ตอนที่ 457 หัวใจขององค์เง็กเซียนในชุดเสื้อคลุมสีขาว (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 457 หัวใจขององค์เง็กเซียนในชุดเสื้อคลุมสีขาว (1)

ต้า~

ของเหลววิญญาณใสตกลงมาจากหินย้อยและตกลงสู่สระเล็กๆ

ที่ขอบดินแดนเทวะทั้งห้า ลึกลงไปในพื้นดิน ในถ้ำที่เปล่งแสงหลากสี

จินฉานจื่อกำลังนั่งขัดสมาธิริมสระวิญญาณ ใบหน้าของเขาซีดและเสื้อคลุมยาวของเขาเปื้อนเลือด ร่างของเขาตึงเครียด และตัวสั่นเป็นครั้งคราว เขาฝืนยิ้มเล็กน้อย… เขากลัวหรือไม่?

ช่างน่าขันนัก สัตว์ร้ายบรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่ จักจั่นทองหกปีก ถูกสำนักบำเพ็ญประจิมปราบเพราะถูกจอมปราชญ์จับด้วยตัวเอง! แล้วจะเรียกว่ากลัวได้อย่างไร?

เขาแค่… กลัว ความกลัวมาจากสัญชาตญาณของเขาและรูปร่างที่เลือนรางข้างๆ จินฉานจื่อ

ที่ข้างๆ จินฉานจื่อนั้น สตรีในชุดสีแดงเลือด แกว่งเท้าดอกบัวของนาง ดูเหมือนว่า ร่างเปี่ยมเสน่ห์ของนาง จะรวมตัวกันเป็นหมอก นางแตะหน้าผากของจินฉานจื่อเบาๆ ด้วยนิ้วเรียวยาวของนาง แล้วค่อยๆ ลากผ่าน

“ผู้อาวุโส” จินฉานจื่อยิ้มและกล่าวว่า “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสช่วยชีวิตข้า”

“ฮิฮิฮิ…” เสียงหัวเราะเบาๆ เจือความเกียจคร้านอยู่ในนั้น เห็นได้ชัดว่า อ่อนโยนและอ่อนหวาน แต่เมื่อดังเข้าไปในหูของจินฉานจื่อแล้ว มันกลับฟังดูเสียดแทงหูเป็นพิเศษ จินฉานจื่อเชื่อว่า หากเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาจะไม่กลัวยุงโลหิตปีกดำ แม้นางจะโจมตี เขาก็สามารถหลบหนีด้วยพลังเวทของเขาได้

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เขาได้รับบาดเจ็บจากกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของเซียนแห่งศาลสวรรค์ และสตรีที่อยู่ข้างๆ เขาก็ได้ช่วยจับมันเอาไว้…

“ข้าช่วยชีวิตเจ้าหรือ?”

“แน่นอน”

จินฉานจื่อตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่าขณะที่เขากล่าวจบ ลูกกระเดือกของเขาก็สั่นเล็กน้อย

ในขณะนั้น ผู้บำเพ็ญเหวินจิงเหยียบแผ่นหินข้างๆ เขาด้วยเท้าราวหยกของนางแล้วเอนหลังช้าๆ ใบหน้าของนางฉายรอยขี้เล่น ซึ่งสามารถดึงดูดสิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้ นางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าของจินฉานจื่อและสูดจมูกเบาๆ “เชอะ เหตุใดเลือดของเจ้าถึงมีกลิ่นเหม็นจนข้าไม่อยากอาหาร … ”

จินฉานจื่อฝืนยิ้มและกล่าวว่า “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสดูแลข้า เราทั้งคู่ทำงานให้กับนายท่าน แน่นอนว่า เราไม่อาจมีความขัดแย้งกันภายในได้”

ฮะ

ร่างของผู้บำเพ็ญเหวินจิงกะพริบแวบวาบเล็กน้อยแล้วไปปรากฏขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของสระ ดวงตาหงส์ของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจเล็กน้อย

“อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโส ข้าไม่คุ้นเคยกับเจ้า

วันนี้ข้าช่วยเจ้าเอาไว้เพราะบังเอิญผ่านมา หากข้าไม่ช่วยเจ้า ข้าก็เกรงว่าสำนักจะตำหนิข้าได้

จงจำไว้ว่าอย่าโหดเหี้ยมเกินไปนัก เหลือสิ่งดีๆไว้ให้ผู้อื่นบ้าง

ไม่เช่นนั้น ครั้งหน้าที่ข้าพบเจ้าแบบนี้ มันจะไม่ง่ายอย่าง… การรับเสี้ยวปราณวิญญาณของเจ้า”

ขณะที่กล่าว ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็ค่อยๆ ยกมือซ้ายขึ้น ทันใดนั้น พลังโลหิตก็รายล้อมรอบปลายนิ้วขาวราวหยกของนาง แล้วก่อตัวขึ้นเป็นจั๊กจั่นเลือด นางบีบมันเบาๆ ด้วยนิ้วเรียวของนาง แล้วจั๊กจั่นเลือดก็ระเบิด

เมื่อใดกัน?!

ใบหน้าของจินฉานจื่อซีดเผือดทันที ร่างของเขาสั่นเทาเล็กน้อย และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร

ทว่าผู้บำเพ็ญเหวินจิงแค่นเสียงเย็นชาและไม่มองเขาอีก เอวหยุ่นของนางขยับเล็กน้อย แล้วร่างของนางก็หายวับไป เหลือรอยยิ้มจางๆ เลือดจางๆ และเสียงที่เสียดแทงไปยังหูของจินฉานจื่อ

วิ้งๆ~

ใบหน้าบอบบางของจินฉานจื่อสั่นเล็กน้อย มือซ้ายของเขากำหมัดแน่น และพื้นดินภายในรัศมีพันลี้ก็ดังกึกก้องไม่หยุด

เหวินจิงควรรู้ว่า นางต้องทำอย่างไรต่อไป หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิด เขาเชื่อมั่นในความสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ของผู้บำเพ็ญเหวินจิงมากกว่าอาจารย์ลุงจ้าว ผู้บำเพ็ญเหวินจิงไม่ได้มาที่นี่ในวันนี้เพื่อไปเยี่ยมเยือนองค์เง็กเซียน ไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ ใจมนุษย์นั้นสุดจะหยั่งถึง หลี่ฉางโซ่วไม่อาจเปิดเผยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญเหวินจิงต่อองค์เง็กเซียนได้ทุกอย่าง มันไม่มีเหตุผลใดเพราะผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพก็คือ ศาลสวรรค์และสำนักบำเพ็ญประจิม หากพวกเขาทั้งสอง ‘เชื่อมโยงกันระหว่างมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ ก็ไม่จำเป็นต้องประโคมในเรื่องนี้

หากเขาแจ้งให้องค์เง็กเซียนรู้ก่อนล่วงหน้าว่า ผู้บำเพ็ญเหวินจิงเป็นหมากลับของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินที่ได้ฝังไว้ทางสำนักบำเพ็ญประจิม นางก็อาจกลายเป็น “เบี้ยที่ใช้ในการเจรจาต่อรอง” ในอนาคต

ในช่วงมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ องค์เง็กเซียน เป็นผู้เดินหมากเพียงครึ่งกระดาน เขาไม่อาจบนพื้นฐานธรรมชาติของมนุษย์ได้ หลี่ฉางโซ่วชัดเจนในเรื่องนี้เมื่อเขาพัฒนาแผนกลยุทธ์ของเผ่ามังกรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

วันนี้เขาต้องการให้ผู้บำเพ็ญเหวินจิงจัดการตามสถานการณ์ หากจินฉานจื่อสามารถหลบหนีได้ เขาจะปล่อยให้ผู้บำเพ็ญเหวินจิงรับจินฉานจื่อ ดูเหมือนว่า นางจะให้ความช่วยเหลือเขาในยามจำเป็น แต่ความจริงแล้ว นางเป็นเพียงบุปผาบนแพรพรรณ[1]เท่านั้น และจัดฉากให้สำนักบำเพ็ญประจิม

ในระหว่างแผนต่อไป ผู้บำเพ็ญเหวินจิงไม่ได้วางแผนเพียงพอ นางก็จะแสดงความเมตตาต่อจินฉานจื่อ หากเหวินจิงพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ นางย่อมจะชกจินฉานจื่อไปสักสองหมัด และเตือนเขาว่าอย่าเอาแต่ผลงานเข้าตัวเองอีกในอนาคต ด้วยวิธีนี้ นางก็จะได้รับความไว้วางใจจากสำนักบำเพ็ญประจิม

จะมีการรับรองความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่ว ในฐานะเทพแห่งท้องทะเลได้มาถึงเรืออมตะของเผ่ามังกรพร้อมกับองค์เง็กเซียนและแม่ทัพตงมู่แล้ว

กองทหารของวังมังกรทะเลประจิมได้เข้าล้อมสถานที่เอาไว้แล้ว

องค์ชายมังกรสองสามคนโค้งคำนับไปข้างหน้า อ๋าวฉื้อจากวังมังกรทะเลประจิมร้องไห้ออกมา เขาบอกว่าเขาทำผิด คบสหายผิดคนและชักนำจิ้งจอกเข้าห้องหับ[2]

“ขุนนางฉางเกิง” องค์เง็กเซียนเตือนเขาผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ปราณวิญญาณขององค์ชายมังกรเหล่านี้ค่อนข้างแปลก”

หลี่ฉางโซ่วตอบผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ฝ่าบาท นี่เป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไปที่นั่น

ปรมาจารย์เผ่ามังกรได้สังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว แต่ไม่สะดวกที่เราจะถามเรื่องนี้” องค์เง็กเซียนพยักหน้าพลางยิ้มและไม่พูดอะไรอีก ทว่าเพียงไม่นาน องค์เง็กเซียนก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ลำบากกว่าที่หลี่ฉางโซ่วกล่าว ในขณะนั้น สองในสามของผู้คนที่ออกมาจากวังมังกรประจิมนั้น มีฐานพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกบำเพ็ญมนุษย์ระดับเซียนเทียน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง… พวกเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยคนทรยศกลุ่มใหญ่

จากนั้น องค์เง็กเซียนก็มองไปที่หลี่ฉางโซ่วที่กำลังสนทนาและหัวเราะกับหุ่นเชิดของสำนักบำเพ็ญประจิม

ความจริงแล้ว…

เหตุการณ์ในระยะใกล้นั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการพูดคุยไม่รู้จบ แต่เมื่อมองจากระยะไกลแล้ว ก็เห็นได้ว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนมีมีดซ่อนอยู่ข้างหลัง เต็มไปด้วยเหลี่ยมเล่ห์ เสแสร้ง พร้อมทิ่มแทงกันได้ตลอดเวลา

ดวงตาขององค์เง็กเซียนเผยความคิดและความมุ่งมั่น แต่ในไม่ช้าก็กลับมากระจ่างใสชัดเจนดังเดิม

ที่ด้านข้างนั้น แม่ทัพตงมู่สัมผัสได้เป็นอย่างดีว่า องค์เง็กเซียนดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วได้พูดคุยเล็กน้อยต่อหน้าพวกเขา มังกรครามหลายร้อยตัวบินจากทางใต้และทางเหนือ เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เรืออมตะ พวกเขาก็แปลงร่างเป็นมนุษย์

“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก!”

อ๋าวอี่รีบวิ่งไปพร้อมกับบรรดาปรมาจารย์หลายร้อยคนแล้วประสานมือคารวะให้หลี่ฉางโซ่วจากระยะไกล

หลี่ฉางโซ่วพยักหน้ารับอย่างสงบและไม่เปิดเผยตัวตนขององค์เง็กเซียน

คราวนี้ หลี่ฉางโซ่วกล่าวชื่นชมอ๋าวอี่อย่างไม่ตระหนี่เลยกับ “การมองการณ์ไกล” ของอ๋าวอี่ต่อหน้าองค์เง็กเซียน เขาชื่นชมอ๋าวอี่อย่างสุดๆ … หลังจากที่ปรมาจารย์มังกรกล่าวขอบคุณ หลี่ฉางโซ่ว องค์เง็กเซียนก็ส่งข้อความเสียงว่า “ฉางเกิง กลับกันเถิด ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว”

หลี่ฉางโซ่วจึงกล่าวอำลาปรมาจารย์เผ่ามังกร และก่อนที่เขาจะจากไป เขาก็ได้เตือนอ๋าวอี่ว่าอย่าลืมเตรียมให้เทพน้อยลาดตระเวน ออกลาดตระเวนทั้งสี่คาบสมุทร และก่อนออกเดินทาง หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวกับอ๋าวอี่ว่า “หลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว อ๋าวอี่ จงมาที่เมืองอันสุ่ย ข้ามีอะไรบางอย่างจะให้เจ้า”

“ขอรับ!”

อ๋าวอี่ก้มศีรษะ ประสานมือแล้วโค้งคารวะให้เพื่อส่งหลี่ฉางโซ่วและคนอื่นๆ จากไป

หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฉางโซ่วก็ขับเคลื่อนเรือไม้และเดินทางต่อไปรอบๆ ทะเลประจิม

เขาและแม่ทัพตงมู่พบว่า องค์เง็กเซียนมีสีหน้าท่าทางบางอย่างผิดปกติไป มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงสีหน้าท่าทางสงบสุขและสบายใจที่องค์เง็กเซียนเคยมีเมื่อเขาลงสู่โลกมนุษย์ครั้งแรก

ดูเหมือนว่า เขาจะมีอะไรอยู่ในใจ… แม่ทัพตงมู่และหลี่ฉางโช่วสบตากัน ทั้งสองต่างไม่เข้าใจ หลังจากนั้นไม่นาน องค์เง็กเซียนก็โบกมือและหยุดร้องเพลงเต้นรำ เขาดื่มสุราที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับจิ่วจิ่วเสร็จแล้ว

“ช่างมันเถิด!”

………………………………………………………………..

[1] สิ่งของดีๆ บางอย่างที่เพิ่มเติมเข้ามาให้กับสิ่งของดีๆ หรือเหตุการณ์ที่ดีๆ อยู่แล้วมีนัยว่า เป็นสิ่งของที่มีความสำคัญน้อย จะมีหรือไม่มีก็ได้ ไม่ใช่ของจำเป็น

[2] เปรียบเทียบกับการนำคนชั่วหรือศัตรูมาไว้ใกล้ตัวก็ไม่ต่างกับการนำเภทภัยมาไว้ข้างกาย สุดท้ายกลับส่งผลร้ายต่อตนเองเกินกว่าที่จะคาดคิด คล้ายกับชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน