บทที่ 637 นำเสนอสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง

เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ

บทที่ 637 นำเสนอสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง

มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับถังหลี่ในยามนี้

พระชายาเจิ้งซึ่งไม่เป็นที่สนิทสนมและพบปะไปมาหาสู่กันมากนัก ได้มาเยี่ยมเยียนถึงจวน ท่านอ๋องเจิ้งทรงเป็นพระอนุชาของอดีตฮ่องเต้ ท่านมีชื่อในเรื่องความเกียจคร้าน แม้แต่พระชายาเจิ้งเองก็ไม่ค่อยจะได้เสด็จเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังบ่อยครั้ง ถังหลี่เคยพบนางแค่เพียงครั้งเดียวในวังหลวง ทั้งสองคนได้เจรจาทักทายกันสุภาพผิวเผินเท่านั้น พวกเขาไม่นับได้ว่าเป็นคนสนิทกันด้วยซ้ำ นั่นจึงเป็นเรื่องประหลาดใจที่พระชายาได้มาเยี่ยมเยียนถังหลี่

ถังหลี่จึงทักทายอย่างสุภาพ ทั้งคู่เจรจากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพระชายาเจิ้งจึงได้เอ่ยจุดประสงค์ในการมาเยือนครั้งนี้

พระชายาเจิ้งมีพระธิดาองค์หนึ่ง คือองค์หญิงหนานหยวน นางมีชันษาสิบห้าปี ถึงวัยออกเรือนแล้ว องค์หญิงหนานหยวนเคยเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวงและเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะมีความประทับใจที่ดีกับเด็กหนุ่มทั้งคู่ ท่านอ๋องเจิ้งทรงทราบดีว่าเด็กหนุ่มทั้งคู่เป็นผู้สมัครที่เข้าตาในฐานะบุตรเขย พระองค์จึงได้ส่งพระชายามาลองเลียบเคียงถามไถ่ดู

พระชายาเจิ้งสุภาพกับถังหลี่มาก แม้ว่าจะมีตำแหน่งเป็นถึงชายาเอกของท่านอ๋องก็ตาม แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของนางก็เป็นสตรีที่มีเกียรติมากเช่นกัน สามีของนางเป็นเจ้ากรมอาญา เป็นหนึ่งในขุนนางที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ บิดาเป็นแม่ทัพ พี่ชายคนโตเป็นผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ พี่ชายคนรองเป็นแม่ทัพ ส่วนพี่ชายอีกคนก็แต่งงานกับองค์หญิงผู้เป็นที่รักใคร่ของฮ่องเต้..สตรีผู้นี้นับว่ามีเกียรติยศและมีวาสนาที่สูงส่ง

หลังจากที่ได้พูดคุยกัน พระชายาจึงตระหนักได้ว่านางไม่ได้เป็นหญิงวางอำนาจและหยิ่งยโสแต่อย่างใด กลับมีมารยาทที่นุ่มนวล หากใครได้เป็นสะใภ้ก็นับว่าเป็นพรของคนผู้นั้น

ถังหลี่ตกใจมาก ต่อให้นางมีประสบการณ์ชีวิตมามากมายก็ตาม แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับการทาบทามการแต่งงาน เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งก็อายุสิบหกปีแล้ว พวกเขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ในยุคสมัยนี้ ผู้คนแต่งงานตอนตอนอายุแค่สิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น ในฐานะที่เป็นมารดา นางต้องคิดถึงเรื่องการแต่งงานของพวกเขา

“ข้าสงสัยว่าองค์หญิงหนานหยวนชื่นชมสวี่เจวี๋ยหรือจื่ออั๋ง..เป็นคนไหนกัน?” ถังหลี่เอ่ยถาม พระชายาเจิ้งขมวดคิ้ว ที่จริงนางได้ไต่ถามบุตรสาวถึงเรื่องนี้เช่นกัน บุตรสาวของนางทำหน้าย่นอย่างเขินอาย แล้วตอบว่า

“สวี่เจวี๋ยก็ดี จื่ออั๋งก็ดีมากเช่นกัน ยากที่จะตัดสินใจเลือกได้ ลูกแต่งงานกับพวกเขาทั้งสองคนได้หรือไม่?”

พระชายาเจิ้งถึงกับขบขันบุตรสาว “เจ้ายังเลือกอีกหรือ? หากพวกเขาไม่ชอบเจ้าเล่า?” บุตรสาวไม่โกรธ หากตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ก็อาจจะเป็นไปได้ ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก ท่านแม่ มีหลายคนชอบพวกเขาเช่นกัน แต่ไม่มีใครมีสถานะดีเช่นท่านแม่และท่านพ่ออีกแล้ว ข้าชอบพวกเขา หากได้ทาบทามเอาไว้ก่อนย่อมได้เปรียบไม่ใช่หรือ?”

พระชายาเจิ้งได้สติตื่นจากภวังค์ นางกล่าวกับถังหลี่ด้วยรอยยิ้ม

“นายน้อยทั้งสองเป็นหงส์และมังกรในหมู่ผู้คน ข้าจะมีความสุขมากหากจะเป็นผู้ใดผู้หนึ่งที่มีใจชอบพอบุตรสาวตัวน้อยของข้า”

“องค์หญิงหนานหยวนช่างพระทัยงาม ท่านถ่อมตนเกินไปแล้ว” ถังหลี่กล่าวตอบด้วยความสุภาพ

ในตอนท้ายของการสนทนา ถังหลี่กล่าวว่า นางขอถามความเห็นของเด็กสองคนก่อนที่จะให้คำตอบ พระชายาเจิ้งฟังเหตุผลเช่นกัน นางไม่ได้อ้างว่า การแต่งงานของบุตรและธิดาเป็นคำสั่งบิดามารดาและคำพูดของแม่สื่อแต่อย่างใด นางเพียงแต่พูดว่า นางจะรอฟังข่าวจากฮูหยินอู่ถึงแม้ว่าการเจรจาจะไม่สำเร็จในครั้งแรกก็ตาม แต่ก็นับได้ว่าได้รู้จักพบปะกันแล้วต่อไปการเจรจาก็อาจจะมีช่องทางมากขึ้น

ถังหลี่เพิ่งส่งพระชายาเจิ้งกลับไป สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งก็เพิ่งกลับมาจากจากการไปส่งจ้าวจิ่งซวน ถังหลี่เรียกบุตรชายทั้งคู่มาหา นางมองพวกเขา ทั้งสองคนโตเร็วมาก ตอนนี้สูงกว่านางถึงหนึ่งศีรษะแล้ว พวกเขาโตแล้วจริงๆ ถังหลี่เฝ้าดูพวกเขามาตั้งแต่อายุได้เจ็ดขวบ นางคุยกับพวกเขาถึงจ้าวจิ่งซวนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงได้พูดถึงเรื่องสำคัญในชีวิตของพวกเขา ถังหลี่ถามขึ้นว่า

“สวี่เจวี๋ย จื่ออั๋ง พวกเจ้ามีผู้หญิงที่ชอบบ้างหรือไม่?” สวี่เจวี๋ยชะงักไป ใบหน้าที่หล่อเหลาของจื่ออั๋งแดงขึ้นมา เขาดูเขินอายมาก ไม่ว่าพวกเขาจะโตเพียงใดแล้ว เขาก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มเมื่อถูกถามเรื่องนี้ขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัดเขิน

“ท่านแม่..ข้ายังไม่ได้ชอบใคร” เว่ยจื่ออั๋งตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ

ถังหลี่มองไปยังสวี่เจวี๋ย เขาดูสงบนิ่งเก็บอาการได้มากกว่า แต่ถ้าหากพินิจดูให้ดีแล้ว ใบหูของเขาก็แดงขึ้นมาเช่นกัน

สวี่เจวี๋ยส่ายหน้า

“พวกเจ้าจำองค์หญิงหนานหยวนได้หรือไม่?”

“ข้าจำได้” สวี่เจวี๋ยพูดขึ้น “นางตามข้ากับจื่ออั๋งเหมือนหางเลยทีเดียว นางค่อนข้างเชื่อฟังดี” เว่ยจื่ออั๋งหันมามอง หลิ่วตาให้

“ดูเหมือนนางจะชอบเจ้าไม่น้อย เขียนบทกวีใส่ไว้ในหนังสือของเจ้าด้วย”

“นางก็เขียนให้เจ้าเช่นกัน”

เว่ยจื่ออั๋งแปลกใจ “เหตุใดข้าไม่เห็น?”

“ตอนนั้นใกล้สอบแล้ว ข้าเกรงว่าจะส่งผลกับการอ่านหนังสือของเจ้า ข้าก็เลยส่งคืนนางกลับไป”

“หนานหยวนชอบเราทั้งคู่หรือ?”

“งูพิษ” สวี๋เจวี๋ยพึมพำเบาๆ ทั้งสองพากันพูดถึงองค์หญิงหนานหยวน ดูเหมือนทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง แต่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ฉันท์ชายหญิง

เว่ยจื่ออั๋งพูดกับมารดาว่า

“ท่านแม่ ข้ายังไม่อยากแต่งงาน หากข้ามีหญิงสาวที่ชื่นชอบแล้ว ข้าจะบอกกับท่านให้ท่านแม่ตัดสินใจ”

สวี่เจวี๋ยพูดเสริมขึ้นว่า

“ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับจื่ออั๋ง”

ถังหลี่พยักหน้า “ตกลง”

ตกกลางคืน นางคุยเรื่องนี้ให้เว่ยฉิงฟัง

“สามี เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ตอนที่ข้าเข้ามาในครอบครัวของท่าน จื่ออั๋งเพิ่งจะเจ็ดขวบเท่านั้น ยังเป็นหัวไชเท้าน้อยๆ อยู่เลย ตอนนี้เขาโตพอจะแต่งงานได้แล้ว” ถังหลี่พูดด้วยอารมณ์อ่อนไหว เว่ยฉิงกอดนางไว้ในวงแขน เมื่อหวนคิดถึงอดีตแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ

เมื่อเขาคิดคำณวนดูให้ดีอย่างถี่ถ้วน ตอนที่เขาซื้อภรรยามา ในตอนนั้นเขาอายุแค่สิบแปดปีเท่านั้น ถังหลี่อายุยังไม่ถึงสิบห้าดีเลย เวลาผ่านไปแปดเก้าปีแล้ว ภรรยาของเขาอายุยี่สิบสาม ส่วนตัวเขาตอนนี้อายุยี่สิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว ในช่วงเก้าปีที่ผ่านมา เขาและภรรยามีช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน หลังจากคิดดูดี เขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

ก่อนหน้าที่เขาจะพบกับถังหลี่ วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักสุข หรือแม้แต่มีความหวังใดๆ แต่หลังจากที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน วันเวลาของเขาผ่านไปอย่างมีความสุข จนเขาหวังให้เวลาผ่านไปช้ากว่านี้อีกสักหน่อย ปีนี้เขาอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว เขาหวังว่าก่อนที่เขาจะอายุครบสามสิบปี เขาสามารถที่จะยุติเรื่องนี้ลงได้ และได้ใช้ชีวิตที่อิสระกับภรรยาของเขา

“ฮูหยิน หากถึงเวลานั้น เราสองคนไปหาที่อยู่อย่างสันโดษบนภูเขากันเถอะ ข้าจะทำไร่ ล่าสัตว์ ทำอาหาร และซักผ้า..” เว่ยฉิงเริ่มฝัน

“แล้วจะให้ข้าทำอะไร?” ถังหลี่ถามเขาด้วยรอยยิ้ม

“ภรรยา เจ้ามีหน้าที่กินและนอน ทำตัวให้สวยงามราวกับดอกไม้” เว่ยฉิงกอดนางแน่นขึ้น จุมพิตที่หน้าผาก ปล่อยให้นางเอนตัวลงพิงกายในอ้อมแขนของเขา ถังหลี่แนบใบหน้าตนเองเข้าที่หน้าอกของเขา ฟังเสียงหัวใจของเขาเต้น เฝ้ารอให้ถึงวันที่เขาฝันถึง

ต่อมาถังหลี่ได้หาโอกาสที่จะปฏิเสธพระชายาเจิ้งไป นางไม่ได้ว่าหรือตำหนิแต่อย่างใด ทั้งยังมาเยี่ยมเยียนนางอีกหลายครั้งฉันท์มิตรสหาย

วันถัดมา ถังหลี่มีเวลาว่าง นางอยู่กับลูกแฝดของนางเองทั้งวัน เด็กน้อยสองคนอายุได้สิบเดือน

ถังเปาเป่านั่งบนเตียงอย่างเกียจคร้าน ตรงกันข้ามมู่เปาเป่าซึ่งกระฉับกระเฉงมาก เขาสวมรองเท้าเล็กๆ ปักลายกระต่ายน้อยเดินปัดเป๋ไปหาถังหลี่ นางอ้าแขนออกอุ้มมู่เปาเป่าที่วิ่งมาหา ถังหลี่เอานิ้วแหย่ใบหน้าอ้วนเล็กๆ ของเขาแล้วชมว่า

“มู่เปาเป่าเก่งมาก” เด็กน้อยพอได้รับคำชมก็หัวเราะคิกคักถังเปาเป่ากลอกตา ยืดเท้าของนางออกมา ถังหลี่เหลือบไปเห็นเข้าพอดี

“ถังเปาเป่าลงมาเดินเล่นด้วยกันหรือไม่?”

………………

——————————-