ในช่วงที่กระแสข่าวลือยังโหมกระหน่ำ เจียงซื่อพาบุตรสาวกลับไปที่จวนตงผิงปั๋ว โดยมิได้ให้อวี้จิ่นตามไปด้วย
จวนปั๋วรื่นเริงยินดีเป็นธรรมดา
แต่แน่นอนว่าเป็นความรื่นเริงเล็กๆ เพื่อมิให้ถูกคนภายนอกตำหนิเอาได้
“อาฮวน เรียกท่านตาสิ” เจียงอันเฉิงลูบเนื้อตัวจ้ำม่ำของอาฮวน พร้อมหอมแก้มกลมๆ เต็มรักหลายครั้ง เครายาวของเจียงอันเฉิงทำให้เด็กน้อยตื่นตระหนกจนร้องไห้จ้า
เจียงอันเฉิงทำตัวไม่ถูก รีบหันไปขอความช่วยเหลือจากเจียงซื่อ
เจียงซื่อรับอาฮวนไปอุ้ม กอดปลอบอยู่เพียงครู่หนึ่ง อาฮวนก็เงียบ นางถึงได้ส่งให้แม่นมอุ้มต่อ นางกล่าวมุบมิบ “ท่านพ่อ ท่านเป็นผู้ใหญ่ไยถึงไปแกล้งอาฮวน นางเพิ่งจะสามเดือนกว่า จะเรียกท่านตาได้อย่างไร ขนาดแม่ นางยังเรียกไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
“แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเรียกแม่เล่า” เจียงอันเฉิงถามด้วยความสงสัย
แม้ว่าเขาจะมีบุตรมาแล้วถึงสามคน แต่บุรุษใหญ่อย่างเขาจะจำรายละเอียดเหล่านั้นได้อย่างไร อีกอย่างช่วงเวลาเช่นนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ฉะนั้นเมื่อเจียงอันเฉิงได้เห็นหลานสาวหน้าตาจิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตาจึงรู้สึกความแปลกใหม่
เจียงซื่อจนด้วยคำถาม นางตอบจากการคาดคะเน “อย่างน้อยๆ ก็น่าจะเลยสี่ห้าเดือนไปก่อนเจ้าค่ะ”
เจียงอันเฉิงทำหน้าตกใจ “งั้นคงต้องรอให้อายุถึงสี่ห้าเดือนก่อนน่ะสิ”
“เขาบอกว่าเด็กจะเรียกแม่ได้ก่อน หากท่านพ่อจะให้อาฮวนเรียกท่านตา คงต้องรอไปอีก” เจียงซื่อบอกพลางส่งยิ้ม
เจียงอีที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “ใครบอกกันว่าอาฮวนสี่ห้าเดือนแล้วจะเรียกแม่ได้ ปกติแล้ว เด็กต้องอายุขวบหนึ่งก่อนถึงจะเรียกได้ต่างหากเล่า”
นางกล่าวพลางส่ายหัว “น้องสี่ เจ้าเป็นแม่คนแล้ว เหตุใดเรื่องแค่นี้ถึงไม่รู้”
เจียงซื่อหัวเราะกลบเกลื่อน “ก็เป็นแม่ครั้งแรก ยังไม่มีประสบการณ์”
“พระชายา เสี่ยวจวิ้นจู่บรรทมแล้วเพคะ” แม่นมเอ่ยแผ่วเบา
เจียงซื่อเหลือบมองใบหน้ากลมมีสีแดงระเรื่อของบุตรสาวก่อนจะหันไปสั่งให้พาอาฮวนไปนอนที่ห้องข้างๆ
ในห้องนั้นจึงเหลือเพียงผู้เป็นบิดาและบุตรสาวทั้งสอง
เจียงอันเฉิงเผยสีหน้าจริงจังทันใด
“ซื่อเอ๋อร์ ในวังหลวงอันตรายยิ่งนัก พวกเจ้าต้องระวังให้มาก”
เรื่องนี้ทำให้เจียงอันเฉิงนอนไม่หลับ
ก่อนหน้านี้ครอบครัวของจิ้นอ๋องก็ถูกส่งไปเฝ้าอยู่ที่สุสานหลวง จวนอ๋องกว้างใหญ่ถูกทิ้งร้าง ผ่านไปไม่ทันไร ก็เกิดเรื่องกับไท่จื่อ
วังหลวงนี่น่ากลัวยิ่งนัก
เจียงอันเฉิงรู้สึกเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่าที่ตนไม่ยอมคัดค้านให้ถึงที่สุด หากยกซื่อเอ๋อร์ให้แต่งงานกับตระกูลเจินยังดีเสียกว่า
ได้ยินมาว่าเด็กหนุ่มตระกูลเจินผู้นั้นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เห็นว่าตอนนี้ได้เข้าไปอยู่ในหอสมุดเหวินยวนเก๋อแล้ว
แต่แน่นอนว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ หากใช้แซ่เจินจะมีชีวิตรอดปลอดภัย เพราะจ้วงหยวนหลางที่สอบได้ที่หนึ่งถือเป็นตัวนำโชคของแผ่นดินต้าโจว ตราบใดที่คนแซ่เจินมิได้ทำผิดร้ายแรง ผู้ใดจะกล้าทำร้ายตัวนำโชค
อีกอย่าง เด็กนั่นก็ยังไม่แต่งงานเสียด้วย
ส่วนพี่เจินก็แลดูมิได้เร่งเร้า แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาไปร่ำสุรากับพี่เจิน แล้วบังเอิญสังเกตเห็นรอยช้ำที่หางตา คาดว่าคงเป็นฝีมือของเจินฮูหยิน…
“ท่านพ่อวางใจได้ ข้ากับอาจิ่นไม่เข้าไปยุ่งเรื่องพวกนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
เจียงอันเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเบาใจ “อยู่ให้ห่างไว้ พวกเจ้าในตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว มีความเป็นอยู่ที่ดี มีอิสระในการไปไหนมาไหน อีกทั้งยังเป็นที่เคารพของผู้คนมากมาย…”
เรื่องการแก่งแย่งชิงตำแหน่งจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก โชคดีที่ลูกเขยเป็นคนฉลาด
เจียงอันเฉิงสนทนากับเจียงซื่อพักใหญ่ก่อนจะปล่อยให้สองพี่น้องสนทนากันตามลำพัง ส่วนตัวเองก็เดินไปดูอาฮวนที่ห้องข้างๆ
ครั้นเจียงอันเฉิงออกไปแล้ว เจียงซื่อก็หันไปหาเจียงอี
เนื่องจากมิได้เห็นหน้าคร่าตามาหลายวัน จึงรู้สึกว่าเจียงอีดูซูบผอมลงไปมาก เรือนร่างบอบบางประหนึ่งแผ่นกระดาษที่พร้อมจะปลิวไปกับสายลมทุกเมื่อ
เจียงซื่อเอื้อมมือไปจับมือของเจียงอี
มือผอมแห้งของอีกฝ่ายเย็นเล็กน้อย
เจียงซื่อเอ่ย “พี่ใหญ่ หมู่นี้คงนอนไม่ค่อยหลับใช่หรือไม่”
การไปเดินเที่ยวที่ร้านเจินเป่าแต่กลับเกือบถูกทำร้าย ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกิดกับสตรีคนใดก็เป็นฝันร้ายทั้งนั้น สิ่งที่ทำให้หลุดพ้นจากความรู้สึกเช่นนี้คือ ต้องได้รู้ว่าคนที่ทำร้ายได้รับผลในสิ่งที่ก่อแล้ว
นี่คือวัตถุประสงค์หลักที่เจียงซื่อกลับมาที่จวนปั๋วคราวนี้
เจียงอีรู้ตัวจึงรีบชักมือกลับ พยายามแสร้งทำเป็นสบายดี “เปล่านี่ น้องสี่มิต้องห่วงข้า”
น้องสี่ต้องอยู่ในราชวงศ์ที่อันตรายเยี่ยงถ้ำเสือ มีเรื่องให้กังวลมากพออยู่แล้ว หากน้องสาวยังต้องเป็นห่วงเรื่องของพี่สาวอีก นางคงรู้สึกละอายแก่ใจยิ่งนัก
เจียงซื่อแอบถอนหายใจ พลางเอ่ยแผ่วเบา “พี่ใหญ่ คนที่ทำร้ายพี่ตายไปแล้ว”
เจียงอีตกตะลึง โพล่งออกมาทันใด “เขาคือใคร”
เจียงซื่อเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “ไท่จื่อ”
เจียงอีมือสั่น สีหน้าขาดสีจนซีดราวกับสีของหิมะในชั่วพริบตา นางพึมพำ “เป็นไปได้อย่างไร…จะเป็นไปได้อย่างไร”
นางเป็นเพียงสตรีที่เฝ้าอยู่แต่ในเรือนของมารดา นางจะไปทำให้ไท่จื่อเร้าโทสะได้อย่างไร
เจียงซื่อเกาะแขนเจียงอีพลางเอ่ยด้วยความรู้สึกละอายแก่ใจ “พี่ใหญ่ เป็นเพราะข้าที่ทำให้พี่ใหญ่ต้องลำบากไปด้วย ไท่จื่อชั่วช้าสามานย์ แต่ข้ากลับไม่ทันระวัง ปล่อยให้ไท่จื่อได้พบกับพี่ใหญ่…”
ขนตาของเจียงอีสั่นระริก “น้องสี่ เจ้าหมายถึงที่งานเลี้ยงที่อาฮวนอายุครบเดือน…”
ประโยคท่อนหลังขาดห้วง
เจียงซื่อพยักหน้ารับ
เจียงอีหน้าแดงด้วยความโกรธและความแค้นใจ “คนชั่วเช่นนี้ มิควรเป็นองค์รัชทายาท!”
เรื่องนี้ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย นางและไท่จื่อเคยพบหน้ากันเพียงครั้งเดียว ซึ่งไม่สามารถเรียกว่าเป็นการพบหน้าด้วยซ้ำ ไท่จื่อยังทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นได้ลงคอ
เจียงซื่อหัวเราะแผ่วเบา “ตอนนี้เขาก็เลยตายไปแล้ว”
เจียงอีผงะไปในทันใด นางชำเลืองมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งห้องมีกันแค่สองคน ก่อนจะถอนหายใจออกมา สีที่ปลายนิ้วมือซีดจางเล็กน้อย “น้องสี่ ไท่จื่อ เขา…”
เจียงอีไม่กล้าพูด
คนอื่นอาจไม่ทราบ แต่นางและน้องรองทราบดีว่าเจียงซื่อมีความสามารถเพียงใด
น้องสี่กำจัดองค์หญิงใหญ่หรงหยางเพื่อล้างแค้นแทนท่านแม่ โดยที่ใบหน้าของนางมิได้เปลี่ยนไปจากปกติ หรือว่าการเสียชีวิตของไท่จื่อจะเกี่ยวข้องกับน้องสี่…
เจียงอีแสดงออกชัดว่ากำลังหวั่นวิตก
ไท่จื่อคือองค์รัชทายาท หากน้องสี่มีส่วนเกี่ยวข้อง แล้วมีคนรู้ความจริงเข้าจะทำเช่นไร
เมื่อเห็นท่าทีของเจียงอี เจียงซื่อจึงดึงมือนางมาจับ พลางเอ่ยอย่างใจเย็น “ไท่จื่อตั้งใจจะปลงพระชนม์ฮ่องเต้ผู้เป็นพระราชบิดาแท้ๆ ของตน ถึงตายก็ยังไม่สาสมกับสิ่งที่ทำ สวรรค์เป็นคนจัดการ มิได้เกี่ยวข้องกับใครอื่น”
เจียงอีอ้าปากค้างก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด “อื้ม ที่แท้ก็สวรรค์ลงโทษ มิได้เกี่ยวกับคนอื่น”
ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็จะต้องไม่เกี่ยวกับน้องสี่ ไม่มีทางเด็ดขาด!
ในเมื่อน้องสี่ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางก็จะไม่ก้าวก่าย เพราะหากนางกระโตกกระตากและใครอื่นรู้เข้า นั่นอาจเป็นการทำร้ายน้องสี่
“ดังนั้นพี่ใหญ่ไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว ข้าไม่อยากให้พี่ใหญ่เป็นเหมือนพวกโดนงูกัดหนเดียว แล้วต้องกลัวเชือกไปอีกสิบปี รู้ไว้เถิดว่า สุดท้ายแล้วในพื้นพิภพนี้คนชั่วย่อมถูกสวรรค์ลงโทษ”
เจียงอีพยักหน้าหงึกๆ
น้องสี่กังวลว่านางจะจมอยู่กับความทุกข์ ถึงได้กำจัดไท่จื่อ นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในความหวาดกลัวอีกแล้ว…แต่เมื่อคิดดูแล้ว หากยังรู้สึกกลัวอยู่จะทำอย่างไร
เจียงอีมองน้องสาวในท่าทีเบาสบาย นางรู้สึกหมดหวังและยินดีในคราวเดียวกัน
“พี่ใหญ่กำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
เจียงอีหลุดออกจากภวังค์แล้วนางก็ชวนเปลี่ยนเรื่อง “ข้าคิดถึงน้องรอง หมู่นี้ข้าไม่ได้รับจดหมายจากน้องรองเลย น้องสี่ได้รับบ้างหรือไม่”
ครั้นได้ยินเจียงอีเอ่ยถึงเจียงจั้น เจียงซื่อก็รู้สึกคิดถึงพี่ชายขึ้นมาเช่นกัน “ข้าก็ไม่ได้รับ บางทีพี่รองคงกำลังยุ่งกระมัง”
“เจ้าว่าน้องรองจะกลับมาฉลองขึ้นปีใหม่ได้หรือไม่ เพียงพริบตาเดียวก็ปาเข้าไปครึ่งปีแล้ว”
เจียงซื่อหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าว่าคงไม่ได้ ตราบใดที่เข้าไปเป็นทหารก็ไม่สามารถมีอิสระในการใช้ชีวิตเหมือนแต่ก่อน เพราะหากทุกคนร้องจะกลับบ้านมาฉลองปีใหม่ เกรงว่าคงวุ่นวายทีเดียวเชียว”
สองพี่น้องถอนหายใจก่อนที่ความเงียบจะเข้าปกคลุม