บทที่ 636 จ้าวจิ่งซวนปราบโจร

เมื่อจ้าวจิ่งซวนถูกขอให้ไปปราบโจรที่เหลียงโจว เขายังไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ทั้งๆ ที่วันก่อนพระสนมเหลียงได้เล่าให้เขาฟังแล้ว พอได้ฟังเขาถึงกับตะลึงพรึงเพริดไป พุ่งเข้าไปกอดบั้นพระองค์ของพระสนมเหลียงแน่น

“เสด็จแม่! ข้าได้ยินว่าเหลียวโจวอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก หากเดินทางโดยไม่หยุดพักเลยย่อมใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมีภูเขาสูงมาก ทั้งแม่น้ำก็มีความอันตราย ซ้ำยังมีโจรร้ายชุกชุม ฆ่าคนไม่กระพริบตา! ลูกได้เคยอ่านหนังสือนิทานที่เล่าเรื่องพ่อค้าที่ได้เดินทางผ่านมาพร้อมสินค้า แต่ถูกโจรจับตัวพร้อมกับปล้นชิงสินค้าไปด้วย”

“พวกโจรได้ขอให้ครอบครัวของพ่อค้าผู้นั้น นำเงินมาไถ่ตัวเขา ครอบครัวเขาพยายามอย่างเต็มที่แต่กลับได้เงินมาแค่หนึ่งในสิบส่วนที่พวกโจรขอไป โจรจึงได้ส่งแค่มือข้างเดียวของพ่อค้ากลับคืนให้ครอบครัวเขา มันอ้างว่าเงินแค่นี้ก็ได้แค่มือข้างเดียวเท่านั้นแหละ!”

“เสด็จแม่ ข้าไม่เคยออกจากวังหลวงเลย นับประสาอะไรจะไปถึงสถานที่ไกลเช่นนั้น ถ้าข้าไป ข้าคงกินไม่อิ่มนอนไม่หลับเป็นแน่ สภาพอากาศอาจจะไม่ค่อยดี ในไม่ช้าลูกจะป่วยไข้ไม่สบายได้ เสด็จแม่ ท่านดูแขนเล็กผอมของข้าสิ แบบนี้จะไปปราบโจรได้ที่ไหน มีแต่จะโดนโจรขย้ำตายเสียล่ะมากกว่า! …เสด็จแม่ ข้ายังไม่อยากตาย ข้ายังไม่ได้ทดแทนบุญคุณเสด็จแม่เสด็จพ่อเลย!” ดวงตาของจ้าวจิ่งซวนเป็นสีแดง เขาอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา พระสนมเหลียงพระทัยแทบสลาย พระเนตรแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน นางสัมผัสศีรษะของพระโอรสด้วยความอ่อนโยน

จ้าวจิ่งซวนแอบเหล่ตาดูพระมารดา เมื่อเริ่มรู้สึกว่านางยังคงสงสารเขาไม่พอ เขาจึงถามขึ้นอย่างลังเลว่า

“เสด็จแม่ ข้าไม่ไปเหลียงโจวได้หรือไม่?” ความเจ็บปวดอาดูรบนพระพักตร์ของพระสนมเหลียงมลายหายไปทันที แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังเย็นชาอยู่หลายส่วน

“ไม่ได้!”

จ้าวจิ่งซวนใช้ความพยายามแทบตาย

“เสด็จแม่..ข้ายังเป็นเด็กอยู่เลย”

พระสนมเหลียงทอดพระเนตรไปที่พระโอรสอย่างเคร่งขรึม

“เจ้าอายุจะสิบแปดปีแล้วยังเป็นเด็กอยู่อีกหรือ? เป็นเด็กโข่งนะสิ!” จ้าวจิ่งซวนตระหนักได้ทันทีว่าเขาต้องไปเหลียงโจว!

ตอนนี้พระบรมราชโองการได้ออกมาแล้ว เขาโดนตัดสินโทษประหาร!

หลังจากที่ได้รับพระบรมราชโองการ เขาจึงไปหาเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ย ด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง เพื่อให้พวกเขาปลอบโยนตนเอง

ในสำนักฮั่นหลิน ทั้งเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยกำลังยุ่งวุ่นวายกลับการทำงาน จ้าวจิ่งซวนเดินเข้าไปหาสวี่เจวี๋ยพูดอย่างน่าสมเพชว่า

“สวี่เจวี๋ย..ข้าต้องไปปราบโจรที่เหลียงโจว

สวี่เจวี๋ยที่กำลังวุ่นวายไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยซ้ำเพียงแค่รับคำในลำคอว่า

“อืม..”

จ้าวจิ่งซวน : “…………”

หัวใจเขาสลายแตกเป็นเสี่ยง เขากำลังจะไปปราบโจรดุร้ายถึงเหลียงโจวแต่สวี่เจวี๋ยไม่ให้ความสนใจเขาเลย น้องชายที่แสนดีของเขาหายไปไหน?

จ้าวจิ่งซวนเดินไปหาเว่ยจื่ออั๋ง

“จื่ออั๋ง..ข้าต้องไปปราบโจรที่เหลียงโจว”

เว่ยจื่ออั๋งเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นดวงตาสีดำตัดขาวอย่างชัดเจน จ้าวจิ่งซวนเบิกตากว้างพูดอย่างน่าสงสาร

“โจรที่เหลียงโจวดุร้ายมาก ข้าจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่..ไม่มีผู้ใดรู้” ก่อนที่เว่ยจื่ออั๋งจะได้พูดขึ้นมา ก็มีเสียงเย้ยหยันดังขึ้นมาจากด้านหลังจ้าวจิ่งซวน

“องค์ชายหก ปีนี้ท่านมีชันษาเท่าไหร่แล้ว?” สวี่เจวี๋ยถามขึ้นอย่างโดยต้องการคำตอบ

“อีกไม่กี่เดือนท่านจะครบสิบแปดชันษาแล้วสินะ ท่านแม่ทัพหม่าเหยียนนำกองกำลังร้อยนายเอาชนะกองทัพที่แข็งแกร่งของศัตรูห้าพันนายเมื่อตอนที่เขาอายุได้แค่สิบห้าปีเท่านั้น”

“แม้กระทั่งจ้าวเยว่ที่ถูกส่งตัวไปยังแคว้นศัตรูเมื่อมีอายุสิบหกปี เขาใช้วาจาที่กร้าวแกร่งของตนเจรจาจนทำให้กองทัพที่เข้ารุกรานในเวลานั้นล่าถอยไป และนำไปสู่การยุติสงครามครั้งใหญ่ได้ ส่วนหลู่เซิ่งได้ขึ้นเป็นอัครเสนาบดีเมื่อมีอายุได้สิบเจ็ดเท่านั้น ท่ามกลางความวุ่นวายและปั่นป่วนของราชสำนัก เขาสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์จนทำให้ราชวงศ์จินสืบทอดต่อมาได้จนถึงร้อยปี ท่านจะครบชันษาสิบแปดปี ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว” รายชื่อผู้คนที่สวี่เจวี๋ยได้เอ่ยออกมา ล้วนแต่เป็นวีรบุรุษผู้กล้าซึ่งมีอายุน้อยในราชวงศ์ก่อนหน้าทุกคน ชื่อและวีรกรรมความกล้าหาญของผู้คนเหล่านั้นได้ถูกจารึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น

“องค์ชายหก ท่านได้รับการเลี้ยงดูและปกป้องอย่างดีมาเป็นเวลานาน แต่ในไม่ช้าผู้ที่ปกป้องท่านจะมีอายุมากขึ้น ในที่สุดแล้วท่านจะต้องยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวท่านเอง”

สวี่เจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง จ้าวจิ่งซวนก้มหน้าลง เขารู้ดีว่าสิ่งที่สวี่เจวี๋ยพูดนั้นถูกต้องทั้งหมดและเต็มไปด้วยความหวังดี แต่เขายังอดไม่สบายใจและหวาดกลัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เสด็จแม่ทรงเป็นห่วงเขา นางจะคอยปูทางให้เขาก้าวเดินต่อไปอยู่เสมอ เขาต้องการที่จะเติบโตขึ้นและสามารถปกป้องมารดาของตนได้ แต่ความรู้สึกกดดันและความกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้ทำให้เขาไม่กล้า

“องค์ชายหก นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านต้องไปทำภารกิจ อาจจะดูยากลำบากสำหรับท่าน แต่แท้จริงแล้วไม่ได้ยากอย่างที่คิดหรอก อย่าได้กังวลมากไป” เว่ยจื่ออั๋งกล่าวเสริมขึ้น น้ำเสียงของเว่ยจื่ออั๋งอ่อนโยนมาก จนทำให้จ้าวจิ่งซวนเงยหน้าขึ้นมองเขา จึงทันได้เห็นรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า ทั้งสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดี แต่สวี่เจวี๋ยกลับดูดุดันในขณะที่เว่ยจื่ออั๋งเป็นคนมีบุคลิกอ่อนโยน มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอ มองแล้วให้สบายตาสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“ไม่ต้องห่วงหรือ? แต่ศิลปะการต่อสู้ของข้าไม่ดีเอาเสียเลย ข้าจะเอาชนะพวกโจรได้อย่างไร? แค่โดนพวกโจรเหล่านั้นตบแค่ครั้งเดียว ข้าคงตายแล้วล่ะ!” จ้าวจิ่งซวนพึมพำอย่างกลัดกลุ้ม

เว่ยจื่ออั๋งหัวเราะออกมาเบาๆ “การปราบโจรไม่ได้หมายความว่าองค์ชายหกจะต้องไปสู้กับโจรด้วยตัวท่านเอง การที่คนผู้หนึ่งจะทะยานขึ้นฟ้าโดยการกระโดดเพียงแค่ครั้งเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ท่านต้องเรียนรู้ความจริงในข้อนี้ เชื่อเถอะว่าพวกเขาจะหาคนที่เก่งและมีอำนาจมาช่วยท่านอย่างแน่นอน องค์ชายหก สิ่งที่ท่านควรจะทำนั่นคือการวางแผนและคิดกลยุทธ์ในการปราบปรามโจรเหล่านั้น เรื่องนี้อาจจะยากไปสักหน่อย ดังนั้นท่านสมควรจะต้องฟังผู้ที่แนะนำท่านให้มากๆ จากนั้นจึงตัดสินใจให้ถูกต้อง ในขณะเดียวกันท่านต้องรู้จักที่จะต้องใช้คนด้วย และสิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือท่านต้องดูแลตนเองให้ปลอดภัย”

“องค์ชายหก ท่านเป็นคนฉลาด ท่านต้องทำได้อย่างแน่นอน ปราบโจรได้สำเร็จ เท่ากับท่านช่วยเหลือชาวบ้านได้อีกมาก ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ของท่านจะเป็นที่จารึกไว้ในใจของราษฎร ทั้งยังเป็นการฝากชื่อไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อีกด้วย” เว่ยจื่ออั๋งยิ้ม น้ำเสียงของเขานุ่มนวล จ้าวจิ่งซวนรู้สึกเลือดของตนเดือดพล่านราวกับถูกฉีดด้วยเลือดไก่ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทรงเลือกจ้าวชูเป็นผู้สืบทอด เขาจงใจที่จะเลี้ยงดูองค์ชายหกให้เติบโตมาอย่างเกียจคร้านปราศจากความทะเยอทะยานใดๆ สกุลเหลียงก็เล็งเห็นในเรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาจึงได้ปล่อยปละจ้าวจิ่งซวนด้วยเพราะกลัวว่าฝ่าบาทจะเกิดความระแวง ด้วยสาเหตุที่ว่านี้จึงทำให้จ้าวจิ่งซวนที่อายุใกล้จะสิบแปดปีแล้วถึงได้ไร้ซึ่งความสามารถและความมุ่งมั่นในบัลลังก์

แต่แท้จริงแล้วบุรุษแทบทุกคนล้วนมีความกระตือรือร้นที่จะอยากประสบความสำเร็จอยู่ในกระดูกของพวกเขา เช่นเดียวกัน ความกระหายเลือดของจ้าวจิ่งซวนก็ถูกกระตุ้นขึ้นจากเว่ยจื่ออั๋ง ทำให้เขาเห็นข้อดีในการที่จะไปปราบโจรในครั้งนี้ เขาพยักหน้าอย่างแรง

“เอาล่ะ หากถึงวันนั้นจริงๆ พวกเจ้าสองคนต้องรวบรวมผลงานของข้าไว้ในหนังสือที่ชื่อ “ตำนานการปราบโจรของจิ่งซวน”ด้วยล่ะ แล้วอย่าลืมเขียนให้ข้ากลายเป็นวีรบุรุษด้วยเล่า”

“ให้จ้วงหยวนกับปั๋งเหยียนมาเขียนหนังสือให้ท่านหรือ? ฝันไปเถอะ!”

“เฮ้! เจ้าไม่สนใจโอกาสดีๆ ที่ข้าหยิบยื่นให้แบบนี้ หากข้าไปวานให้ผู้อื่นเขียนให้ เจ้าอย่ามาเสียใจทีหลังเล่า”

“ข้าไม่เสียใจ ท่านกลับไปได้แล้ว!”

“ดูสิ! ท่านปั๋งเหยี่ยนช่างพูดจาหยาบคายยิ่งนัก เทียบไม่ได้กับท่านจ้วงหยวนแม้แต่นิดเดียว”

“จ้าวจิ่งซวน เอามือของเจ้าออกไปจากหน้าข้านะ”

“โอ๊ย! พวกเจ้าสองคนรุมทำร้ายข้า!” จ้าวจิ่งซวนพูดจากระเซ้าเย้าแหย่กับสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งก่อนจะจากไป

ก่อนที่เขาจะเข้ามาในห้องนี้ อารมณ์ของเขาจมดิ่งเต็มไปด้วยความหวาดวิตก แต่พอเขากลับออกไป นอกจากจะหายกังวลแล้วยังมีความสุขมากอีกด้วย…

การคาดเดาของเว่ยจื่ออั๋งถูกต้อง ฮ่องเต้โจวส่งบุคคลที่มีประสบการณ์มากมายในการปราบโจรผู้ร้ายร่วมเดินทางไปกับเขาในครั้งนี้ด้วย ทั้งสกุลเหลียงยังจัดคนสองคนไว้อยู่ข้างกายเขา ผู้หนึ่งเป็นบุตรชายคนโตของสกุลเหลียง ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นนายท่านรองสกุลเหลียง ทั้งคู่มีความสามารถทั้งบู๊และบุ๋น พวกเขาได้เดินทางไปช่วยเหลือจ้าวจิ่งซวนในภารกิจครั้งนี้ด้วย ตราบใดที่จ้าวจิ่งซวนไม่ทำตัวเหลวไหล ทุกอย่างย่อมไม่มีปัญหา

ก่อนที่จ้าวจิ่งซวนจะจากไป สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งได้ไปหาเขา จ้าวจิ่งซวนกอดเด็กหนุ่มทั้งคู่จากนั้นก็พูดขึ้นว่า

“พวกเจ้ารอข้ากลับมา”

“หากท่านกลับมาวันใด พวกข้าจะจัดเลี้ยงอาหารที่ร้านหนิงเฟิ่งให้ท่าน” เว่ยจื่ออั๋งสัญญา

จ้าวจิ่งซวนพยักหน้ารับคำอย่างมีความสุข เขาก้าวขึ้นหลังม้าด้วยท่วงท่าโอ่อ่า ก่อนจะเดินทางจากไป

……….

วังหลวง

“จ้าวจิ่งซวนไปแล้วหรือ?” หวังกุ้ยเฟยตรัสถาม พระพักตร์ที่ถูกแต่งไว้อย่างประณีตบรรจงดูหมดจดงดงาม แต่กระนั้นก็ไม่อาจปิดบังแววตาที่เหี้ยมโหดดุร้ายเอาไว้ได้

“ไปแล้วเพคะ” ข้ารับใช้ทูลรายงานเสียงเบา หวังกุ้ยเฟยวางพระหัตถ์กดพระนขายาวแหลมจิกลงกับโต๊ะ

“ปล่อยให้มีชีวิตรอดกลับมาไม่ได้” ฮ่องเต้โจวส่งจ้าวจิ่งซวนไปปราบโจรในครั้งนี้ ใครที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมคาดเดาน้ำพระทัยได้ หนึ่งเพื่อให้มีประสบการณ์ชีวิต สองเพื่อให้มีผลงาน เหตุผลทั้งสองอย่างนี้ก็เพื่อเตรียมให้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท หากจ้าวจิ่งซวนประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ฮ่องเต้อาจจะแต่งตั้งให้เขาเป็นองค์รัชทายาทก็เป็นได้

พอถึงตอนนั้น ทั้งชูเอ๋อร์และสกุลหวังคงต้องจบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้

“พวกโจรในเหลียงโจวล้วนโหดร้าย ฆ่าคนไม่กะพริบตา ไม่น่าแปลกใจที่จ้าวจิ่งซวนจะเสียชีวิตภายให้คมดาบของโจรเหล่านั้น” สายพระเนตรมีความอาฆาตอยู่เต็มเปี่ยมยามที่เอ่ยตรัสออกมา