หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน กองขบวนที่ถูกส่งไปที่ดินแดนเผ่าอูเหมียวก็กลับมาถึงเมืองหลวง
หงหลูซื่อชิงมิได้ตรงกลับไปที่จวนของตน เขาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เป็นอันดับแรก
“หม่าอ้ายชิงอยู่ที่อูเหมียวมานานหลายเดือน สถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ สภาพร่างกายยังคงไร้กำลัง แต่เมื่อได้ยินว่าหงหลูซื่อชิงและคนอื่นๆ กำลังจะกลับมา เขาก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมากทีเดียว
หงหลูซื่อชิงยังไม่ทราบเรื่องไท่จื่อ จึงรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทีเฉื่อยเนือยของจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขาจึงเลือกเฉพาะเรื่องที่น่าสนใจของทางใต้มารายงาน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งฟัง ใบหน้าก็ยิ่งคล้ำหม่น
นี่เขาส่งคนพวกนี้ไปที่อูเหมียวเพื่อให้ไปเที่ยวเล่นหรืออย่างไร
ครั้นหวนนึกถึงความมืดหม่นในช่วงที่ผ่านมา กอปรกับใบหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อของหงหลูซื่อชิงแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็นึกอยากจะเอาที่ทับกระดาษเขกหัวให้รู้แล้วรู้รอด
พานไห่เห็นท่าจะไม่ดี จึงส่งเสียงกระแอมไอ
หงหลูซื่อชิงชำเลืองมองไปที่พานไห่ด้วยหางตา และเห็นว่าเขากำลังส่ายศีรษะ ในใจเริ่มหวั่นวิตก
ซวยแล้ว ก็แค่อยากจะทำให้ฮ่องเต้อารมณ์ดี ไม่คิดว่าตบตูดม้าจะพลาดโดนขาม้า[1]เสียอย่างนั้น
จะว่าไปแล้ว ไม่ได้เห็นหน้าแค่ครึ่งปี แต่เหตุไฉนฮ่องเต้ถึงได้ดูแก่ไวพรวดพราดปานนี้
แต่เดี๋ยว ตอนที่เขาเดินเข้ามาในวังหลวง รอบข้างเงียบกริบจะน่ากลัว ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ
หงหลูซื่อชิงแอบคิดในใจว่ารายงานความคืบหน้าเสร็จเมื่อไหร่จะรีบไปหาคำตอบ
เขาห่างจากเมืองหลวงแค่ครึ่งปี อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมดแล้วหรือ
เมื่อเห็นว่าหงหลูซื่อชิงเงียบไป จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับรู้สึกเบาใจ จึงเอ่ยถาม “แล้วคนอูเหมียวที่นั่นปฏิบัติกับพวกเจ้าอย่างไร”
“กราบทูลฝ่าบาท ชาวอูเหมียวปฏิบัติต่อพวกกระหม่อมด้วยท่าทีเกรงใจ และต้อนรับขับสู้อย่างดีพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังหงหลูซื่อชิงรายงานกว่าครึ่งชั่วยาม แต่กลับไม่ได้ข้อมูลเบาะแสที่เป็นประโยชน์ เขาจึงกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “หม่าอ้ายชิงคงเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย เจ้ากลับไปพักที่จวนเถอะ”
หงหลูซื่อชิงลอบถอนหายใจ เขายกมือคารวะ “กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
รอจนกระทั่งหงหลูซื่อชิงกลับออกไป จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หันไปกล่าวแก่พานไห่โดยพลัน “อีกเดี๋ยวเจ้าไปที่พระตำหนักคุนหนิง แล้วบอกให้ฮองเฮาเรียกพระชายาเยี่ยนอ๋องเข้ามา ข้ามีเรื่องจะไหว้วานนางเสียหน่อย”
พานไห่รับคำสั่ง
“ตอนนี้เจ้าไปเรียกหันหรานมาหาข้า”
การส่งกองทักำลังไปที่อูเหมียวครั้งนี้ นอกจากให้หงหลูซื่อชิงเป็นตัวแทนแล้ว ยังมีหน่วยองครักษ์จิ่นหลินร่วมเดินทางไปด้วย เพื่อจะช่วยอำนวยความสะดวกในการสืบหาความจริง
ไม่นานหันหรานก็เข้ามาพร้อมกับผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ซึ่งรับหน้าที่เป็นหัวหน้านำหน่วยองครักษ์จิ่นหลินไปที่อูเหมียว
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วพลางเอ่ยเนิบนาบ “ไม่ต้องมากพิธี พวกเจ้าเจอเบาะแสเกี่ยวกับผู้อาวุโสฮวาและหลานสาวบ้างหรือไม่”
เรื่องของผู้อาวุโสฮวาที่แหกคุกออกมาและลักลอบเปิดร้านรวงเล็กๆ อยู่ในเมืองหลวงมานานเป็นสิบปีทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจวางใจสงบ
ลูกน้องของหันหรานเอ่ยตอบ “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่พบร่องรอยเบาะแสของผู้อาวุโสฮวาและหลานสาวเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่น
การที่ไม่พบเบาะแสเกี่ยวกับผู้อาวุโสฮวามีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือ เผ่าอูเหมียวทราบเรื่องที่ผู้อาวุโสฮวาก่อไว้ที่เมืองหลวง ครั้นเห็นว่าต้าโจวส่งกองขบวนไปเยี่ยมเยียนจึงเอาตัวทั้งคู่ไปซ่อน หรือความเป็นไปได้อย่างที่สองคือยายหลานคู่นั้นอาจจะยังอยู่ในเมืองหลวง
ไม่ว่าจะเป็นข้อใดก็สร้างความหนักใจให้เขาอย่างใหญ่หลวง
“แล้วที่เผ่าอูเหมียวมีความผิดปกติอะไรบ้างหรือไม่” คำถามของจิ่งหมิงฮ่องเต้เจือไปด้วยความผิดหวัง
เมื่อเรื่องเกี่ยวข้องกับอูเหมียวคราใด ผลที่ได้เป็นต้องลึกลับทุกครั้งไป การที่เขาอุตส่าห์ส่งองครักษ์จิ่นหลินให้เดินทางไปพร้อมกับกองขบวนนี่มันได้เรื่องอะไรบ้างไหม
จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกหวังไปแล้ว ทว่าคำตอบของลูกน้องหันหรานทำให้เขาต้องประหลาดใจ
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมอยู่ที่อูเหมียวหลายเดือน จึงมีโอกาสได้อยู่ร่วมพิธีสักการะทวยเทพซึ่งจัดทุกๆ สามปี แต่ปรากฏว่ากลับไม่เห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์เลยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกคิ้ว
แผ่นดินของต้าโจวและอูเหมียวอยู่ติดกัน ความลึกลับของชนเผ่านี้ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ศึกษาวัฒนธรรมของพวกเขามานานแล้ว
พิธีสักการะทวยเทพที่จัดทุกสามปีถือเป็นพิธีสำคัญของเผ่าอูเหมียว ซึ่งโดยปกติแล้วหัวหน้าผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวจะเป็นผู้ประกอบพิธี ส่วนสตรีศักดิ์สิทธิ์จะทำหน้าที่เป็นผู้บวงสรวงต่อเทพเจ้า
การที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ปรากฏตัวในงานพิธีสำคัญเยี่ยงนี้ ดูผิดปกติยิ่งนัก
“ว่าต่อซิ”
ลูกน้องของหันหรานกล่าวต่อ “เนื่องจากสตรีศักดิ์สิทธิ์มิได้ปรากฏตัวในพิธีสักการะทวยเทพ ชาวอูเหมียวจึงรู้สึกไม่สบายใจ นอกจากนี้กระหม่อมยังบังเอิญเห็นผู้อาวุโสสองท่านมีถกเถียงกันถึงสาเหตุที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนตลอดหลายปีที่ผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ…”
“ก็หมายความว่า การที่สตรีศักดิ์ไม่ปรากฏกาย ทำให้ชาวอูเหมียวรู้สึกไม่สบายใจอย่างนั้นหรือ”
ลูกน้องของหันหรานพยักศีรษะ “เป็นจริงดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากมีขุนนางต้าโจวอยู่ที่นั่นด้วย บรรดาผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวจึงพยายามปิดเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจซ่อนความกระวนกระวายใจไว้ได้ กระหม่อมรับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจของชาวอูเหมียวได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเห็นว่ามีคนบางกลุ่มเรียกร้องขอพบหน้าสตรีศักดิ์สิทธิ์พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเจ้าทราบหรือไม่ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เริ่มหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“กระหม่อมได้ยินจากปากของสตรีชาวอูเหมียวนางหนึ่งว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอย่างน้อยๆ ก็สามปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วมีความผิดปกติอะไรอีกหรือไม่”
ลูกน้องของหันหรานส่ายหัว “กระหม่อมโง่เขลา มิได้สังเกตเห็นความผิดปกติอื่นๆ พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะ “เจ้าทำได้ดีแล้ว หันหราน นายคนนี้เลือกมาได้ดีทีเดียว”
หันหรานรีบตอบ “ฝ่าบาทตรัสชมเกินไปพ่ะย่ะค่ะ โชคดีที่องครักษ์ผู้นี้พอเข้าใจภาษาอูเหมียวพ่ะย่ะค่ะ…”
การจะเป็นสายสืบที่ดี พละกำลังด้านร่างกายอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ความรู้ความสามารถถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เคราะห์ดีที่เมื่อสองปีก่อน เขาส่งคนหนุ่มที่มีฝีมือกลุ่มหนึ่งไปเรียนภาษาอื่นๆ พร้อมกับคนจากหงหลูซื่อ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคต
เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็พยักหน้าเล็กน้อย
ผู้ใต้บังคับบัญชาของหันหรานจึงกลับออกไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่พานไห่และหันหรานพลางถามเคร่งขรึม “พวกเจ้ามีความเห็นอย่างไร”
ทั้งคู่หันมาสบตากัน
ผ่านไปไม่นาน หันหรานก็เป็นฝ่ายพูดก่อน “กระหม่อมคิดว่าน่าจะเกิดเรื่องกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียว เพราะไม่อย่างนั้นคงมาปรากฏตัวในพิธีสักการะทวยเทพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สถานะของสตรีศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับสถานะของไท่จื่อในแผ่นดินต้าโจว หรืออาจจะสำคัญมากกว่านั้น การที่มิได้ออกมาปรากฏตัวจึงทำให้คนในเผ่ารู้สึกไม่สบายใจ อีกทั้งยังเป็นการจุดประกายความคิดที่จะรุกรานของชนต่างชาติ
“ยังเหลือคนของพวกเราอยู่ที่นั่นอีกเท่าไหร่” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถาม
หันหรานรับตอบ “เหลืออยู่หกคนพ่ะย่ะค่ะ แต่คนพวกนั้นปลอมตัวเป็นพ่อค้าทั่วไป มิได้เผยตัวตนตั้งแต่แรกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คนอูเหมียวอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน ประกอบกับจำนวนประชากรอันน้อยนิด ฉะนั้นการที่ชนต่างชาติเข้าไปอยู่ท่ามกลางพวกเขาจึงเป็นที่สะดุดตา ยากที่จะปกปิดตัวตน ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการปลอมตัวเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่แทบชายแดน เพื่อจะได้มีโอกาสได้คลุกคลีกับคนที่นั่น
“ให้พวกนั้นจับดูเผ่าอูเหมียวให้ดี โดยเฉพาะเรื่องสตรีศักดิ์สิทธิ์ หากมีเรื่องด่วนอะไรก็ให้รีบมารายงานข้าทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นวดบริเวณหว่างคิ้ว “พานไห่ เจ้าไปที่ตำหนักคุนหนิงได้แล้ว”
พานไห่วิ่งไปที่ตำหนักคุนหนิง อธิบายแก่ฮองเฮาว่าฮ่องเต้ต้องการพบพระชายาเยี่ยนอ๋อง
ฮองเฮาฉงนเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ
พระชายาเยี่ยนอ๋องมีสถานะต่ำกว่าเหล่าองค์ชาย การที่ฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าอาจดูผิดวิสัย ฉะนั้นแล้วจึงวานให้นางช่วยเป็นธุระ
ไม่นานเจียงซื่อก็ได้รับคำสั่งให้เข้าเฝ้าฮองเฮา
อวี้จิ่นไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด “อยู่ดีๆ ฮองเฮาจะมาเรียกเจ้าเข้าเฝ้าด้วยสาเหตุอันใด”
หมู่นี้ฮองเฮามีเรื่องมาให้กลุ้มไม่หยุดหย่อน เขายิ่งไม่อยากให้อาซื่อเข้าวังบ่อยๆ อยู่ด้วย
เจียงซื่อหัวเราะ “ไปก่อนถึงจะรู้ หยุดทำหน้าบึ้งตึงได้แล้ว ฮองเฮาปรารถนาจะพบข้า ผู้ใดจะปฏิเสธได้”
ริมฝีปากบางของอวี้จิ่นเม้มลงพลางบ่นงึมงำ “เหนือไท่จื่อก็ยังมีฮองเฮา เหนือฮองเฮาก็ยังมีไทเฮาและฮ่องเต้ น่าหงุดหงิดเสียจริง”
[1] ตบตูดม้าจะพลาดโดนขาม้า อยากพูดจาประจบเอาใจแต่กลับทำให้ผู้ฟังขุ่นหมอง