ไทเฮาอยากให้หลานสาวมาอยู่เป็นเพื่อน แน่นอนว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้คงไม่มีความคิดคัดค้าน ครั้นกลับไปแล้วก็แจ้งให้ฮองเฮารับทราบ
ฮองเฮาลังเลชั่วครู่ก่อนส่งยิ้ม “การได้ไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่ นับว่าเป็นเกียรติของพวกนางแล้วล่ะ”
ตั้งแต่ที่ทราบว่าโรคตาขององค์หญิงฝูชิงเกิดเพราะถูกคนทำร้าย และบุตรีของนางเกือบจะถูกพรากชีวิตไปเมื่อตอนงานเลี้ยง ในสายตานาง บุตรสาวคนนี้ก็ล้ำค่ายิ่งกว่าสมบัติใด แม้การได้อยู่ข้างกายไทเฮาจะเป็นเรื่องน่ายินดี ทว่าในใจนางกลับมิได้รู้สึกเช่นนั้น
แต่ไม่ว่าจะใคร่ครวญเช่นไร นางก็ไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ เรื่องของไท่จื่อกระทบกระเทือนต่อฝ่าบาทอย่างมหาศาล ฉะนั้นในช่วงเวลาเช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งของฮ่องเต้
“ฝ่าบาท พักผ่อนหน่อยเถิดเพคะ” เส้นเลือดในดวงตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้มีสีเข้มขึ้นจนฮองเฮารู้สึกเป็นห่วง นางจึงปล่อยความคิดนั้นไปเสีย และพยายามเอ่ยปลอบใจ
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยายามยิ้มมุมปาก “ฮองเฮาก็พักเสียหน่อยเถิด ข้าจะกลับไปที่ตำหนักเฉียนชิง”
ฮองเฮาใคร่จะโน้มน้าวต่อ นางขยับริมฝีปากขมุบขมิบก่อนจะกลืนถ้อยคำลงคอ
ช่วงเวลาแบบนี้ฝ่าบาทคงต้องการความสงบ คำโน้มน้าวปลอบขวัญก็มิอาจช่วยได้
ครั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้ว ฮองเฮาก็เรียกองค์หญิงฝูชิงเข้ามา นางออกปากสั่ง “อีกหน่อยเจ้าและสิบสี่จะต้องไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮา จำไว้ว่าเจ้าจะต้องเข้าไปและออกมาพร้อมสิบสี่ทุกครั้ง”
องค์หญิงฝูชิงเผยสีหน้าฉงน “จะต้องเข้าออกพร้อมน้องสิบสี่ตลอดเลยหรือเพคะ”
คำสั่งของเสด็จแม่ฟังดูพิลึกยิ่งนัก
ฮองเฮาลูบเรือนผมดำขลับขององค์หญิงฝูชิง “ไทเฮาทรงเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม ส่วนน้องสิบสี่ของเจ้าก็เป็นเด็กขี้กลัว นางเป็นน้องของเจ้า เจ้าจึงต้องดูแลนางให้ดี”
องค์หญิงฝูชิงยอมรับให้เหตุผล “ขอเสด็จแม่โปรดวางพระทัย หม่อมฉันจะดูแลน้องสิบสี่ให้ดีเพคะ”
ฮองเฮาจ้องมองบุตรีของตน และลอบถอนหายใจแต่เพียงในใจ
จริงอยู่ที่นางมิควรกังวลจนเกินเรื่อง แต่เพราะฝูชิงคือทั้งหมดของชีวิตนาง นางจึงคิดมากเป็นธรรมดา
ตั่วหมัวมัวแฝงตัวอยู่ในตำหนักของไทเฮานานแรมปี ฉะนั้นจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนอื่นๆ ในตำหนักฉือหนิงจะไม่เป็นเช่นนั้น นอกจากนี้ประวัติของนางในที่ยุให้ไท่จื่อใช้อาคมมนต์ดำก็ยังไม่ทราบแน่ชัด อีกทั้งคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังก็ยังลอยนวล
ตอนนี้ในวังหลวงเต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้าน นางจึงต้องระมัดระวังให้มาก
ฮองเฮารู้สึกไม่พอใจเรื่องนี้ยิ่งนัก
นางเป็นผู้ดูแลวังหลัง แต่กลายเป็นว่ามีความไม่สงบเกิดขึ้นทั่วสารทิศ จนสุดท้ายก็กลายเป็นเป้านิ่ง
ครั้นองค์หญิงฝูชิงกลับไปแล้ว ฮองเฮาก็เรียกองค์หญิงสิบสี่เข้ามา
หลังจากที่องค์หญิงสิบสี่ถูกใช้เป็นเหยื่อล่อจับตั่วหมัวมัวสำเร็จ นางก็รู้สึกโล่งใจ สภาพร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างดีตลอดวันคืนที่ผ่านมา ยามนี้สีหน้าของนางจึงมีสีแดงระเรื่อเหมือนกับเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน
นางถวายความเคารพฮองเฮาแล้วก็ยืนนิ่งคอยท่าอยู่อย่างนั้น
“วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามา เพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกกับเจ้า”
“เชิญเสด็จแม่ตรัสเถิดเพคะ”
“ไทเฮาไม่ทรงโปรดที่ตำหนักฉือหนิงเงียบสงัดร้างผู้คน จึงอยากให้เจ้าและฝูชิงเข้าไปอยู่เป็นเพื่อน”
องค์หญิงสิบสี่ชะงักงัน สายตาจดจ้องไปที่ฮองเฮา
ในวังหลวงมีองค์หญิงตั้งมากมาย หากไทเฮาอยากให้หลานสาวไปอยู่เป็นเพื่อน ก็น่าจะเลือกพี่สิบสามถึงจะถูก เหตุใดถึงได้เลือกนาง เรื่องนี้ฟังดูพิลึกพิลั่น
พระมารดาของนางทำผิด อย่างไรแล้วนี่ก็นับว่าเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตนาง
“การได้สร้างความสุขสราญให้แก่ไทเฮา นับว่าเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้ เรื่องนี้จะส่งผลดีต่ออนาคตของเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าเคยสัมผัสประสบการณ์เรื่องตั่วหมัวมัวโดยตรง น่าจะพอทราบดีว่าในพระตำหนักฉือหนิงมิได้สงบราบรื่นดังที่เห็น ข้าหวังว่าเจ้าจะระวังตัวให้มาก”
องค์หญิงสิบสี่ตัวสั่นเทิ้ม นางพยักหน้าแช่มช้า “สิบสี่เข้าใจแล้วเพคะ”
ฮองเฮาถอนหายใจ “สิบสี่ ฝูชิงยังอ่อนต่อโลก อีกหน่อยหากต้องเข้าไปที่พระตำหนักฉือหนิง เจ้าก็ช่วยดูแลนางด้วย…”
“เสด็จแม่วางพระทัยได้เพคะ ลูกจะทำอย่างสุดความสามารถเพคะ” องค์หญิงสิบสี่ตอบรับโดยไม่ลังเล
มนุษย์บนโลกนี้เกิดมาไม่เท่ากันอยู่แล้ว นางเองเลือกเกิดไม่ได้ และนางก็ไม่ควรโทษมารดาที่ทำทุกอย่างเพื่อนาง นางทำได้เพียงต้องใช้ชีวิตระมัดระวังมากกว่าคนอื่น และพยายามให้มากกว่าคนอื่น
อย่างน้อยก็โชคดีที่ฮองเฮามิได้ทรงอคติ ตราบใดที่นางทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี นางก็จะได้มีชีวิตต่อไป หากอนาคต นางจะได้พบสามีที่เหมาะสมกับนาง นั่นก็นับว่าเป็นคุณความดีที่นางสั่งสมมา
ฮองเฮาส่งยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี เจ้าออกไปได้แล้ว”
องค์หญิงสิบสี่ออกไป แต่ถึงกระนั้น ฮองเฮาก็ยังไม่สามารถวางใจสงบ
เฉินเหม่ยเหรินคือคนร้ายที่ทำร้ายฝูชิง ฉะนั้นนางจึงไม่อาจทำใจรักใคร่บุตรสาวของเฉินเหม่ยเหรินได้อย่างสนิทใจ แต่หากมองในมุมฮองเฮา นางก็รู้สึกชื่นชมองค์หญิงสิบสี่ไม่น้อย
ฉลาดเฉลียว มีความรับผิดชอบ รู้ว่าตัวเองต้องการสิ่งใด และรู้ดีว่ามนุษย์เราควรวางตัวเช่นไร
วังหลังต้องการคนเช่นนี้ นางถึงจะวางใจได้
ไม่ว่าจะอย่างไร การที่มีสิบสี่เข้าไปที่ตำหนักฉือหนิงกับฝูชิงก็ทำให้นางเบาใจได้ส่วนหนึ่ง หวังว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดร้ายแรง
……
จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับมาที่ตำหนักเฉียนชิงแล้วก็เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ที่เก้าอี้
ในตอนนั้น เขาไม่มีความคิดจะแต่งตั้งองค์รัชทายาทคนใหม่ และไม่ได้คิดถึงความอลหม่านว้าวุ่นของราชสำนัก ในหัวมีเพียงความมืดมิดที่ก่อตัวเลื่อนลอย
“ฝ่าบาท เสวยพระสุธารสชาเสียหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปหาพานไห่ เอ่ยถามอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “เอ้อร์หนิวเป็นคนเจอตุ๊กตาหุ่นนั่นหรือ”
พานไห่หยุดชะงักไปก่อนจะตอบรับทันควัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งคิดเนิ่นนาน น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเจือไปด้วยความเหนื่อยล้า “ข้าเคยบอกแล้วว่า หากทำคุณ ก็ต้องได้รางวัล แต่หากทำกรรม ก็ต้องรับบทลงโทษ เอ้อร์หนิว...”
พานไห่กล่าวแทรก “ฮองเฮาเหนียงเหนียงมอบของกำนัลเป็นปลอกคอทองคำให้ท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ผงะไปก่อนจะพึมพำ “เช่นนั้นก็ดี”
ในตอนนี้ หากเขาตกรางวัลชิ้นใหญ่ให้เอ้อร์หนิว เกรงว่าจะเป็นการชี้นำความคิดของคนอื่นๆ เพราะเขาในตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะมาคิดเรื่องตำแหน่งองค์รัชทายาท
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องมองไปที่พานไห่ มีคำถามอีกมากมายที่อยากจะถาม แต่ทว่ากลับพูดไม่ออก
พานไห่หลุบตา ไม่กล้าสบตาจิ่งหมิงฮ่องเต้ ผู้เป็นขันทีได้แต่ถอนหายใจยาวในใจ
เขาพอจะเดาได้ว่าฝ่าบาทปรารถนาจะถามเรื่องใด
พระองค์คงอยากถามว่าตอนที่ไท่จื่อได้รับโทษประหารเป็นอย่างไร
เขาเห็นตั้งแต่ไท่จื่อร้องโอดครวญขอพบพระพักตร์ฮ่องเต้ จนถึงตอนที่ไท่จื่อยกจอกยาพิษขึ้นดื่มเต็มสองตา
ตอบได้เลยว่า ไท่จื่อได้ตายเรียบร้อยแล้ว!
เขาอยู่ปรนนิบัติฮ่องเต้มานานหลายปี เขาจำไม่ได้ว่าฝ่าบาทกริ้วไท่จื่อมาแล้วกี่หน แต่บอกได้เลยว่าพระเกศาสีเงินบนพระเศียรของฝ่าบาทล้วนแล้วแต่เกิดจะไท่จื่อทั้งสิ้น
ไท่จื่อทิวงคตสิ้นแล้ว ฝ่าบาทไร้ซึ่งโอรสจากฮองเฮา การจะเลือกโอรสที่เพียบพร้อมไปทั้งคุณธรรมและความสามารถมาเป็นองค์รัชทายาท ย่อมเป็นความปีติยินดีของอาณาประชาราษฎร์
จริงอยู่ที่ขันทีเช่นเขาไม่อาจช่วยตัดสินความอยู่รอดของแผ่นดิน เขาได้แต่หวังว่าฝ่าบาทจะมีพระชนมพรรษายิ่งยืนนาน เพียงเท่านั้นก็นับว่าเป็นโชคอันประเสริฐของพวกเขาแล้ว
หลังจากลังเลครู่ใหญ่ พานไห่ก็เอ่ยปาก “ฝ่าบาท บ่าวได้จดหมายจากทางใต้ว่า หงหลูซื่อชิงและคนอื่นๆ กำลังจะกลับมาที่เมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เนื่องจากต้องการสืบว่าตั่วหมัวมัวที่เข้ามาก่อความวุ่นวายในวังหลวงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าอูเหมียวหรือไม่ สองเดือนหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงได้ส่งหงหลูซื่อชิงให้นำทัพเคลื่อนไปยังทางใต้ บัดนี้วันเวลาล่วงเลยไปกว่าครึ่งปี ถึงแก่เวลาที่คนเหล่านั้นจะกลับมา
พานไห่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาตอนนี้ เพราะเกรงว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะจมอยู่กับความทุกข์เรื่องที่ไท่จื่อก่อกบฏจนส่งผลกระทบต่อร่างกาย เขาจึงพยายามชวนสนทนาเรื่องอื่น
และความสนใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เปลี่ยนตาม “พวกเขาจะกลับมาถึงเมื่อไหร่”
“น่าจะราวๆ สามถึงห้าวันพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเขามาถึงเมื่อไหร่ ให้เข้ามาพบข้าทันที”
พานไห่รีบตอบรับทันควัน
วังหลวงกลับสู่ความเงียบสงัด คนในวังไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงเอะอะ ผู้คนหวาดกลัวและเนื้อตัวสั่น ต่างก็เฝ้าอดทนให้ช่วงเวลาเมฆหมอกมืดมิดของการประหารชีวิตไท่จื่อให้ผ่านพ้นไป
กว่าเวลาแห่งการพักผ่อนจะมาถึง เจียงซื่อจึงมีโอกาสพาอาฮวนกลับไปเยี่ยมที่จวนของมารดา