บทที่ 468 เทพเสี่ยวชี
เซวียนผิงโหวขึ้นนั่งบนรถม้าอีกคัน สารถีก็ถามเขาว่าไปไหน ทว่าเขากลับไม่ตอบ
เขารู้สึกแย่เหลือเกิน ที่ลงจากรถม้ามาทั้งอย่างนั้นเป็นเพราะเขาไม่ต้องการจะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองต่อหน้าองค์หญิงซิ่นหยาง
เขาเป็นผู้ชาย ต่อให้เดือดดาลเพียงใดก็ต้องอดทนไว้ จะมาลงที่สตรีมิได้เด็ดขาด
สารถีเองก็ไม่ได้ใจกล้าบ้าบิ่นเหมือนฉางจิ่งที่จะพาเขาไปที่จวนองค์หญิงหรือไม่ก็จวนเซวียนผิงโหว จึงได้แต่ลัดเลาะไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย วนรอบวังหลวงรอบแล้วรอบเล่า จนม้าสองตัวแทบตาลาย แต่ในที่สุดเสียงนิ่งเรียบของเซวียนผิงโหวก็ดังออกมาจากห้องโดยสาร
“ไปตรอกปี้สุ่ย”
คนขับรถม้าถอนหายใจอย่างโล่งอก
ฟ้ามืดแล้ว โชคดีที่ไม่ต้องขับรถวนจนฟ้าสาง
อารมณ์ของเซวียนผิงโหวค่อยๆ สงบลง
ตอนที่ฮ่องเต้จับคู่ให้เขากับฉินเฟิงหว่าน เขาเองก็ประหลาดใจไม่น้อย เพราะน้องสาวของเขาก็แต่งเข้าวังเป็นฮองเฮาไปแล้ว ตระกูลเซียวและราชวงศ์ก็กลายเป็นทองแผ่นเดียวกันไปแล้ว ฮ่องเต้ไม่มีความจำเป็นจะต้องเกี่ยวดองกับตระกูลเซียวอีก
ยิ่งไปกว่านั้นชื่อเสียงเรียงนามของเขาก็ใช่ว่าจะดี ให้องค์หญิงแต่งงานกับเขาเช่นนี้ รังแต่จะทำให้นางเสียหาย
ตอนนั้นฮ่องเต้ไม่ได้บอกกับเขาว่าทั้งหมดเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เขาคิดแล้วคิดอีก คิดไปคิดมาก็ทึกทักไปว่าอาจจะเป็นองค์หญิงเองที่ถูกตาต้องใจเขา
ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียหน่อย ในเมื่อเขาหล่อเหลาถึงเพียงนี้
เขาเติบโตมาในค่ายทหาร กินอยู่มากับบรรดาชายฉกรรจ์ พ่อของเขาไม่เคยสอนว่าต้องปฏิบัติกับภรรยาของตัวเองเช่นไร แต่เขานั้นก็รู้ดีว่าแม่ของตัวเองไม่ได้มีความสุขมากนัก
ในเรือนมีอนุมากมายคอยกะเกณฑ์แม่ของเขา แม้แม่เขาจะมีอำนาจอยู่ในมือ แต่ความจริงแล้วทุกข์ใจเหลือเกิน
เขาเคยพบองค์หญิงซิ่นหยางมาก่อน ชายหนุ่มพบหญิงสาว หากบอกว่าไม่ได้ดูหน้าตาก็คงโกหก โดยเฉพาะแรกพบ
องค์หญิงซิ่นหยางนั้นงามนัก งามถึงขั้นที่เขาไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ ไม่มีชายใดไม่ใจสั่นเพราะหญิงเช่นนาง
เขาแต่งงานกับนางด้วยความจริงใจ ยามเคารพฟ้าดิน เขายังคิดกับตัวเองในใจว่า นับแต่นี้ไปเซียวจี่เองก็เป็นคนมีครอบครัวแล้ว
เขาสวมชุดสีมงคลสีแดงสด เปิดผ้าคลุมหน้าของนางความอิ่มเอมใจ ทว่านางกลับใช้กริชเย็นยะเยือกแทงเข้าที่หัวใจของเขา…
“โธ่เว้ย!”
อารมณ์ที่กว่าจะสงบลงได้ของเซวียนผิงโหวก็กลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง เขากระชากคอเสื้อตัวเองจนหลุดลุ่ย เรียวคิ้วผูกกันเป็นปม “ยังไม่ถึงอีกรึ”
คนขับตกตระหนกเพราะน้ำเสียงนิ่งเรียบเจือความโกรธของเขา จึงรีบขานตอบในทันใด“ใกล้ ใกล้ ใกล้ ใกล้ถึงแล้วขอรับ”
“ไม่ต้องไปตรอกปี้สุ่ยแล้ว” เซวียนผิงโหวเอ่ย
“เอ่อ เช่นนั้นจะไปที่ใดหรือขอรับ” ท่านเปลี่ยนใจเร็วไปหน่อยไหมขอรับ
มิใช่เซวียนผิงโหวไม่อยากเจอเซียวเหิง แต่เพราะเขาอารมณ์ขุ่นมัว กลัวว่าลูกชายจะตกใจเสียมากกว่า
เขาครุ่นคิด คิดว่าจะไปหาเรื่องตาเฒ่ากู้เฉาชกกันสักตั้งดีกว่า
พอไปถึงแล้วถึงได้รู้ว่าตาโหวเฒ่านั้นออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแล้ว ซ้ำยังไม่บอกคนที่เรือนอีกว่าไปที่ใด คงจะออกไปเที่ยวเล่นชมวิวทิวทัศน์อย่างนั้นหรือ
ออกไปเที่ยวเล่นชมวิวอย่างนั้นรึ ชาตินี้ก็ไม่มีวันเกิดขึ้นหรอก ตาโหวเฒ่านั่นต้องถูกฮ่องเต้สั่งให้ไปทำอะไรสักอย่างแน่นอน
เซวียนผิงโหวคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็กลับไปยังจวนเซวียนผิงโหวแต่โดยดี เขาเรียกพ่อบ้านหลิวเข้าพบ ฟังพ่อบ้านหลิวเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้เขาฟัง
เรื่องของหนิงอ๋อง องค์หญิงซิ่นหยางเล่าให้ฟังแล้ว
ส่วนเรื่องของจิ้งไท่เฟยเพิ่งรู้จากปากของพ่อบ้านหลิว
ราชสำนักประกาศออกไปว่าจิ้งไท่เฟยสิ้นพระชนม์กะทันหัน พ่อบ้านหลิวนั้นสนิทสนมกับตำหนักคุนหนิง หากจะรู้เรื่องวงในก็คงไม่แปลก
จิ้งไท่เฟยเป็นกบฏที่รอดชีวิตมาจากราชวงศ์ก่อน ที่เซียวเหิงโดนวางยาพิษในวัยเด็กนั้นก็เป็นฝีมือนางคอยบงการ ที่จวงไทเฮาและฮ่องเต้ระหองระแหงกันก็เป็นเพราะนางชักใย เรื่องการแต่งงานขององค์หญิงหนิงอันก็เป็นแผนการของนางเช่นกัน
“สงสารองค์หญิงหนิงอันยิ่งนัก ที่ต้องกลายเป็นหมากในแผนการของแม่ตัวเอง” พ่อบ้านหลิวพูดจากใจจริง
การตายของจิ้งไท่เฟยนั่นเป็นที่กล่าวขวัญกันในเมื่อหลวงอยู่พักใหญ่ ทว่ายามนี่เรื่องซาไปแล้ว แต่เซวียนผิวโหวเพิ่งรู้เรื่องราวทั้งหมด ว่ากันตามหลังแล้วก็คงตกใจ เพียงแต่ก่อนเดินทางออกจากเมืองหลวง เขาล่วงรู้แล้วว่าจี้จิ่วอาวุโสกำลังวางแผนเล่นงานจิ้งไท่เฟย จึงพอคาดเดาได้ว่าจิ้งไท่เฟยมิได้จัดการง่านอย่างที่เห็น
เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่านางจะพัวพันกับกบฏจากราชวงศ์ก่อน
ตามข่าวที่เซียวฮองเฮาสืบรู้มา หลายปีที่ผ่านมานี้จิ้งไท่เฟยส่งจดหมายติดต่อกับค่ายชายแดนมาตลอด พวกเขานึกว่านางส่งจดหมายถึงองค์หญิงหนิงอันเสียอีก ความจริงแล้วคงติดต่อกับเหล่ากบฏที่รอดชีวิตสินะ
ฮ่องเต้มีราชโองการมอบหมายให้ถังเย่ว์ซานเป็นผู้นำทัพไปยังค่ายชายแดน ฉากหน้าเหมือนเดินทางไปเพื่อเยี่ยมเยียนองค์หญิงหนิงอัน อันที่จริงแล้วคือการนำทัพไปกวาดล้างกบฏที่หลงเหลืออยู่
“ภารกิจนี้ควรเป็นของท่านพี่ แต่น่าเสียดายที่ท่านพี่ไม่อยู่เมืองหลวง ฝ่าบาทจึงได้มอบหมายให้ถังเย่ว์ซาน”
นี่คือคำพูดของเซียวฮองเฮา
เซวียนผิงโหวไม่ได้สนใจความดีความชอบจากภารกิจสักเท่าไร แม้เขาจะรบเก่ง แต่ก็มิได้หมายความว่าเขาชอบศึกสงคราม เรื่องบางเรื่องเป็นหน้าที่ ต้องแบกรับอย่างไม่มีข้อแม้
หากเขาปกป้องเขตแดนไว้ไม่ได้ แคว้นก็จะแตกสลาย ตระกูลของเขาก็จะสูญสิ้น
เซียวฮองเข้าไม่รู้เรื่องของท่านเหล่าโหวกู้ ทว่าเรื่องนี้ต่อให้นางไม่พูด เซวียนผิงโหวก็พอเดาได้เองว่าเขาคงตามถังเย่ว์ซานขึ้นเหนือไปด้วย
ถังเย่ว์ซานผู้นี้ต้องการสร้างคุณูปการใหญ่หลวง เขาที่ยอมให้ตาโหวเฒ่านั่นร่วมทางไปด้วย เป็นไปได้ว่าตาโหวเฒ่านั่นไม่ได้ไปเพื่อสู้รบ
“ไปช่วยองค์หญิงหนิงอันกลับมาหรือ”
เซวียนผิงโหวลูบคางใช้ความคิด
หากลูกเขยอย่างฟู่หม่าก็เป็นหมากตัวหนึ่งของจิ้งไท่เฟย เช่นนั้นแล้วความปลอดภัยขององค์หญิงหนิงอันจึงไม่น่าวางใจสักเท่าใด
พอนึกถึงองค์หญิงหนิงอัน เซวียนผิงโหวก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ตอนนั้นจวงไทเฮาก็เหมือนจะอยากจับคู่เขาให้แต่งงานกับองค์หญิงหนิงอัน แต่นางมักทำตัวตื่นตระหนกเหมือนกระต่ายน้อยอยู่เสมอ เขาไม่ชอบสักเท่าไหร่
เขาเป็นชายหยาบกระด้างไร้ซึ่งความอ่อนโยน คงอยู่กับกระต่ายน้อยแสนบอบบางเช่นนั้นไม่ได้
“พอเถิด เจ้ากลับไปเถิด” เซวียนผิงโหวเอ่ยเสียงเหนื่อยล้า
“ท่านโหว” พ่อบ้านหลิวยิ้ม “จะรับท่านโหวน้อยกลับมาหรือไม่ขอรับ”
หากเซียวฮองเฮาต้องการติดต่อกับเซวียนผิงโหวต่อติดต่อผ่านทางพ่อบ้านหลิว เพราะอย่างนั้นพ่อบ้านหลิวจึงรู้เรื่องที่ลูกนอกสมรสคนนั้นคือท่านโหวน้อย
เซวียนผิงโหวมองเขาด้วยแววตาเรียบเฉย “นี่เจ้า ยังไม่ไปรับเขากลับมาหรือ”
พ่อบ้านหลิวถูกถามกลับจนพูดไม่ออก
ตั้งแต่ยามที่อยู่ชนบทเขาก็ไปรับมาแล้ว จนคนเขามาอยู่ในเมืองหลวงแล้วก็ยังพาตัวกลับจวนไม่ได้…
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือท่านโหวน้อย จึงไม่ได้นอบน้อมสักเท่าไหร่ พอมาคิดดูแล้วก็เสียวสันหลังอยู่เหมือนกัน
เซวียนผิงโหวตั้งใจว่าจะหลับสักตื่น ทว่ายามนี้กลับลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วมุ่งหน้าออกประตูไป “เรื่องนี้ข้าเป็นคนเริ่มเอง เจ้าอย่าได้เข้ามาข้องเกี่ยวเลย วันหน้าเองก็ไม่จำเป็นต้องมาหาสู่กับตรอกปี้สุ่ยอีก”
“ตอนนี้ท่านโหวคงยังไม่คิดจะประกาศตัวตนของท่านโหวน้อยใช่ไหมขอรับ”
“อืม” ด้วยนิสัยของเซวียนผิงโหว หากเป็นแต่ก่อนของป่าวประกาศไปทั่วแล้ว ทว่าคราวนี้กลับระวังตัวเองเป็นอย่างมาก
เขาไม่ได้กลัวพวกคนชั่วเหล่านั้น แต่เขาเคยเสียอาเหิงไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาจะเสียอีกฝ่ายไปเป็นครั้งที่สองไม่ได้
กลับมาถึงเมืองหลวงแล้วก็ย่อมต้องไปรายงานตัวกับฮ่องเต้
ฮ่องเต้ขอโทษอย่างใจจริงอีกครั้งที่ลูกของข้าฆ่าลูกของเจ้า
เซวียนผิงโหวมาคิดดูแล้ว หากไม่บอกฮ่องเต้เห็นทีจะดีกว่า
ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ริบสัมปทานเหมืองแร่และเก็บฟืนของเขา และเขาก็เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียด้วย
ยามย่ำค่ำ
ในที่สุดท่านโหวกู้ก็เลิกงานเสียที
ตำหนักที่จวงไทเฮามีดำริให้สร้างนั้นได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว ไม่นานก็ก่อสร้างเสร็จ อันที่จริงเขาสั่งการงานที่ควรจะสั่งไปหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปตรวจงานทุกวัน แต่ช่วงนี้เครื่องสูบลมเป็นที่ต้องการอย่างมาก ทั้งยังมีอุปกรณ์ทำไร่ทำนาที่แพร่หลายกันในหมู่ชาวเมืองเช่น รถวิดน้ำ เครื่องเกี่ยว เครื่องสี
กรมโยธาจึงต้องเร่งส่งคนไปร่ำเรียนวิธีผลิต
เพราะอุบัติเหตุเครื่องสูบลมเมื่อคราวก่อน ครั้งนี้กรมโยธาจึงไม่กล้าอวดดี แต่ร่ำเรียนวิชาจากชาวเมืองอย่างถ่อมตนแทน
จะว่าไปก็แปลกดีเหมือนกัน ชาวไร่ชาวนาสมัยนี้เก่งกาจกันเสียจริง
รถวิดน้ำของพวกเขานั้นประสิทธิภาพดีกว่าของราชสำนักหลายขุม วิทยาการรถวิดน้ำของแคว้นเจาเองก็รับมาจากแคว้นเหลียงอีกทอดหนึ่ง แคว้นเหลียงมีวิทยาการของกงล้อและเพลาที่ก้าวหน้าที่สุด พวกกับมีอ่างเก็บน้ำ จึงสามารถกระแสน้ำมีแรงดันและไหลไปยังที่ราบสูงได้แม้มีปริมาณน้ำน้อย
ทว่ารถวิดน้ำของชาวบ้านนี้ ดึงประโยชน์จากกงล้อแนวตั้งและกงล้อแนวนอนมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ทำให้แรงดันของกระแสน้ำเพิ่มสูงขึ้น แม้จะอยู่บนพื้นที่สูงชนเพียงได้กระแสน้ำก็ส่งไปถึง
ท่านโหวกู้พินิจพิเคราะห์เจ้าเครื่องนี้ตลอดทั้งวัน
เครื่องเกี่ยวกับเครื่องสีนั้นยังไม่มีเวลาได้ดู
ไม่รู้ว่าปราชญ์ชาวบ้านคนใดที่คิดค้นเครื่องมือชั้นยอดเช่นนี้ขึ้นมาได้ กรมโยธาเองก็ส่งคนไปสืบหาแล้ว
ท่านโหวกู้เดินเข้ามาในเรือน ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดอยู่ มีเพียงไก่เจ็ดตัวหาหนอนกินอยู่ในแปลงผัก
“แม้แต่คนเฝ้าประตูก็ไม่มี ข้าส่งข่าวสองคนมาบอกแล้วมิใช่หรือ หากจะ…”
ท่านโหวกู้บ่นยาวเหยียด
บ่นจบก็พบว่ามีไก่ตัวหนึ่งเดินคลอเคลียอยู่ที่ริมเท้าเขา
เขาชะงักมองเจ้าได้ตัวนั้น
ไก่ตัวนั้นเองก็มองเขา
นั่นคือเสี่ยวชี
แต่ก็ถูกแล้วที่ท่านโหวกู้จะไม่รู้จักมัก ในสายตาของเขาก็เป็นเพียงแค่ไก่ตัวหนึ่ง เหมือนกับไก่ตัวอื่นๆ
จะว่าไปก็น่าขัน ใครเขาย้ายมาอยู่เมืองหลวงแล้วพาไก่มาด้วยกัน เมืองหลวงจะหาซื้อไก่สักตัวไม่ได้เชียวหรือ
พอนึกขึ้นได้ว่าช่างเป็นการพฤติกรรมที่ตระหนี่ถี่เหนียวเหลือเกิน ท่านโหวกู้ก็พลันรู้สึกขายหน้าขึ้นมาเป็นอย่างมาก
ลูกสาวคนนี้เติบโตมาในชนบทจึงไม่รู้จักกาลเทศะ ลูกเขยเองก็พอกัน หนักใจเสียจริงว่าสองคนนั่นจะพาเหยี่ยนเอ๋อร์กับเจ้าหนูในท้องแม่นางเหยาเสียคน
เมื่อคิดถึงเจ้าที่กำลังจะเกิดมา ท่านโหวกู้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
เขาก้มลงมองเจ้าไก่ที่ริมเท้า
เขาคิดว่าไก่ตัวนี้เดินมาจิกเขาเสียอีก แต่กลับยืนนิ่งไม่ขยับไหว
ไม่นาน เจ้าไก่ก็เดินบิดซ้ายบิดขวาจากไป
หลังจากนั้นท่านโหวกู้ถึงได้พบว่าเจ้าไก่นั่นปลดทุกข์บนรองเท้าของเขา
ท่านโหวกู้ “…!!”