ตอนที่ 573 ควบคุมสถานการณ์ให้มั่นคง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 573 ควบคุมสถานการณ์ให้มั่นคง

แม้ไป๋ชิงเหยียนจะพักแค่คืนเดียว ทว่า เฉวียนอวี๋อยากทำให้หญิงสาวรู้สึกสะดวกสบายมากที่สุด

หลูผิงก้าวไปด้านหน้า ทำความเคารพหญิงสาวตรงริมหน้าต่าง “คุณหนูใหญ่ ข้าส่งฉินซ่างจื้อกลับไปแล้วขอรับ เขาฝากข้ามาเรียนคุณหนูใหญ่ว่าเขาจะอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทต่อเพื่อคอยประคับประคองให้องค์รัชทายาทกลายเป็นจักรพรรดิที่ดี มีเมตตาและรักชาวบ้านขอรับ”

ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ละสายตาจากตำราในมือ พลิกกระดาษหน้าถัดไป “ข้าเข้าใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถิด”

แม้หลูผิงจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ทว่า เขากังวลว่าคุณหนูใหญ่อาจรู้สึกไม่พอใจจึงกล่าวต่อ “ฉินซ่างจื้อเป็นคนมากความสามารถจริงๆ ข้าจะลองโน้มน้าวเขาอีกทีขอรับ…”

“ลุงผิงไม่ต้องเปลืองแรงหรอก ฉินซ่างจื้อเป็นคนมีความสามารถ ทว่า เขาเป็นคนดื้อรั้น ไม่ยอมมาทำงานกับข้า ในเมื่อเขาไม่ยินยอม ต่อให้มีความสามารถมากเพียงใดก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเขาอีก” ไป๋ชิงเหยียนพยายามเต็มที่แล้ว สิ่งใดที่ควรหรือไม่ควรกล่าว นางล้วนกล่าวอย่างชัดเจนแล้ว “ที่ปรึกษาข้างกายของฮ่องเต้เป็นได้ยาก ที่ปรึกษาข้างกายขององค์รัชทายาทเป็นยากยิ่งกว่า หวังว่าฉินเซียนเซิงจะช่วยให้องค์รัชทายาทกลับมาเดินในทางที่ถูกต้องได้ด้วยแรงของเขาเพียงคนเดียวดั่งที่ใจเขาปรารถนาได้ หากเขาทำได้เช่นนั้นจริงๆ ข้าจะนับถือเขายิ่งนัก!”

หากฉินซ่างจื้อทำได้เช่นนั้นจริง เหตุใดชาติที่แล้วเขาต้องอยู่อย่างหดหู่ไปตลอดชีวิตด้วย

ช่างเถิด นางทำเต็มที่แล้ว ทว่า ฉินซ่างจื้อยังคงเลือกทางเดินเก่า นางก็จนปัญญาแล้วจริงๆ

นางกล่าวสิ่งที่ควรกล่าวและไม่ควรกล่าวออกไปหมดแล้ว ทว่า ฉินซ่างจื้อยังไม่ยอมมาร่วมมือกับนาง เดิมทีนางไม่ควรประมาทปล่อยเขาเอาไว้ ทว่า คนผู้นี้คือฉินซ่างจื้อ ไม่ใช่คนอื่น

ตอนพบหน้ากันครั้งแรก ฉินซ่างจื้อให้คำแนะนำแก่นาง ในสายตาของนางฉินซ่างจื้อถือเป็นอาจารย์คนหนึ่งของนาง

ที่สำคัญก็เป็นจริงดั่งที่ฉินซ่างจื้อกล่าว หากมีเขาคอยอยู่ข้างกายขององค์รัชทายาท อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถช่วยโน้มน้าวองค์รัชทายาทไม่ให้ทำเรื่องชั่วร้ายได้ ทว่า หากไม่มีฉินซ่างจื้ออยู่ องค์รัชทายาทรับฟังแต่คำกล่าวของฟางเหล่า ราชสำนักคงเน่าเฟะเร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลไป๋เลยสักนิด

อีกประการ ไป๋ชิงเหยียนรู้จักนิสัยและความทะนงของฉินซ่างจื้อดี ขอเพียงชาวบ้านไม่ได้ลำบากยากแค้นจนตระกูลไป๋คิดก่อกบฏ ฉินซ่างจื้อจะพยายามทำให้ทั้งสองฝ่ายอยู่กันอย่างปรองดอง ไม่ให้เรื่องดำเนินไปถึงขั้นนั้นโดยเด็ดขาด

หากมองในแง่ร้ายที่สุด แม้ฉินซ่างจื้อจะบอกองค์รัชทายาทว่านางมีใจคิดกบฏ องค์รัชทายาทจะเชื่อเขาอย่างนั้นหรือ ฟางเหล่าจะปล่อยให้องค์รัชทายาทเชื่ออย่างนั้นหรือ

ตอนนี้ไป๋ชิงเหยียนไม่ใช่หลานสาวคนโตของตระกูลไป๋ที่สู้รบกับราชวงศ์ตัวเปล่าเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว นางพยายามอย่างสุดความสามารถเดินมาจนถึงทุกวันนี้ นางมีที่พึ่งพาอยู่ในมือแล้ว

“ฉินซ่างจื้อคิดทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาเชื่อว่าทุกอย่างจะกลับมาสู่ความถูกต้องได้ แม้ราชวงศ์จะเหลวแหลก เขาก็ยังคิดจะทำให้องค์รัชทายาทกลับตัวด้วยแรงของเขาเพียงคนเดียว ข้าเคารพเขาในข้อนี้” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางหลูผิงที่ขมวดคิ้วแน่น “ลุงผิง คนทุกคนมีหนทางที่เลือกเดิน หนทางไม่เหมือนกันจึงเดินไปด้วยกันไม่ได้ อย่าฝืนเลยจะดีกว่า”

หลูผิงนึกถึงคำที่ฉินซ่างจื้อกล่าวว่าเดินคนละทางเมื่อครู่ จึงพยักหน้ารับคำ “ข้าจะจดจำไว้ขอรับ!”

เช้าวันต่อมา องค์รัชทายาทนำเสบียงอาหารและของพระราชทานของฮ่องเต้ออกเดินทางไปยังเติงโจว

เมื่อคืนฟางเหล่านอนไม่หลับทั้งคืน สีหน้าของเขาจึงดูไม่ค่อยดีนัก เขาเดินขึ้นไปบนรถม้าทันที ส่วนเริ่นซื่อเจี๋ยโค้งกายทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนก่อน

เมื่อทำความเคารพเสร็จ เริ่นซื่อเจี๋ยเตรียมขึ้นไปบนรถม้าเดียวกับฟางเหล่า ทว่า เขาเห็นไป๋ชิงเหยียนมองมาที่เขาราวกับจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม เขาจึงก้าวไปด้านหน้า โค้งกายคำนับไป๋ชิงเหยียนอีกครั้ง “องค์หญิงเจิ้นกั๋วมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ได้ยินว่าเมื่อวานเริ่นเซียนเซิงกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด เริ่นเซียนเซิงเป็นคนเมืองเฝินผิงอย่างนั้นหรือ” ไป๋ชิงเหยียนกำแส้ม้าไว้ในมือพลางเอามือไขว้หลังด้วยท่าทีองอาจ

“พ่ะย่ะค่ะ!” เริ่นซื่อเจี๋ยก้มหน้าตอบคำถาม เมื่อไม่ได้ยินเสียงของไป๋ชิงเหยียน เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง ไป๋ชิงเหยียนจ้องหน้าเขานิ่ง เขาจึงกล่าวต่อ “เมื่อวานกระหม่อมไม่อยู่ ทว่า สีพระพักตร์ขององค์รัชทายาทดีขึ้นมากหลังจากได้พบหน้าองค์หญิงเจิ้นกั๋ว องค์หญิงเจิ้นกั๋วคงช่วยเกลี้ยกล่อมและวางแผนให้องค์ชายได้แล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“แค่ช่วยวิเคราะห์เรื่องในเมืองหลวงให้องค์รัชทายาทฟังเท่านั้น ไม่ได้ช่วยคิดแผนการอันใด ข้าไม่ใช่ที่ปรึกษา เรื่องคิดวางแผนคงต้องฝากให้เป็นหน้าที่ของฟางเหล่า เริ่นเซียนเซิงและฉินเซียนเซิง” ไป๋ชิงเหยียนมองเริ่นซื่อเจี๋ยนิ่งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก้าวขึ้นหลังม้า

เริ่นซื่อเจี๋ยก้าวถอยหลังไปสองก้าว มองดูไป๋ชิงเหยียนพาองครักษ์ของตระกูลไป๋ขี่ม้าจากไป เขาจึงขึ้นไปบนรถม้า

เริ่นซื่อเจี๋ยนั่งรถม้าคันเดียวกับฟางเหล่า เขามองดูฟางเหล่านั่งก้มหน้าใช้ความคิดอย่างเคร่งเครียด เริ่นซื่อเจี๋ยไม่คิดว่าไป๋ชิงเหยียนจะจงรักภักดีต่อองค์รัชทายาทด้วยใจจริง ทว่า เมื่อไป๋ชิงเหยียนมาถึงกลับโน้มน้าวจนองค์รัชทายาทใจเย็นลงได้ แสดงว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วผู้นี้ต้องการควบคุมสถานการณ์ในราชสำนักและเมืองหลวงให้มั่นคงไปก่อน

บัดนี้ ฮองเฮาตั้งครรภ์อย่างกะทันหัน แถมราชครูเทพยังทำนายว่าเด็กในครรภ์คือกวางศักดิ์สิทธิ์กลับชาติมาเกิด คนในราชสำนักต่างตื่นเต้น องค์รัชทายาทจึงเริ่มร้อนใจ เริ่นซื่อเจี๋ยอยากให้ราชสำนักวุ่นวายเพราะเรื่องนี้ให้มากที่สุด ดังนั้นจึงไม่อาจปล่อยให้องค์รัชทายาทอยู่อย่างสงบได้

เริ่นซื่อเจี๋ยเงยหน้ามองฟางเหล่าที่ขอบตาดำคล้ำ กล่าวพลางส่ายหน้า “องค์ชายทรงเรียกองค์หญิงเจิ้นกั๋วมาพบ สุดท้ายนางก็เสนอความเห็นเดียวกับฟางเหล่าก่อนหน้านี้ เหตุใดต้องลำบากองค์หญิงเจิ้นกั๋วเดินทางมาให้เหนื่อยด้วย”

ฟางเหล่าได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งโมโห เขามองไปทางเริ่นซื่อเจี๋ย “ข้าแก่แล้ว จะมีใบหน้าน่ามอง น้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังอย่างองค์หญิงเจิ้นกั๋วได้อย่างไรกัน”

“ยาขมคือยาดี คำกล่าวไม่น่าฟังคือคำกล่าวที่จริงใจ ฟางเหล่าทำทุกอย่างเพื่อองค์รัชทายาท ข้ารับรู้ดีขอรับ” เริ่นซื่อเจี๋ยโค้งกายคำนับฟางเหล่า

เมื่อฟางเหล่าเห็นว่าเริ่นซื่อเจี๋ยที่ปกติไม่ค่อยแสดงความเห็นเข้าข้างตน เขาจึงอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย โบกมือให้ “ช่างเถิด ขอเพียงสุดท้ายองค์ชายทรงอดทนได้ก็พอแล้ว”

เมืองเฝินผิงอยู่ไม่ไกลจากเติงโจว ขบวนเดินทางไปอย่างไม่รีบร้อนเพราะคำนึงถึงสุขภาพขององค์รัชทายาท ขบวนรถม้าและขบวนเสบียงอาหารไปถึงเมืองเติงโจวก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

องค์รัชทายาทสั่งให้คนมาบอกก่อนแล้วว่าเขาจะประทับที่จวนต่ง ตระกูลต่งจึงจำต้องฝังร่างของต่งฉางหลานอย่างรีบร้อนก่อนที่องค์รัชทายาทจะเดินทางมาถึง จากนั้นทำความสะอาดจวนต่งใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง นอกจากโคมไฟสีขาวที่แขวนอยู่ที่หน้าจวน ผ้าไหมสีขาวที่ประดับตามระเบียงทางเดินล้วนถูกปลดออกทั้งหมด มองไม่ออกสักนิดว่าจวนต่งกำลังจัดพิธีศพอยู่

องค์รัชทายาทเห็นดังนี้ แม้ในใจจะรู้ดีว่าเพราะเหตุใด ทว่า ปากต้องกล่าวกับต่งชิงเยว่ว่าไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้

“ฉางหลานเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน มารดาและภรรยาของกระหม่อมต่างล้มป่วยทั้งคู่ ลูกสะใภ้ก็ยังป่วยลุกขึ้นมาจากเตียงไม่ไหวจึงไม่ได้ออกมาต้อนรับองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทได้โปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ต่งชิงเยว่กล่าวพลางเตรียมคุกเข่าลงที่พื้น

“ใต้เท้าต่ง…” องค์รัชทายาทรีบประคองต่งชิงเยว่ “ต่งเหล่าไท่จวินเจ็บปวดจากการสูญเสียหลานชายคนโต ฮูหยินต่งสูญเสียบุตรชาย ฮูหยินน้อยสูญเสียสามี นี่คือเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เราเข้าใจดี จะกล่าวโทษได้อย่างไร”

“จริงสิ…” ต่งชิงเยว่หันไปทางต่งฉางเม่าซึ่งยืนอยู่ด้านหลังตน จากนั้นกล่าวกับองค์รัชทายาท “นี่คือต่งฉางเม่าบุตรชายคนรองของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ หากองค์รัชทายาทมีเรื่องอันใด ทรงรับสั่งให้ฉางเม่าไปจัดการได้ทุกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ”

ต่งฉางเม่าทำความเคารพองค์รัชทายาท “คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”

องค์รัชทายาทพยักหน้า มองสำรวจต่งฉางเม่า “ระหว่างเดินทางมาที่นี่ได้ยินว่าคุณชายฉางเม่าได้รับบาดเจ็บหนัก ลำบากแล้ว!”