแววไม่พอใจจางๆ หลังจากนั้นสายตาของหญิงรับใช้จึงหันไปมองเย่ว์ชิงเยียน นั่นเป็นสายตาเชิงขอความเห็น เย่ว์ชิงเยียนพยักหน้าน้อยๆ แล้วขบริมฝีปากแน่น ริมฝีปากที่ยังไม่แต่งแต้มซึ่งเดิมทีซีดเผือดไร้สีเลือด เวลานี้กลับมีรอยโลหิตเพิ่มมาเสี้ยวหนึ่ง นางยกมือขวาแตะชีพจรตรงข้อมือซ้ายอย่างไม่รู้ตัว ภายใต้ชุดมงคลไหมแดง ตรงข้อมือซ้ายของนางพันผ้าไหมสีแดงผืนหนึ่งไว้
ฤกษ์มงคลมาถึงแล้ว แม่สื่อประคองเจ้าสาว สามีภรรยาเข้าพิธีคำนับ คำนับฟ้าดินและบรรพบุรุษ หลี่เสี่ยนอมยิ้มยืนอยู่ด้านข้าง สายตาของเขาจับจ้องร่างคนสองคนที่ยืนอยู่มุมโถงพิธี คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่สีหน้าหยิ่งยโส อีกคนหนึ่งกลับเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีคนหนึ่ง
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของหลี่เสี่ยนก็คือสีหน้าของสองคนนี้เฉยชาเรียบสนิทเกินไป สิ่งนี้เดิมทีมิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดนัก แต่สองคนนี้มีฐานะเป็นญาติสนิทฝ่ายเจ้าสาว เย่ว์อู๋จิวท่านอาญาติสนิทในตระกูลกับเย่ว์เหวินฮั่นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าสาว ในวันมงคลเช่นนี้ต่อให้ระหว่างพวกเขากับเจ้าสาวมีความสัมพันธ์ห่างเหินก็ต้องแสร้งทำหน้ายินดี ยิ่งไปกว่านั้นเย่ว์ชิงเยียนเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเย่ว์เหวินฮั่น แล้วยังลือกันว่าพี่น้องคู่นี้รักกันยิ่งนัก
สายตาของหลี่เสี่ยนกลอกผ่านไปจนเห็นจุดที่ผิดปกติมากยิ่งกว่า สีหน้าของราชทูตหนานฉู่ทั้งสองคนดูแปลกอยู่เล็กน้อย สีหน้าอุปทูตฝูอวี้หลุนวิตกกังวลนิดหน่อย ขณะที่ราชทูตลู่ช่านกลับมีสีหน้าสุขุมผ่อนคลาย ริมฝีปากประดับรอยยิ้มจางๆ
หลังจากสามีภรรยาหมาดๆ คำนับฟ้าดินกับบิดามารดาเสร็จสิ้นและกำลังจะถูกส่งตัวเข้าหอ ทันใดนั้นเย่ว์เหวินฮั่นพี่ชายของเจ้าสาวก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง “ท่านโหว หลานมีเรื่องหนึ่งต้องขอให้ท่านตัดสินใจ”
ตงไห่โหวเจียงหย่งชะงัก ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เหวินฮั่น มิว่าเรื่องอันใด รอจนเสร็จพิธีแต่งงานค่อยคุยกันเถิด”
เย่ว์เหวินฮั่นยิ้มเย็นชา ใบหน้าหล่อเหลาเฉยชาเผยสีหน้าเย้ยหยันออกมา “เรื่องนี้พูดกันต่อหน้าธารกำนัลจะดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ทุกคนก็ล้วนสนใจอยากรู้อย่างยิ่งอยู่แล้ว” กล่าวจบ สายตาของเขาก็กวาดมองผู้คนในห้องโถง
คนที่มีสิทธิ์ยืนชมพิธีอยู่ในห้องโถงมีไม่มาก นอกจากราชทูตของต้ายง เป่ยฮั่นกับหนานฉู่ ก็มีเพียงญาติสนิทจำนวนหนึ่งของตงไห่โหวกับคนของตระกูลเย่ว์เท่านั้น แม้แต่อาหลานตระกูลไห่ก็มีฐานะไม่พอจึงต้องอยู่นอกห้องโถง ผู้คนในห้องโถงแห่งนี้ล้วนมีฐานะสูงส่ง พวกเขาต่างเป็นผู้ที่อยู่ในสนามรบหรือแวดวงขุนนางมานาน ไฉนเลยจะถูกท่าทางของเขากดข่มได้ หากมิติดว่าเห็นแก่หน้าตงไห่โหว เกรงว่าคงเอ่ยปากประณามนานแล้ว
สีหน้าของเจียงหย่งนิ่งขรึม มิใช่บิดาผู้ปลาบปลื้มที่บุตรรักได้แต่งงานคนเดิมอีกต่อไป เวลานี้เขากลายเป็นเจ้าแห่งทะเลตงไห่ผู้นำของกลุ่มโจรสลัดแห่งตงไห่แล้ว เขาโบกมือเบาๆ คนของตงไห่ที่เข้าร่วมชมพิธีทั้งหมดต่างเข้าคุมประตูหน้าต่างทุกมุมไว้อย่างเข้าขา ล้อมผู้คนในห้องโถงไว้รางๆ สีหน้าปลาบปลื้มเมื่อครู่ของเจียงไห่เทากลับกลายเป็นสีหน้าเย็นยะเยือก เขาสะบัดแถบผ้าไหมสีแดงบนข้อมือทิ้งแล้วถอยไปอยู่ด้านหลังบิดา
ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ เย่ว์เหวินฮั่นผู้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบกลับคล้ายไม่ใส่ใจสักนิด เขาเอ่ยเสียงเย็นชา “ตระกูลเย่ว์ก่อตั้งตระกูลด้วยกิจการเดินเรือ ยามมีคนตั้งตัวเป็นคู่ต่อสู้ พวกเราตระกูลเย่ว์มิเคยหวั่นเกรง ทว่าตระกูลไห่จู่ๆ กลับผงาดขึ้นมาบีบพวกเราตระกูลเย่ว์ให้ลำบากจนมิอาจเอื้อนเอ่ย สาเหตุที่ตระกูลไห่อยู่เหนือกว่าพวกเราได้ก็เพียงเพราะพวกเขากุมวิทยาการสร้างเรือยักษ์เอาไว้และมีกองกำลังทางทะเลอันแข็งแกร่งของท่านอาเขยคอยคุ้มกัน ไม่แปลกที่พวกเขาจะล่องเรือได้อย่างราบรื่น ท่านอาเขยมิเห็นแก่บุญคุณที่ตระกูลเย่ว์ลอบสนับสนุนในวันวาน หลานก็มิกล้าเรียกร้องให้ตอบแทนบุญคุณ ตระกูลเย่ว์มิต้องการสิ่งใดมาก ขอเพียงตระกูลไห่มอบแบบเรือกับแผนที่ทะเลที่วาดช่วงหลายปีนี้มาก็พอแล้ว ตระกูลเย่ว์เชื่อมั่นว่าพวกเรามีกำลังคุ้มกันขบวนเรือเองได้”
ตอนต่อไป