บทที่ 586 จิ่งเทียนกงสิ้นหวัง การตัดสินใจของหานอวี้

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 586 จิ่งเทียนกงสิ้นหวัง การตัดสินใจของหานอวี้

ขณะที่จี้เซียนเสินกำลังวิตกอยู่นั้น ฟางเหลียงที่อยู่ชั้นฟ้าที่เก้าก็ตกตะลึงอย่างยิ่งเช่นกัน

ฟางเหลียงยังคงดูดซับต้นกำเนิดมรรคาสวรรค์อย่างต่อเนื่อง แต่ทันทีที่เขาเทพปู้โจวปรากฏขึ้น ความเร็วในการดูดซับของเขาพลันลดฮวบลง

เกิดอะไรขึ้น

ฟางเหลียงตระหนกอยู่บ้าง ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันอาจส่งผลกระทบต่อการผสานรวมระหว่างเขาและบรรพชนเต๋า ซ้ำอีกฝ่ายยังมาจากสำนักซ่อนเร้นเช่นกัน

“อาจารย์ปู่เกื้อหนุนเผ่าสวรรค์ก่อน จากนั้นก็เกื้อหนุนหลี่เต้าคง เขาจะทำอะไร”

ฟางเหลียงขมวดคิ้ว ในใจเต็มไปด้วยความฉงน

หานเจวี๋ยไม่ฝักใฝ่การแก่งแย่งชิงดีมิใช่หรือ

หากภาพรวมยังเป็นเช่นนี้ต่อไป วันหน้ามรรคาสวรรค์จะมิตกอยู่ในการควบคุมของหานเจวี๋ยหรอกหรือ

ยิ่งคิดฟางเหลียงก็ยิ่งตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าหานเจวี๋ยจะจัดฉากเอาไว้ลึกล้ำเช่นนี้โดยไม่มีผู้ใดรู้ตัวเลย

เขาอยากรู้ยิ่งนักว่าหานเจวี๋ยไปได้เขาเทพปู้โจวมาจากที่ใดกันแน่!

….

วันเวลาคล้อยผ่านดุจกระสวยทอผ้า

ผ่านไปอีกหนึ่งพันปีอย่างรวดเร็ว

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น มองไปทางเขาเทพปู้โจวเป็นลำดับแรก

เวลานี้เขาเทพปู้โจวสูงเกินเก้าล้านล้านลี้แล้ว พุ่งทะลุไปถึงเก้าชั้นฟ้า ไม่ทราบขนาดความยาว ทว่ากินพื้นที่ครอบคลุมไปกว่าสิบเมือง

สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนตั้งรกรากอาศัยอยู่ในเขาเทพปู้โจวอย่างสงบสุข ดวงชะตาเอ่อล้น หลี่เต้าคงบรรลุตบะระดับครึ่งอริยะตอนปลายได้ก็เพราะสิ่งนี้

หลี่เต้าคงรับศิษย์เข้าสู่สังกัดหลายแสนคนแล้ว คุณสมบัติหลากหลายต่างกันไป แม้แต่หานอวี้ก็ฝากตัวเข้าสู่สังกัดของหลี่เต้าคงเช่นกัน

ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งพันปี เขาเทพปู้โจวกลายเป็นกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ในแดนเซียนที่ไม่อาจดูแคลนได้ อย่างไรก็ตามขณะนี้ยักษ์ใหญ่ตนนี้ยังมิได้แสดงความทะเยอทะยานของตนออกมา ยังไม่เป็นภัยคุกคามต่อกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ ชั่วขณะ

ตอนนี้แดนเซียนน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เผ่าสวรรค์ เผ่าปีศาจ สำนักแยกนภา สำนักนิกายแห่งอริยะ เผ่ามนุษย์ เขาเทพปู้โจว วังเทพ วังมังกร เมืองนรก แต่ละกลุ่มอิทธิพลมีความสลับซับซ้อนต่างกันไป

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ได้สัมผัสความรู้สึกของอริยะแล้ว

ลอยตัวสูงส่งเหนือสรรพสิ่ง ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม

เปรียบเสมือนการเดินหมาก แต่หากกระดานหมากทำให้เจ้าหงุดหงิด เจ้าก็สามารถคว่ำกระดานได้ทันที แต่การอาศัยตัวหมากของตนเอาชนะคู่ต่อสู้ให้ได้ ความรู้สึกนั้นน่ารื่นรมย์กว่าการคว่ำกระดานมากนัก

ตอนนี้หานเจวี๋ยกำลังเดินหมากอยู่ ใช้เวลาฝึกบำเพ็ญมายาวนาน ได้วางแผนจัดฉากบ้างก็น่าสนุกดี

ตอนนี้เหล่าอริยะไม่กล้าพุ่งเป้ามาที่เขา รวมถึงกลุ่มอิทธิพลของเขาด้วย ทำให้เขาไม่ได้เล่นสนุกมากนัก

ทว่าหานเจวี๋ยก็ไม่ได้รีบร้อนเช่นกัน เมื่อขอบเขตอิทธิพลของสำนักซ่อนเร้นขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหล่าอริยะย่อมมีปฏิกิริยาตอบสนองในไม่ช้าก็เร็ว

หานเจวี๋ยสอดส่องดูหานอวี้

หานอวี้ฝึกบำเพ็ญอยู่ในมุมเล็กๆ แห่งหนึ่งบนเขาเทพปู้โจว บ่วงกรรมระหว่างเขาและหลี่เต้าคงเบาบางยิ่ง ทั้งสองน่าจะยังไม่เคยพบกัน

ด้วยนิสัยของหลี่เต้าคง คาดว่าคงไม่มีเวลาไปพบสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนเขา

หานเจวี๋ยสอดส่องหานทั่วต่อ

หานทั่วพิสูจน์ตัวต่อวังเทพแล้ว แม้แต่จิ่งเทียนกงก็ไม่กล้าหาเรื่องเขาอีก เพียงเพราะตบะของเด็กคนนี้ใกล้จะตามอี๋เทียนทันแล้ว

การผงาดขึ้นมาของหานทั่วก็กระตุ้นอี๋เทียนด้วยเช่นกัน อี๋เทียนไม่ท้ารบไปทั่วสารทิศอีกต่อไป ระยะนี้เร่งปิดด่านฝึกบำเพ็ญ

“สงบสุขดีจริงๆ”

หานเจวี๋ยกล่าวทอดถอนใจออกมาประโยคหนึ่ง

หวังว่าวันเวลาเช่นนี้จะดำเนินต่อไปอีกสักหลายๆ พันปี เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะต้องไร้พ่ายในมรรคาสวรรค์แล้วอย่างแน่นอน

รอจนเขาไร้พ่าย เขาก็จะไม่ทำอะไรอีก จะเตร็ดเตร่ไปทั่วสารทิศ สำรวจโลกหล้าอันโกลาหลวุ่นวาย

หานเจวี๋ยอ่านจดหมายต่ออีกสักพัก จากนั้นก็ฝึกบำเพ็ญต่ออย่างแช่มชื่น

….

วังเทพ ภายในตำหนักมืดสลัวหลังหนึ่ง

จิ่งเทียนกงนั่งอยู่บนบัลลังก์ ท่าทางเอื่อยเฉื่อย เขาสวมเสื้อคลุมสีดำปักลายแดง รวบผมสวมกวาน มีสง่าราศียิ่งนัก

เงาดำสายหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นในตำหนัก ราวกับแสงเทียน ส่ายไหวไม่หยุด

“เจ้าลัทธิ ศิษย์ของวังเทพไม่ยอมแยกตัวง่ายๆ ขอรับ”

เงาดำเอ่ยเสียงขรึม น้ำเสียงจนปัญญา

จิ่งเทียนกงขมวดคิ้ว ถามขึ้น “เพราะเหตุใด มิใช่ว่ามีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ถอดใจเพราะคุณสมบัติสู้ผู้อื่นมิได้หรอกหรือ”

เงาดำเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ปัญหามิได้อยู่ที่คุณสมบัติขอรับ แต่เพราะตำนานของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสร่างซาลงมากเหลือเกิน ศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนไม่เชื่อถือ”

จิ่งเทียนกงฟังแล้วขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม สบถเบาๆ “ฝูงสัตว์เลื้อยคลานไร้ปัญญา!”

เงาดำกล่าวว่า “สาวกที่เหลืออยู่ของลัทธิอันธการก็เข้าร่วมสำนักนิกายต่างๆ แล้ว สถานการณ์คล้ายคลึงกัน ชื่อเสียงของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการลดน้อยลงมากเกินไปจริงๆ ยากจะทำให้คนเชื่อมั่นได้”

จิ่งเทียนกงอดถอนหายใจไม่ได้

เงาดำเงียบงัน

ผ่านไปพักใหญ่

จิ่งเทียนกงสะบัดแขนเสื้อเอ่ยว่า “ไปเถอะ ข้าจะขอคำชี้แนะจากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการดู อีกไม่นานความน่าหวาดหวั่นของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะสำแดงต่อสรรพสิ่ง”

“รับบัญชา”

เงาดำเลือนหายไปจากจุดเดิม

จิ่งเทียนกงเงยหน้ามองหลังคาตำหนัก เป็นฉากเสมือนของธารดารา งดงามสุกสกาว

“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ยามไหนท่านผู้ทรงศักดิ์ถึงจะมาเข้าฝันข้า…ข้ามีใจแต่ไร้กำลังเหลือเกิน”

จิ่งเทียนกงสิ้นหวังอยู่บ้าง

เหตุใดหลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลง เจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็หายไปเลยเล่า

….

เขาเทพปู้โจว

หานทั่วเดินทอดน่องไปตามป่าเขา ระหว่างทางพบเห็นสิ่งมีชีวิตฝึกบำเพ็ญอยู่ไม่น้อยเลย การต่อสู้ฆ่าฟันเป็นเรื่องต้องห้ามในเขาเทพปู้โจว ดังนั้นจึงสงบสุขยิ่ง

สิ่งมีชีวิตที่นี่ถึงขั้นที่ไม่กล้าส่งเสียงดังด้วยซ้ำ เกรงว่าจะไปรบกวนหลี่เต้าคงที่อยู่บนยอดเขาเข้า

“ผู้อาวุโสหลี่ช่างร้ายกาจจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะก่อตั้งเขาเทพเช่นนี้ขึ้นได้”

หานทั่วสะท้อนใจอย่างยิ่ง ตลอดทางที่เดินมา ความใหญ่โตมโหฬารของเขาเทพปู้โจวทำให้เขาตื่นตะลึงยิ่ง

แม้ว่าจะเป็นตัวตนระดับเทพ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเขาเทพปู้โจว ก็รู้สึกราวกับตนเล็กจ้อยยิ่ง

ปราณฟ้าประทานบนเขาหนาแน่นยิ่งนัก อาณาเขตเต๋าของวังเทพมิอาจเทียบได้เลย

หลายวันต่อมา หานทั่วเดินมาถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง

เป้าหมายในการมาครั้งนี้ก็เพื่อตามหาหานอวี้ เพียงแต่หลังจากมาถึงเขาเทพปู้โจว เขาก็ดื่มด่ำอยู่กับที่นี่ จึงล่าช้าเสียเวลาไปหลายวัน

หานทั่วจับสัมผัสถึงกลิ่นอายภายในถ้ำได้แล้ว เป็นหานอวี้

“เขาคือเชื้อสายของข้าจริงๆ”

หานทั่วพึมพำกับตัวเอง มุมปากยกยิ้มน้อยๆ

ไม่นึกเลยว่าทายาทรุ่นหลังของเขาจะยังมีคนโดดเด่นเช่นนี้ปรากฏขึ้นด้วย เขาพลันรู้สึกว่าตนไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป

“สหายน้อยด้านใน ออกมาทีเถิด”

หานทั่วเปิดปากกล่าว สองมือยกไพล่หลังไว้โดยไม่รู้ตัว วางท่าเป็นผู้อาวุโส

หานอวี้ก้าวออกมาจากถ้ำอย่างระมัดระวัง ยามที่แสงตะวันส่องกระทบร่างเขา หานทั่วพลันตะลึง

เขาหลุดพึมพำออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ท่านพ่อ…”

หานอวี้ขมวดคิ้ว ถามด้วยความระแวง “ท่านเป็นผู้ใด เหตุใดถึง…”

เรียกข้าว่าพ่อ!

วาจาส่วนหลังเขาไม่กล้าเอ่ยออกมา เกรงจะล่วงเกินคนผู้นี้เข้า

เขารับรู้ได้ว่าหานทั่วแข็งแกร่งกว่าตน

หานทั่วได้สติกลับมา แววตาอ่อนโยนลง เอ่ยยิ้มๆ “ข้ามีนามว่าหานทั่ว”

หานทั่ว!

หานอวี้เบิกตากว้าง เขาไม่มีทางลืมเลือนชื่อนี้

ชิ้ง…

หานอวี้ชักกระบี่ออกมา พุ่งเข้าใส่หานทั่ว

หานทั่วขมวดคิ้ว ดีดนิ้วทีหนึ่ง หานอวี้ถูกดีดกระเด็นออกไป ขนเข้ากับผนังเขา

หานอวี้กัดฟัน ลุกขึ้นยืน คิดจะเข้าโจมตีต่อ ผลคือถูกพลังเวทอันกล้าแกร่งสะกดไว้

มิใช่แค่เขา หานทั่วก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เช่นกัน

หานทั่วเงยหน้ามองขึ้นไปทางยอดเขา เอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโสหลี่ ขออภัยด้วย พวกเราไม่ลงมือกันอีกแล้ว เขาคือชนรุ่นหลังของข้า ข้ามาหาเขา”

หลี่เต้าคงมิได้ตอบกลับ แต่พลังเวทที่พันธนาการพวกเขาไว้หายไปแล้ว

หานอวี้กัดฟันถาม “ท่านมาหาข้าทำไม”

หานทั่วทราบดีว่าเหตุใดหานอวี้ถึงเคืองขุ่นเช่นนี้ ถึงอย่างไรตระกูลหานก็ถูกสังหารล้างตระกูล

“ตอนนี้ข้าคือผู้ดูแลของวังเทพ นับว่ามีอำนาจอยู่บ้าง ไปกับข้าเถอะ วันหน้าจะได้ลำบากน้อยลงหน่อย” หานทั่วเอ่ยอย่างใจเย็น

หานอวี้แค่นเสียง “ข้าไม่ไป!”

“เพราะเหตุใด”

“ในอดีตข้าเคยขอร้องอ้อนวอนท่าน ท่านไม่ตอบรับเลย ตอนนี้ข้าไม่มีทางขอร้องท่านอีก”

“ตระกูลหานถูกล้างบาง เจ้านึกโทษข้าเช่นนั้นหรือ”

หานอวี้เงียบไป อันที่จริงเรื่องนี้ไม่อาจกล่าวโทษหานทั่วได้ กล่าวได้เพียงว่าตระกูลหานอ่อนแอเกินไป ปกป้องตัวเองไม่ได้

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยว่า “โทษท่านไม่ได้จริงๆ แต่ข้าไม่มีทางไปกับท่าน หานทั่ว ท่านรอก่อนเถอะ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่ข้าจะเหนือกว่าท่าน ข้าจะรอให้ถึงวันนั้น วันที่ท่านต้องเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือจากข้า!”

………………………………………………………………