ตอนที่ 571 บัญชาจากสวรรค์คือคุณธรรม

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 571 บัญชาจากสวรรค์คือคุณธรรม

ฉินซ่างจื้อเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างแรง “เพราะว่าสิ่งเหล่านี้คือกฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้! บุตรภรรยาเอกคือบุตรภรรยาเอก! จักรพรรดิคือจักรพรรดิ! เกิดเป็นคนควรจงรักภักดีต่อจักรพรรดิและแผ่นดิน แผ่นดินมาก่อนครอบครัว คุณหนูใหญ่ไป๋ว่าถูกต้องหรือไม่ขอรับ!”

“จงรักภักดีต่อทรราชเรียกว่าโง่เขลา ฉินเซียนเซิงเป็นคนมีสติปัญญาควรมองออกว่าเหตุใดเหลียงอ๋องจึงได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เขาใช้เด็กปรุงยาวิเศษ ฮ่องเต้ทรงรับรู้เรื่องนี้ดีอีกทั้งออกโรงปกป้องเหลียงอ๋อง องค์รัชทายาทของพวกเราคงคิดอยากรับหน้าที่ปรุงยาวิเศษแทนเหลียงอ๋องเพื่อเอาใจฮ่องเต้ ตอนนี้คนในเมืองหลวงต่างเอาเป็นแบบอย่าง คนตระกูลสูงศักดิ์เริ่มปรุงยาวิเศษตาม ด้วยสติปัญญาของฉินเซียนเซิง ท่านคิดว่าฮ่องเต้จะทรงทำสิ่งที่น่าหวาดกลัวมากกว่านี้เพื่อให้มีอายุยืนยาวหรือไม่ องค์รัชทายาทอยากให้ฮ่องเต้ทรงพอพระทัย องค์รัชทายาทจะกล้าทำทุกอย่างหรือไม่เจ้าคะ”

“ดังนั้นข้าจึงต้องอยู่เคียงข้างองค์รัชทายาท ข้าต้องการประคับประคองให้องค์รัชทายาทเป็นจักรพรรดิที่ปรีชาชาญ ใช่ บัดนี้องค์รัชทายาทถูกฟางเหล่าควบคุมอยู่! ทว่า อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังมีข้าคอยห้ามปราม หากข้าจากไป เริ่นซื่อเจี๋ยทำตามคำสั่งของฟางเหล่าทุกอย่าง ถึงเวลานั้นองค์รัชทายาทคงเหลวแหลก จักรพรรดิคือรากฐานของแผ่นดิน หากรากฐานถูกทำลาย แคว้นนั้นคงไม่มีอยู่อีกต่อไป!” ฉินซ่างจื้อกล่าวถึงตรงนี้ หน้าอกของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง

ไป๋ชิงเหยียนเม้มปากมองไปทางฉินซ่างจื้อที่กล่าวอย่างโมโหจนใบหน้าและลำคอแดงก่ำ เมื่อเขาสงบลง ไป๋ชิงเหยียนจึงกล่าวขึ้น “จักรพรรดิไร้คุณธรรม กวางศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นจึงเสียชีวิตลง แต่ไรมาล้วนเป็นเช่นนี้ แคว้นต้าจิ้น ใต้หล้าแห่งนี้ ล้วนไม่ใช่ของตระกูลใดตระกูลหนึ่งเพียงตระกูลเดียว คนแข็งแกร่งบนโลกนี้มีมากมาย ผู้ใดครอบครองบัลลังก์นั้นได้ก็คือสายเลือดหลัก ฉินเซียนเซิงเป็นบัณฑิต บัญชาจากสวรรค์คือคุณธรรม ไม่ใช่อำนาจ ท่านไม่เข้าใจเหตุผลนี้หรือเจ้าคะ”

ฉินซ่างจื้ออึกอักลังเล

ไป๋ชิงเหยียนไม่รอให้เขาตอบคำถาม กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สิ่งใดคือคุณธรรมของจักรพรรดิเจ้าคะ หนึ่งคือปกป้องแคว้น ดูแลราษฎร ทำให้ชาวบ้านมีหลังคาไว้คุ้มกันภัย มีที่พักให้พักอาศัย ไม่อดอยากในฤดูหนาว ชาวบ้านมีชีวิตอย่างสงบสุข จักรพรรดิจึงจะรู้สึกสงบสุข! ไม่ว่าฮ่องเต้หรือองค์รัชทายาท ผู้ใดทำสิ่งที่กล่าวได้บ้างเจ้าคะ!”

ฉินซ่างจื้อกำหมัดแน่น ลุกขึ้นยืนคำนับไป๋ชิงเหยียน “ข้าไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของคุณหนูใหญ่ขอรับ ข้าคิดว่าการที่จักรพรรดิไร้คุณธรรม เราควรตักเตือนให้เขากลับมาในทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ผลัดเปลี่ยนเจ้านาย ทำให้ชาวบ้านทุกข์ทรมานกว่าเดิมขอรับ”

ฉินซ่างจื้อไม่เพียงไม่คล้อยตามไป๋ชิงเหยียน กลับกล่าวโน้มน้าวไป๋ชิงเหยียนด้วย “คุณหนูใหญ่ลองคิดดูนะขอรับว่าหากเจิ้นกั๋วอ๋องอยู่ที่นี่เขาจะก่อกบฏหรือจะช่วยพาจักรพรรดิกลับมาในทางที่ถูกต้อง ตระกูลไป๋จงรักภักดีมาทุกรุ่น เหตุใดคุณหนูจึงคิดแก้แค้น ทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมานานของตระกูลไป๋ด้วยขอรับ”

“คนตระกูลไป๋หรือกองทัพไป๋ล้วนยึดมั่นในศรัทธาแรกเริ่ม นั่นก็คือทำสงครามเพื่อความสงบของชาวบ้าน! พวกเราทำเพื่อให้ชาวบ้านได้อยู่อย่างสงบสุขเท่านั้น!” ไป๋ชิงเหยียนนั่งนิ่งอยู่ด้านตรงข้ามฉินซ่างจื้อ หญิงสาวเงยหน้าสบตาฉินซ่างจื้อด้วยแววตาที่หนักแน่นมั่นคง “ผู้ที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ทุกรุ่นจงรักภักดีคือชาวบ้าน ไม่ใช่จักรพรรดิ หากจักรพรรดิทำให้ชาวบ้านสงบสุข ตระกูลไป๋จะจงรักภักดีต่อเขา หากจักรพรรดิทำร้ายรังแกชาวบ้าน ตระกูลไป๋จะสละชีพปกป้องชาวบ้าน แม้ตัวตายก็ไม่หวั่น!”

คำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนไม่ได้กึกก้อง มันราบเรียบดั่งสายน้ำ ทว่า ฉินซ่างจื้อรู้สึกราวกับมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมเข้ามาในใจ

ตลาดกลางคืนของเมืองเฝินผิงค่อนข้างคึกคัก บนถนนเต็มไปด้วยโคมไฟสีเหลืองนวล ผู้คนเดินผ่านไปมา ดูเจริญรุ่งเรืองและครึกครื้นยิ่งนัก

แม้ตลาดกลางคืนที่นี่จะไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเท่าตลาดในเมืองหลวง ทว่า หอนางโลมเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและสนทนา โรงสุราประดับไฟสว่างจ้า ท่ามกลางโคมไฟที่แขวนสูงอยู่บนหลังคา บนถนนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชีวิตชาวบ้านธรรมดา

บรรดาเด็กเล็กที่สวมหน้ากากที่ใบหน้ายืนล้อมร้านขายตุ๊กตาปั้นน้ำตาล เด็กอ้วนที่สุดซึ่งดูเป็นผู้นำของกลุ่มแสดงท่าทีราวกับผู้ใหญ่ ตะโกนขอให้คนขายซึ่งเป็นชายชราใส่น้ำตาลให้มากหน่อย อย่าโกงพวกเขา

ชายฉกรรจ์ซึ่งมีผ้าขนหนูหยาบพาดอยู่ที่คอเพิ่งทำงานหนักเสร็จซื้อเหล้าจากเพิงไม้ซึ่งขึงผ้าใบสีฟ้า จากนั้นเดินไปยังฝั่งตรงข้าม บนเพิงไม้มีธงซึ่งเขียนคำว่าสุราปักอยู่ แสงไฟส่องริบหรี่อยู่เหนือเพิงไม้ ไหสุราเล็กใหญ่วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ เจ้าของร้านพาดผ้าขนหนูหยาบไว้ที่บ่า รับเหล้าที่ชายฉกรรจ์ส่งให้ จากนั้นถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันพักใหญ่

ชายฉกรรจ์บางคนจูงเด็กเล็กซึ่งกำลังชูผลไม้เคลือบน้ำตาลขึ้นสูงด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างล้วงหยิบเงินจากเอวออกมาจ่ายค่าเกี๊ยวน้ำให้หญิงชรา หญิงชราสวมผ้ากันเปื้อนสีฟ้ากึ่งเก่ากึ่งใหม่ไว้ที่เอว ป้ายมือที่เปื้อนแป้งเกี๊ยวไปที่ผ้ากันเปื้อนของตน จากนั้นรับเงินมาจากแขกแล้วเชิญแขกไปนั่งทาน

ชายฉกรรจ์ที่มีหน้าที่ต้มชากำลังวุ่นวายอยู่หน้าเตาผิงที่สูงประมาณเอวคน บุตรชายของชายฉกรรจ์กำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะด้วยรอยยิ้มพลางเชิญแขกเข้ามานั่งด้านใน

เมื่อเห็นเซียวหรงเหยี่ยนยืนอยู่นอกเพิงไม้ร้านน้ำชา บุตรชายของเจ้าของร้านรีบวิ่งออกมาจากด้านใน โค้งกายผายมือเชิญเซียวหรงเหยี่ยนเข้าไปด้านในยิ้มๆ “ท่านคือคนต่างถิ่นใช่หรือไม่ขอรับ ลองชิมน้ำชาดอกเหมยของร้านเราดูนะขอรับ ท่านพ่อของข้าได้รับสืบทอดวิชาชงชามาจากบรรพบุรุษตระกูลหวัง ขึ้นชื่อในเมืองเฝินผิงมากขอรับ!”

เซียวหรงเหยี่ยนมองดูเพิงน้ำชา จากนั้นพยักหน้า

บุตรชายของชายฉกรรจ์ที่กำลังต้มชารีบหันไปตะโกนบอกบิดา “ท่านพ่อ มีลูกค้าเข้าร้าน ต้มชาดอกเหมยสองที่ขอรับ!”

เซียวหรงเหยี่ยนนั่งลงบนเก้าอี้ เยว่สือเดินก้มหน้าตามเซียวหรงเหยี่ยนเข้าไปในเพิงน้ำชาที่คับแคบ จากนั้นนั่งลงข้างชายหนุ่ม

เมื่อน้ำชาร้อนถูกนำมาวางบนโต๊ะ มีเสียงหนึ่งเอ่ยเรียกเซียวหรงเหยี่ยน

เซียวหรงเหยี่ยนลุกขึ้นยืนคารวะเริ่นซื่อเจี๋ย “เริ่นเซียนเซิง…”

เริ่นซื่อเจี๋ยก้มศีรษะเล็กน้อยพลางเดินเข้ามาในเพิงไม้ “เซียวเซียนเซิงรู้จักร้านน้ำชาดอกเหมยหวังจี้เหมือนกันหรือขอรับ”

เริ่นซื่อเจี๋ย เซียวหรงเหยี่ยนและเยว่สือล้วนสูงโปร่ง เมื่อยืนอยู่ด้านในต้องโค้งตัวเล็กน้อย เป็นภาพที่ดูพิลึกยิ่งนัก

“นั่งลงก่อนเถิด!” เซียวหรงเหยี่ยนผายมือเชิญเริ่นซื่อเจี๋ยยิ้มๆ จากนั้นหันไปสั่งชายฉกรรจ์ที่กำลังต้มชา “นำชามาอีกที่”

บังเอิญพบกัน เซียวหรงเหยี่ยนและเริ่นซื่อเจี๋ยสนทนากันอย่างถูกคอ เมื่อดื่มน้ำชาเสร็จ เริ่นซื่อเจี๋ยพาเซียวหรงเหยี่ยนไปเดินเที่ยวตลาดกลางคืนด้วยตัวเอง เยว่สือสัมผัสได้ว่ามีคนลอบตามหลังพวกเขาอยู่ไม่ไกล ทว่า เจ้านายสั่งไม่ให้เขาส่งเสียงเอะอะ

“ฉินเซียนเซิงผู้นั้นเป็นคนมีความสามารถ ทว่า หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีเกินไป อีกทั้งถูกฟางเหล่ากดเอาไว้ ต่อให้เขามีความสามารถมากเพียงใดก็ไม่อาจแสดงออกมาได้ขอรับ” เริ่นซื่อเจี๋ยเดินไปพลางสนทนากับเซียวหรงเหยี่ยนไปพลาง เมื่อสายตาเหลือบเห็นคนที่จับตาดูพวกเขาอยู่ เริ่นซื่อเจี๋ยจึงชี้นิ้วไปยังร้านเกี๊ยวน้ำ “ร้านเกี๊ยวแห่งนี้มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเฝินผิง หากเซียวเซียนเซิงยังไม่ได้รับประทานอาหารเย็น ลองชิมดูสักหน่อยก็ดีนะขอรับ”

เซียวหรงเหยี่ยนโบกมือยิ้มๆ ทั้งสองคนเดินไปตามทะเลสาบ เริ่นซื่อเจี๋ยซื้ออาหารปลาจากคนขายอาหารปลาให้เซียวหรงเหยี่ยน ทั้งสองคนยืนอยู่บนสะพานไม้หมิงหูกลางทะเลสาบท่ามกลางแสงไฟนวล ที่นี่สว่างแจ้ง ไม่อาจหลบซ่อนตัวได้ แม้แต่คนที่ถูกส่งมาจับตาดูเริ่นซื่อเจี๋ยก็ทำได้เพียงแอบอยู่ตามพุ่มไม้ ไม่อาจเข้าใกล้คนทั้งสองได้

ที่นี่คือสะพานไม้หมิงหูที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองเฝินผิง

แสงไฟบนสะพานสว่างไสวจนสามารถมองเห็นปลาคาร์ปตัวอ้วนว่ายไปมาในทะเลสาบ เจ้าเมืองเฝินผิงชอบปลาคาร์ป เขาจึงสั่งห้ามไม่ให้ฆ่าหรือตกปลาคาร์ป หากถูกจับได้จะโดนทำโทษอย่างรุนแรง ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ชมวิวของเมืองเฝินผิง

เซียวหรงเหยี่ยนขมวดคิ้วแน่น เทอาหารปลาลงไปในทะเลสาบจำนวนหนึ่ง ชายหนุ่มก้มมองดูฝูงปลาคาร์ปแหวกว่ายมาแย่งอาหารกัน จากนั้นส่งอาหารปลาให้เยว่สือ รับผ้าขนหนูมาจากมือของเยว่สือ ก้มหน้าเช็ดมือพลางฟังในสิ่งที่เริ่นซื่อเจี๋ยกล่าว