บทที่ 469 สาวกตัวน้อย
ภายในห้องฝั่งตะวันตก เซียวเหิงกำลังเก็บกวาดข้าวของถูกรื้อกระจัดกระจายของเสี่ยวจิ้งคง หลังจากที่ได้ยินว่าเขามีของจะทำให้กู้เจียวตื่นเต้นยิ่งกว่า เจ้าตัวเล็กก็ทึกทักเอาเองว่าของสิ่งนั้นต้องถูกเก็บซ่อนไว้ในห้องนี้
เจ้าตัวเล็กรื้อกล่องล้มตู้ ทำรกแล้วแต่ไม่รู้จักเก็บเข้าที่ด้วยตัวเอง
นิสัยเสียแบบนี้ คนในบ้านก็สอนแล้วไม่รู้กี่หน เขาเองตกปากรับคำอย่างดีทุกครั้ง แต่คล้อยหลังก็ลืมไปเสียแล้ว หรือเขาอาจจะไม่ได้ลืม เพียงแต่เก็บแล้วแต่เหมือนไม่ได้เก็บ
ทุกครั้งต้องเป็นเขาหรือไม่ก็กู้เจียวที่ต้องเก็บกวาดอยู่ร่ำไป
เซียวเหิงจดจ่ออยู่กับการเก็บของ ไม่รู้ว่าท่านโหวกู้มาที่เรือน ทั้งยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถูกไก่ในบ้านรังแก
“พี่เขย”
เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้นที่หน้าประตู น้ำเสียงแฝงไปด้วยความระแวดระวัง ทั้งยังเจือความชื่นชม
เซียวเหิงเพิ่งจะหยิบลูกคิดทองคำของเสี่ยวจิ้งคงขึ้นมา พอได้ยินเสียงเรียกจึงหันไปมองพลางเอ่ย “อาเหยี่ยนเองหรือ มีอะไรรึ”
วันนี้สำนักชิงเหอปิดเรียน กู้เสี่ยวซุ่นจะไปที่เรือนของอาจารย์หลู่และอาจารย์แม่หนานเซียง ส่วนกู้เหยี่ยนนั้นบ่ายเบี่ยงบอกว่าตัวเองรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงขอพักอยู่ที่เรือน
กู้เหยี่ยนยืนอยู่ที่หน้าประตู สองมือไขว้อยู่ข้างหลัง ท่าทางดูระมัดระวังตัว
ตั้งแต่กู้เหยี่ยนมาอยู่ที่เรือน ที่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงท่าทีเหมือน…เอ่อ เซียวเหิงอยากจะเรียกว่าเขินอาย แต่ก็รู้สึกว่าด้วยนิสัยของกู้เหยี่ยนแล้วเขาไม่ได้เป็นคนหน้าบางขนาดนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นจะมาเขินอะไรเขากัน
ไม่ได้พบกับครั้งแรกสักหน่อย
“คือว่า…ข้าเข้าไปได้หรือไม่” กู้เหยี่ยนถาม
แม้แต่เสียงที่ใช้ถามยังเปลี่ยนไป ฟังดูกล้าๆ กลัวๆ
เหตุใดถึงเปลี่ยนไปเร็วเช่นนี้
เซียวเหิงมองกู้เหยี่ยนด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ย “ไม่เป็นไร เข้ามาสิ มีการบ้านข้อไหนทำไม่ได้หรือ”
ในบรรดาเด็กชายทั้งสามคน เซียวเหิงนั้นพูดคุยกับเสี่ยวจิ้งคงบ่อยที่สุด อย่างแรกเป็นเพราะพวกเขาสองคนนอนห้องเดียวกัน อย่างที่สองเป็นเพราะเสี่ยวจิ้งคงพูดมาก แล้วอย่างที่สามเป็นเพราะการบ้านและวิชาเรียนเสริมของเสี่ยวจิ้งคงนั้นเยอะกว่าใครเพื่อน
หากเทียบกับกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นแล้ว เขานั้นพูดคุยด้วยไม่บ่อยนัก เอาเป็นว่านานมากแล้วที่พวกเขาทั้งสองคนมาถามการบ้านเขา
ทว่าคำตอบของกู้เหยี่ยนนั้นเหนือความคาดหมายของเซียวเหิง เขาส่ายหน้าพลางเอ่ย “ข้ามีของบางอย่างอยากจะให้พี่เขยดู”
“อะไรรึ” เซียวเหิงถาม
กู้เหยี่ยนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเหิง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นกำปั้นที่ไพล่หลังอยู่ออกมา พอคลายออกก็พบกับอังคุฐธำมรงค์ แหวนหยกที่ใช้สวมบนนิ้วหัวแม่มือยามยิงธนู
หากกู้เจียวอยู่ที่นี่ด้วย ต้องรู้ในทันทีว่านี่คือแหวนหยก ที่เขาทำหล่นลงมาในแขนเสื้อของนางตอนที่นางช่วยชีวิตกู้เหยี่ยนครั้งแรก
กู้เหยี่ยนหวงแหนแหวนหยกวงนี้เหลือเกิน ไม่ยอมผู้ใดแตะต้อง กู้จิ่นอวี้เคยเผลอหยิบขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็ถูกกู้เหยี่ยนอาละวาดยกใหญ่
เพราะกู้เจียวนั้นเป็นคนพิเศษ นางกู้เจียวจับก็เสมือนว่าตัวเขาเป็นคนจับ กู้เหยี่ยนไม่ถือสา
เซียวเหิงมองแหวนหยกบนฝ่ามือเขา วินาทีนั้นคิดไม่ออกจริงๆ ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร
กู้เหยี่ยนพยายามเก็บความรู้สึกไว้ไม่ฉายผ่านแววตา ทว่าความผิดหวังกลับแวบขึ้นมา ดวงตาหลุบลง ก่อนจะเอ่ยเสียงกระเง้ากระงอด “ท่านจำไม่ได้จริงๆ สินะ”
“ข้าจำได้ว่านี่คือแหวนหยกของเจ้า” เซียวเหิงเอ่ย แต่ไม่รู้ว่าตัวเองพูดถูกหรือไม่
กู้เหยี่ยนเอ่ยเสียงงอแง “ไม่ใช่ เป็นของท่าน”
“ของข้ารึ” เซียวเหิงตกใจ
คำพูดนั้นแปลความได้สองอย่าง อย่างแรกคือเดิมทีเป็นของเขา อย่างที่สองคือกู้เหยี่ยนตั้งใจมอบแหวนหยกนี้ให้เขา
ทว่าหากปะติดปะต่อท่าทางแปลกพิกลของกู้เหยี่ยนหลังจากเดินเข้าห้องมาแล้ว เซียวเหิงคิดว่าไม่มีทางเป็นอย่างหลังแน่นอน
ไม่อย่างนั้นกู้เหยี่ยนคงไม่พูดว่า ‘ท่านจำไม่ได้จริงๆ ด้วยสินะ’
“ข้ามอบให้เจ้าหรือ” เซียวเหิงถาม ก่อนจะชะงักไปแล้วเอ่ยต่อ “ตอนเป็นเด็กหรือ”
หลังจากใช้ชีวิตเป็นเซียวลิ่วหลัง เขาจำได้ว่าตัวเองไม่เคยมอบเครื่องประดับอะไรให้กับกู้เหยี่ยน เช่นนั้นแล้วก็เป็นได้เพียงแค่ว่าเขามอบสิ่งนี้ให้กับกู้เหยี่ยนก่อนจากเมืองหลวง
หากเขาจำได้ไม่ผิด กู้เหยี่ยนอายุไปสี่ปีก็ไปอยู่ที่หมู่บ้านเวินเฉวียนซานในโยวโจวแล้วไม่ใช่หรือ
“ก่อนที่ข้าจะไปอยู่ที่หมู่บ้านเวินเฉวียนซาน” กู้เหยี่ยนเอ่ยเสียงเศร้า “พี่ชายที่บ้านไม่เล่นกับข้า ข้าจึงหนีออกจากจวนเพียงลำพัง”
วิ่งหนีบรรดาบ่าวแล้วออกจากจวนมา
ส่วนวิธีการหนีออกจากจวนนั้นค่อนข้างน่าอาย กู้เหยี่ยนขอละไว้
“ข้าหลงทาง หลังจากนั้นก็บังเอิญพบท่าน”
ควรรู้สึกตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเองหลงทาง ตอนนี้กลับมานึกดูแล้วไม่นับว่าหลงทาง เพราะยังไม่ได้ออกจากตรอกจวนติ้งอันโหวด้วยซ้ำ
เซียวเหิงชี้ไปที่แหวนหยกบนกลางฝ่ามือเขา “หลังจากนั้นข้าก็มอบสิ่งนี้ให้กับเจ้าหรือ”
กู้เหยี่ยนส่ายหน้า เอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “ท่านไม่ได้มอบให้ แต่ข้าเป็นคนขอ”
เซียวเหิง “…”
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตอนเด็กเจ้าจะเที่ยวขอสิ่งของจากคนแปลกหน้าเป็นกับคนอื่นเขาด้วย
กู้เหยี่ยน “ข้าแอบหนีออกมาจากจวน อยากกลับไปแต่หาทางกลับไม่เจอ ร้องไห้ฟูมฟาย ท่านผ่านมาพอดี จึงให้บ่าวหยุดรถม้า ท่านบอกว่าเด็กคนนี้หน้าตาน่ารัก เก็บกลับไปเป็นน้องชายข้า”
เซียวเหิง ‘ไม่ใช่แล้วกระมัง เรื่องน่าอายในอดีตของเจ้า เหตุใดถึงกลายเป็นมลทินในอดีตของข้าไปได้’
เขาไม่ได้นิยมชมชอบการเก็บเด็กชายมาเลี้ยงดูนะ เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล!
เซียวเหิงกระแอม “ข้าคงแค่ล้อเล่นกระมัง”
กู้เหยี่ยนเอ่ยเสียงขุ่น “หลังจากนั้นบ่าวของท่านก็อุ้มตัวข้าไป”
เซียวเหิง “…”
เซียวเหิงเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ตอนนั้นเจ้าคงกลัวมากกระมัง”
กู้เหยี่ยนส่ายหน้า “ไม่เลย ข้าดีใจด้วยซ้ำ แต่เดี๋ยวเดียวท่านก็เปลี่ยนใจ บอกว่าข้าเล่นด้วยไม่สนุก แล้วก็ส่งข้ากลับ”
เซียวเหิง “…”
เรื่องนี้เซียวเหิงจำไม่ได้เลยสักนิด
ตอนนั้นเซียวเหิงยังไม่ทันเจ็ดขวบดีเลยด้วยซ้ำ แม้จะบอกว่าถึงวัยที่จดจำเรื่องราวได้แล้ว แต่เรื่องที่เก็บกู้เหยี่ยนมาเล่นด้วยความสนุกนั้น เขาไม่ได้เก็บมาจำใส่ใจเลยจริงๆ
แต่ละวันเขาพบเจอผู้คนมากมาย จะไปจำเด็กคนหนึ่งที่เคยเล่นด้วยเพียงครู่เดียวได้อย่างไร
ทว่ากู้เหยี่ยนนั้นแตกต่าง เขาร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก แม่นางเหยาและท่านโหวกู้เลี้ยงดูเขาอย่างประคบประหงม ไม่เคยอนุญาตให้เขาออกนอกจวน จำนวนเด็กๆ ที่เขาเคยเจอนั้นแทบจะนับนิ้วได้
เซียวเหิงให้ลูกกวาดเขากิน ให้ของเล่นเขา แถมยังให้แหวนหยกแสนงดงามนี้กับเขา เขาย่อมจดจำอีกฝ่ายได้อย่างขึ้นใจแน่นอน
เพียงแต่ผ่านมานานหลายปี หัวสมองเล็กๆ ของเขาจำไม่ได้ว่าใบหน้าค่าตาของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร จำได้เพียงว่าเขาชื่อเซียวเหิง เป็นท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา
เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับเซียวเหิงที่ชื่อเสียงโด่งดังเหลือเกิน เขามักจะได้ยินเหล่าบ่าวพูดถึงอีกฝ่ายเสมอ นับว่าช่วยให้เขาจดจำเรื่องราวในตอนนั้นอีกทางหนึ่ง
เซียวเหิงไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตัวเองกับเซียวเหิงจะมีความทรงจำเช่นนี้ร่วมกัน แม้แต่คนที่ไม่เชื่อในเรื่องโชคชะตาอย่างเขายังอดรู้สึกไม่ได้ว่าพรหมลิขิตนั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์เกินกว่าจะอธิบายจริงๆ
บทสนทนาของทั้งคู่ถูกแทรกด้วยเสียงร้องโวยวายของทั้งไก่ทั้งสุนัข สองคนเปิดหน้าต่างออกไปดูถึงได้รู้ว่าท่านโหวกู้มาที่เรือน ทั้งยังกำลังถูกรุมสกรัมโดยสุนัข ไก่อีกเจ็ดตัวและเหยี่ยวอีกหนึ่งตัว
ท่านโหวกู้เป็นคนมีวรยุทธ์ ใช่ว่าจะฆ่าสุนัขหรือไก่พวกนี้ไม่ได้ เพียงแค่เจ้าหมานี่เป็นสัตว์เลี้ยงของลูกชาย ส่วนไก่นั้นแม่นางเหยาก็คนให้ข้าวให้น้ำ ส่วนเจ้านกตัวนี้ก็ไม่คณนามือเขาหรอก เพียงแต่เจ้านกตัวนี้บินเก่งเหลือเกิน เขาสู้ไม่ไหว…
เมื่อเซียวเหิงและกู้เหยี่ยนรุดไปยังลานบ้าน เหตุการณ์โกลาหลถึงได้สงบลง ท่านโหวกู้ในยามนี้เนื้อตัวมีแต่คนไก่ติดเต็มไปหมด
ในใจของท่านโหวกู้เดือดดาล อยากจะฆ่าเจ้าไก่ชั่วพวกนี้ให้ตาย!
โดยเฉพาะเจ้าที่ตัวเล็กที่สุดตัวนั้น
ตัวที่มันอึรดเขา!
กู้เหยี่ยนเห็นสภาพอเนจอนาถของพ่อตัวเอง ก็พลันอดทนไม่ไหว ระเบิดหัวเราะออกมา
ท่านโหวกู้ “…”
ไอ้ลูกคนนี้ เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าข้าเป็นพ่อเจ้าน่ะ
เสียงหัวเราะของกู้เหยี่ยนยังคงดังต่อเนื่องจนแม่นางเหยากลับมาถึงเรือน เดือนหน้าแม่นางเหยาก็ให้คลอด กู้เจียวคำนวณวันคลอดให้นางเป็นวันแรกของเดือนหน้า เหลือเวลาอีกครึ่งเดือนโดยประมาณ
แขนขาของนางบวมเล็กน้อย เดินเหินไม่สะดวกสักเท่าไหร่
ท่านโหวกู้ละความสนใจจากกู้เหยี่ยน รีบเดินเข้าไปพยุงแม่นางเหยา “เหตุใดเจ้าถึงได้ออกไปข้างนอก แม่นมฝางดูแลเจ้าอย่างไร เจ้าระวังหน่อย!”
ท่าทางของแม่นางเหยาที่กำลังก้าวข้ามธรณีประตูนั้นทำเอาเขาใจหายใจคว่ำ
หญิงมีครรภ์เดินเหินต้องกระแทกกระทั้นขนาดนี้เชียวหรือ! อนุหลิงในตอนนั้นยังไม่กล้าทำขนาดนี้เลย!
อันที่จริงแม่นางเหยารู้สึกว่าท้องนี้สบายกว่าท้องแรกเป็นไหนๆ หากไม่ใช่เพราะนางอายุมากแล้ว คงสบายกว่านี้
ยามอยู่ชนบทนางเคยเห็นหญิงสาวชาวบ้านอุ้มท้องทำงานแบกหาม เทียบกับพวกนางแล้วตัวเองนั้นอ่อนแอเหลือเกิน แต่ก็คงเทียบไม่ได้กับฮูหยินตระกูลใหญ่โตเหล่านั้น นางยังนับว่าสมบุกสมบันกว่ามาก
“ท่านโหว ท่านไปทำอะไรมาถึงกลายเป็นเช่นนี้” แม่นางเหยามองเขาด้วยสีหน้าตกใจ
ท่านเหล่าจะบอกได้อย่างไรว่าตัวเองถูกไก่พวกนั้นรังแก อยู่ต่อหน้าภรรยาจะเสียหน้าได้อย่างไร เขากระแอมขึ้นพลางเอ่ย “ไม่มีอะไรหรอก ไก่มันวิ่งออกมาน่ะ เลยไล่จับ”
แม่นางเหยาเอ่ย “ข้าเป็นคนปล่อยออกมาเอง พวกมันกินหนอนในแปลงผักน่ะ”
ไก่บ้านอื่นอาจจะจิกกินผักไม้ใบหญ้าบ้าง แต่ไก่บ้านนางนั้นไม่ กินแต่หนอนอย่างเดียว เชื่องเสียเหลือเกิน
ท่านโหวกู้เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “เช่น เช่นนั้นเดี๋ยวข้าค่อยปล่อยออกมาใหม่”
แม่นางเหยามองแปลงผักพลางเอ่ย “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ วันนี้คงกินไปพอประมาณแล้ว ท่านโหวกู้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด”
ท่านโหวกู้รีบขึ้นรถม้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดสำรอง หลังจากนั้นก็ไปพูดคุยกับแม่นางเหยาที่ท้ายลานบ้าน
วันนี้เขามาเพื่อเยี่ยมแม่นางเหยาเป็นอย่างแรก ส่วนเรื่องที่สอนนั้นก็มาเพื่อบอกข่าวดีกับแม่นางเหยา “ลูกเขยเราได้เลื่อนตำแหน่งแล้วนะ”
แม่นางเหยาตาเป็นประกาย เหลียวไปมองเซียวเหิงที่กำลังผ่าฟืนกับกู้เหยี่ยนอยู่หน้าประตูครัว “ลิ่วหลัง เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งหรือ”
เซียวลิ่วหลังเพิ่งจะได้รับราชโองการเมื่อตอนบ่าย จึงยังไม่ทันบอกกับคนที่บ้าน
“พี่เขย ท่านได้เลื่อนตำแหน่งหรือ” กู้เหยี่ยนมองเซียวเหิงด้วยความดีใจ
“ใช่” เซียวเหิงที่ถือพร้าผ่าฟืนอยู่พยักหน้าตอบ
“ตำแหน่งอะไรหรือ ตำแหน่งอะไรหรือ” กู้เหยี่ยนถามต่อ
“บัณฑิตระดับซื่อตู๋ของสำนักฮั่นหลินน่ะ” เซียวเหิงตอบ
“เหอะ” ท่านโหวกู้หัวเราะอย่างไม่แยแส “ข้านึกว่าเลื่อนเป็นตำแหน่งใหญ่โตอะไร ที่แท้ก็แค่ซื่อตู๋สำนักฮั่นหลิน อันจวิ้นอ๋องเขาถึงได้เป็นขุนนางในคณะเสนาบดีแล้ว”