บทที่ 470 คลอด

กู้เหยี่ยนถลึงสองตาพลางเอ่ย “คณะเสนาบดีเก่งกาจแค่ไหนกับเชียว พี่เขยข้าต่างหากที่เก่งที่สุด!”

ท่านโหวกู้ค่อนแคะ “หากเขาเก่งที่สุดแล้วเหตุใดถึงไม่ได้เข้าคณะเสนาบดีเล่า”

กู้เหยี่ยนตอบเสียงขุ่น “พี่เขยข้า…ไม่อยากไปต่างหาก! ไม่เช่นนั้น อย่าว่าแค่คณะเสนาบดีเลย แม้แต่ตำหนักจินหล่วนก็ไปได้!”

ไอ้หยา เจ้าเด็กนี่ปากดีไม่เบา

เขารู้หรือไม่ว่าคณะเสนาบดีคือที่ไหน ตำหนักจินหล่วนอยู่ที่ใด

ในแคว้นเจา มีเพียงขุนนางชั้นห้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่ก็ใช่ว่าพอถึงขั้นแล้วจะได้เข้าเฝ้าทุกคน ยกตัวอย่างตัวเขาเอง เขาเป็นถึงซื่อหลาง ผู้ช่วยเจ้ากรมโยธา แต่กลับเคยเข้าเฝ้าเพียงไม่กี่ครั้ง

“หากอยากไปก็ไปได้อย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเขาเป็นใครกัน”

“เขา เขา เขา…” จะให้กู้เหยี่ยนบอกตัวตนที่แท้จริงของพี่เขยก็คงไม่ได้ เขาอดกลั้นจนหน้าดำหน้าแดง “เขาแซ่เซียว!”

ท่านโหวกู้แค่นหัวเราะ “แซ่เซียวแล้วอย่างไรเล่า บนแผ่นดินนี้มีคนแซ่เซียวมากมาย เจ้าคิดว่าผู้ใดก็เป็นท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจาได้อย่างนั้นหรือ”

กู้เหยี่ยนโกรธจนเสียงสูงปรี๊ด “หาก…หากเป็นเขาขึ้นมาจริงๆ เล่า”

ท่านโหวกู้ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ คิดว่าเป็นเพียงคำพูดประชดประชันของลูกชาย เขาชี้ไปที่เซียวเหิงก่อนจะเอ่ยกับกู้เหยี่ยน “หากเขาคือท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา ข้าจะเรียกเจ้าว่าท่านพ่อเลย!”

กู้เหยี่ยนมองพ่อตัวเองอย่างหมดคำจะพูด ทว่าลอบขานตอบอยู่ในใจ ‘เอาสิ!’

“ท่านแม่!”

สองพ่อลูกต่อปากต่อคำไม่หยุด จู่ๆ เซียวเหิงก็โพล่งขึ้นมา

เสียงของสองพ่อลูกเงียบลงในทันใด เหลียวไปมองแม่นางเหยาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะเห็นแม่นางเหยากุมท้องด้วยใบหน้าขาวซีด ใต้ชุดกระโปรงเปียกชุ่มไปหมด

นางเอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “เหมือน…เหมือนว่าข้าจะคลอดแล้ว…”

แม่นางเหยาไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าน้ำคร่ำแตกแล้ว โชคดีที่กู้เจียวเคยกำชับข้อควรระวังก่อนคลอดกับคนในบ้านแล้ว หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อย่าได้พยายามเคลื่อนไหวร่างกายจะเป็นการดีที่สุด

ท่านโหวกู้อุ้มแม่นางเหยาเข้าไปในห้องอย่างเบามือ

เซียวเหิงบอกกับกู้เหยี่ยน “ข้าจะไปต้มน้ำ เจ้าให้องครักษ์ลับไปตามพี่สาวเจ้าที่เมี่ยวโส่วถัง หากนางไม่อยู่ให้หมอหลิวมาก่อน”

เดิมทีหมอหลิวเป็นหมอตำแยคนหนึ่งในละแวกนี้ แต่เพราะเชี่ยวชาญเรื่องโรคประหลาดของสตรีมากมาย จึงถูกกู้เจียวซื้อตัวมาอยู่ที่เมี่ยวโส่วถังด้วยเงินก้อนโต

คนทั่วไปยังติดปากเรียกนางว่าหมอตำแยหลิวอยู่ แต่เซียวเหิงเรียกนางว่าหมอหลิวอย่างให้เกียรติตามกู้เจียว

แม่นมฝางแล้วอวี้หย่าร์กำลังพับผ้าห่มอยู่ที่เรือนถัดกัน อวี้หย่าร์ได้ยินเสียงเอะอะจึงวิ่งมาดูก่อนจะเอ่ยอย่างตกใจ “แม่นมฝาง แม่นมฝาง! ฮูหยินจะคลอดแล้ว!”

“ยังไม่ครบกำหนดเลย คลอดก่อนกำหนดอีกแล้วหรือ”

สีหน้าของแม่นมฝางเปลี่ยนไปในทันใด จะไปมีกระจิตกระใจพับผ้าห่มได้อย่างไร นางรีบเดินลัดผ่านประตูที่เชื่อมเรือนทั้งสองหลัง

เพราะรีบร้อนเกินไป นางจึงเดินสะดุดล้ม

“แม่นมฝาง!” อวี้หย่าร์กรีดร้องก่อนจะพยุงนางขึ้นมา “ท่านอย่าเพิ่งลนลาน องครักษ์ลับของท่านชายน้อยไปตามคุณหนูมาแล้ว ประเดี๋ยวคุณหนูก็กลับมาแล้ว ฮูหยินจะต้องไม่เป็นอะไรไปแน่นอน!”

แม่นมฝางเห็นว่าเด็กสาวสงบนิ่งกว่าตนเองนัก แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ นางทอดถอนใจ “ข้าร้อนใจเอง ตอนที่ฮูหยินคลอดท่านชายกับคุณหนูข้าก็ไม่ได้อยู่ข้างกายนาง กลายเป็นว่าคลอดก่อนกำหนดแถมยังอุ้มผิดตัวอีก นั่นเป็นบาดแผลในใจของข้าเสมอมา..”

อวี้หย่าร์ไม่อาจรู้สึกลึกซึ้งเหมือนแม่นมฝางได้ แต่ก็พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ “ข้าเข้าใจดี แม่นมฝาง ท่านวางใจเถิด ฮูหยินเป็นคนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง ต้องคลอดอย่างปลอดภัยเป็นแน่!”

กู้เจียวไม่อยู่ คนที่มาคือแม่นางหลิว

แม่นางหลิวเป็นหมอตำแยมากประสบการณ์ ก่อนหน้านี้ที่ท่านโหวกู้ให้หวงจงไปหาหมอตำแยให้แม่นางเหยาก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหมอตำแยหลิวมาบ้าง สามารถเชิญนางมาได้เช่นนี้ ท่านโหวกู้เองก็ดีใจยิ่งนัก

ทว่ากู้เหยี่ยนกับเซียวเหิงกลับหวังให้กู้เจียวมามากกว่า

เพียงแต่หากร่างกายของแม่นางเหยาพร้อม ฝีมือการแพทย์ของแม่นางหลิวเองก็เพียงพออยู่แล้ว

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ อาการของแม่นางเหยาไม่ค่อยสู้ดีนัก

“เจ้าตรวจผิดหรือไม่ ตอนฮูหยินข้าอุ้มท้องก็แข็งแรงดีทุกอย่าง ทั้งกินดีนอนดี เดินเหินคล่องแคล่ว! ท้องก็ไม่โต! หมอที่ไหนก็บอกว่าท้องนี้คลอดง่ายแน่นอน!”

แม่นางหลิวเป็นหมอตำแยมานานหลายปี คนที่ครรภ์แข็งแรงแต่พอถึงยามใกล้คลอดกลับหมดเรี่ยวหมดแรงก็พบเห็นได้ไม่น้อย

หญิงสาวนั้นไม่ได้ยืนอยู่ปากประตูนรกในวันที่คลอดลูกเท่านั้น แต่ตลอดระยะเวลาที่อุ้มท้องนั้นมีความเสี่ยงที่ไม่อาจคาดเดาได้มากมาย เพียงแต่ตอนอุ้มท้องนั้นคนที่เสี่ยงคือลูกในท้อง แต่ยามคลอดนั้นเสี่ยงกันทั้งแม่ทั้งลูก

เพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของแม่ ลูกในท้องเองก็คงรักษาไว้ไม่ได้

แน่นอนว่าแม่นางหลิวไม่มีทางพูดจาตัดกำลังใจต่อหน้าแม่นางเหยา นางยิ้มบางพลางเอ่ย “พวกเจ้าอย่าเพิ่งเป็นกังวลไป นี่เพิ่งเริ่มต้น ฮูหยินเพิ่งจะมีอาการ ข้าเอายาเร่งคลอดมาด้วย เอาผสมน้ำกิน ประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

แต่ก่อนยาเร่งคลอดนั้นมักจะผสมแล้วต้มที่หน้างาน กู้เจียวรู้สึกว่าวิธีนี้ทำให้เสียเวลาทั้งยังไม่สะดวก จึงได้ผสมเป็นก้อนขี้ผึ้งไว้ พอลอกเปลือกขี้ผึ้งออก ก็กลืนยาข้างในได้เลยหรือจะผสมน้ำกินก็ได้

ทว่าใครจะไปคาดคิดกันว่า แม่นางเหยากินได้คำเดียวก็อาเจียนออกมา

ตอนท้องแม่นางเหยาแทบไม่มีอาการแพ้เลย ใครจะไปคิดกันว่าตอนคลอดจะอาการรุนแรงเช่นนี้

แม่นางหลิวเปลี่ยนมาป้อนน้ำตาลเคี่ยวแทน แต่ก็ยังอาเจียนออกหมดเหมือนเดิม

ชักจะท่าไม่ดีแล้วสิ ยาก็กินไม่ได้ เอาอะไรป้อนก็ออกมาหมด อีกไม่นานนางก็จะหมดแรงแล้ว

“ไปตามหมอหลวงหลัวมา!” ท่านโหวกู้สั่งการหวงจงอยู่นอกห้อง

“ขอรับ!” หวงจงขานรับ รีบออกไปในทันที

ราวครึ่งชั่วยาม หมอหลวงหลัวก็ถูกพาตัวมา

หมอหลวงหลัวจับชีพจรแม่นางเหยา สีหน้าเคร่งเครียดเหมือนแม่นางหลิวไม่มีผิด

ไม่ต้องให้เขาพูด แม่นางหลิวเองก็คาดเดาได้ว่าครรภ์นี้ของนางนั้นคลอดยากเอาการ

ว่ากันตามตรง ตอนนางอุ้มท้องเจียวเจียวกับเหยี่ยนเอ๋อร์นั้นก็แพ้หนักเหมือนกัน หกเดือนแล้วก็ยังอาเจียน ท้องครั้งนั้นลำบากเหลือเกิน แต่ตอนคลอดนั้นนับว่าราบรื่น แต่ที่ร่างกายของกู้เหยี่ยนไม่แข็งแรงนั้นเป็นเพราะคลอดก่อนกำหนด

ไม่ได้เป็นเพราะนางคลอดยาก

หมอหลวงหลัวถามแม่นางหลิวว่ารักษาแม่นางเหยาอย่างไรแล้วบ้าง แม่นางหลิวตอบ “ตั้งใจว่าจะป้อนยาเร่งคลอด แต่พอกินเข้าไปก็อ้วกออกมาหมด แม้แต่น้ำก็กลืนไม่ลง”

“หมอหลวง! ฮูหยินข้าอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

ท่านโหวกู้ที่อยู่ข้างนอกร้อนใจดั่งไฟสุมทรวง

“ลองต้มน้ำแกงโสมให้ฮูหยิน หากไม่ไหวจริงๆ นางอยากกินอะไรก็ตามใจนาง อีกอย่าง อย่าเพิ่งให้ฮูหยินออกแรง แล้วก็อย่าร้องไห้ ให้เก็บแรงเอาไว้” หมอหลวงหลัวสั่งการแม่นมฝางเสร็จก็ออกจากห้องคลอดไป ก่อนจะบอกท่านโหวกู้ไปตามความจริง “อาการของฮูหยินไม่สู้ดีนัก เป็นไปได้สูงว่าจะคลอดยาก”

โดยปกติแล้ว ขั้นตอนแรกของการคลอดจะใช้เวลาประมาณห้าถึงหกชั่วยาม เมื่อผ่านขั้นแรกแล้วจะใช้เวลาอีกประมาณสามถึงสี่ชั่วยาม

ตั้งแต่แม่นางเหยาน้ำคร่ำแตกจนถึงตอนนี้ยังไม่ถึงสองชั่วยามด้วยซ้ำ ยังไม่ถึงเวลาที่จะตัดสินว่าคลอดยากหรือไม่

แต่จากประสบการณ์ของหมอหลวงหลัวและแม่นางหลิว บวกกับชีพจรของแม่นางเหยา ทั้งสองคนก็ได้คาดคะเนอาการของแม่นางเหยาอยู่ในใจแล้ว

เพียงแต่แม่นางหลิวไม่พูดออกไป แต่หมอหลวงหลัวพูด

ท่านโหวกู้เหมือนถูกสาดน้ำ ร่างทั้งร่างหนาวสะท้าน

สีหน้าของกู้เหยี่ยนเริ่มซีดเผือดลงเรื่อยๆ เซียวเหิงยืนอยู่ข้างเขา เขากำแขนเสื้อของอีกฝ่ายไว้อย่างไม่รู้ตัว

เซียวเหิงเม้มปากไม่เอ่ยคำใด

กู้เจียวออกตรวจนอกสถานที่ เรื่องนี้เขาช่วยแทนไม่ได้ ได้เพียงแต่หวังว่าองครักษ์ลับจะรีบพาตัวกู้เจียวกลับมาได้

ตอนที่สององครักษ์ลับไปถึงโรงหมอแล้วได้ยินว่ากู้เจียวไม่อยู่ คนหนึ่งได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่กู้เจียวออกตรวจ ส่วนอีกคนก็พาแม่นางหลิวมาที่เรือน

อันที่จริงกู้เจียวนั้นรู้ข่าวที่แม่นางเหยาจะคลอดตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว เพียงแต่เกิดอุบัติเหตุที่หน้างาน เกิดเหตุคนถูกทำร้ายที่บ่อนพนัน มีสามคนที่ถูกฟันบาดเจ็บสาหัส อาการครึ่งเป็นครึ่งตาย

นางกับหมอซ่งรีบช่วยชีวิตคนเจ็บ

“คีมห้ามเลือด!” นางคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วยื่นมือออกไป

หมอซ่งยื่นคีมห้ามเลือดให้อย่างคล่องแคล่ว

นางใช่คีมห้ามเลือดหนีบเส้นเลือดของคนเจ็บเอาไว้

“ดูดออก” นางเอ่ย

เครื่องดูดสุญญากาศแบบพกพาที่ศูนย์วิจัยคิดค้นเพิ่งโผล่ขึ้นมาวันนี้ นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายของนางฟื้นตัวแล้ว เจ้ากล่องยาใบน้อยถึงได้มีอุปกรณ์เพิ่มขึ้นมากมาย หากเป็นเช่นนั้นจริง การผ่าตัดหัวใจของกู้เหยี่ยนก็เริ่มมีความหวังแล้ว

หมอซ่งติดตามกู้เจียวมานาน ชินชากับสิ่งของแปลกประหลาดในกล่องยาใบน้อยของนางเสียแล้ว จึงมองข้ามทุกอย่างไป

เขาดูเลือดที่คั่งอยู่ในช่องท้องของคนเจ็บออกมา

กู้เจียวหาเศษซากลูกดอกที่ตกค้างอยู่ในช่องท้องของคนเจ็บ ใช้แหนบคีบออกมา

อีกนิดเดียวม้ามก็จะแตกแล้ว ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าดวงแข็งดีหรือไม่

กู้เจียวกับหมอซ่งง่วนกันอยู่ครึ่งค่อนคืนถึงช่วยชีวิตคนเจ็บได้ทั้งหมด

“ข้าพาพวกเขากลับไปที่โรงหมอเอง เจ้ารีบกลับไปเถิด” หมอซ่งบอกกับกู้เจียว องครักษ์ลับรออยู่นอกห้องตั้งนานแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าที่บ้านนางต้องเกิดเรื่องแน่นอน

กู้เจียวพยักหน้าก่อนจะกลับไปยังตรอกปี้สุ่ยพร้อมกับองครักษ์ลับ

แม่นางเหยาเจ็บปวดรุนแรงยิ่งกว่าเดิม แต่เด็กกลับยังไม่มีท่าทีว่าจะคลอดออกมา

ระหว่างนั้นอาการโรคหัวใจของกู้เหยี่ยนแทบจะกำเริบขึ้นมา เซียวเหิงหายาให้เขากินได้ทันก่อนจะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปพักผ่อนที่ห้อง ให้กู้เสี่ยวซุ่นคอยดูแลเขา

เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้ว่าแม่นางเหยาประสบภาวะคลอดยาก เซียวเหิงบอกเขาเพียงแค่ว่าหากเป็นเด็กดีแล้วนอนเสีย พรุ่งนี้เช้าตื่นมาจะมีน้องสาวหรือไม่ก็น้องชาย เจ้าหนูตื่นเต้นดีใจหอบหมอนของตัวเองกลับไปนอนที่ห้องในทันที