บทที่ 627 จับตัวประกัน

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 627 จับตัวประกัน

บทที่ 627 จับตัวประกัน

ในตอนแรก ซูอันคิดว่าเขาจะต้องพูดอะไรบางอย่างเพื่อกระตุ้นคนพวกนี้สักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขากำลังจะต้องไปเผชิญหน้ากับกองทหารราชองครักษ์ ใคร ๆ ก็ต้องลังเลใช่ไหม?

แต่เมื่อเห็นความแน่วแน่ในดวงตาที่เป็นประกายของพวกเขาแล้ว สุดท้ายซูอันก็เข้าใจว่าทหารเหล่านี้ไม่ต้องการการโน้มน้าวใจใด ๆ ทั้งนั้น กองทหารถูกเรียกมารวมตัวทั้งหมดอย่างรวดเร็วและเตรียมการเสร็จสิ้นในเวลาไม่นาน

เมื่อเห็นว่าซูอันสับสนเล็กน้อย ฉู่อวี้เฉิงก็ช่วยขจัดความสับสนของเขา

“กองทัพผ้าคลุมสีชาดภักดีและอุทิศตนให้กับตระกูลฉู่อย่างไร้ข้อกังขามาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ พวกเขาต่อสู้เคียงข้างกันผ่านการต่อสู้นับไม่ถ้วน ภาระหน้าที่สืบต่อจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก และภริยาที่แต่งงานกับพวกเขานั้นล้วนเป็นสาวใช้จากตระกูลฉู่ ด้วยวิธีนี้ กองทัพผ้าคลุมสีชาดทุกชั่วอายุคนจึงเป็นลูกหลานของตระกูลฉู่ ดังนั้นชะตากรรมของเราและของพวกเขาจึงเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัดว่ากองทัพนี้เป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับตระกูลฉู่

“แน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้ใครก็ตามในตระกูลใช้กองทัพนี้ก่อการกบฏ กฎที่เข้มงวดจึงถูกจัดตั้งขึ้น เฉพาะในกรณีที่ผู้นำตระกูลมาด้วยตัวเองหรือมีตราคำสั่งอยู่เท่านั้นจึงจะสามารถระดมกำลังทหารเหล่านี้ได้” ฉู่อวี้เฉิงมองดูเขาด้วยความอิจฉา “ข้าไม่นึกเลยว่าท่านลุงจะยอมมอบตราคำสั่งให้เจ้า! ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อใจเจ้ามากจริง ๆ”

ฉู่ฮงไฉแทบสำลักเมื่อได้ยิน เขาทำท่าไม่พอใจอย่างชัดเจน “ข้าจะพูดให้ชัด ข้าไม่ได้เชื่อฟังเจ้า แต่ทำเพื่อตระกูลฉู่! อีกอย่างหนึ่งข้าต้องการปกป้องแม่ของข้าด้วย เพราะนางไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อการของพ่อข้า!”

ซูอันยิ้ม “พี่ชายเป็นคนที่มีเกียรติจริง ๆ ข้าชื่นชมความซื่อสัตย์ของท่านมาโดยตลอด ถ้าตระกูลฉู่ผ่านวิกฤตนี้อย่างปลอดภัย ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องและฮูหยินจะให้อภัยแม่ของท่านอย่างแน่นอน”

มันค่อนข้างแปลกจริง ๆ ฉู่เทียนเซิงเป็นตัวละครที่ทรยศและน่ารังเกียจ แต่ลูกชายของเขาแม้จะอารมณ์ร้อนไปหน่อย แต่กลับเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีเกียรติต่างจากผู้เป็นพ่อโดยสิ้นเชิง!

ในที่สุดสีหน้าของฉู่ฮงไฉก็ผ่อนคลายลงอย่างมากเมื่อเขาได้ยินคำเหล่านี้ เขา ‘ขอบคุณ’ เบา ๆ

แน่นอนว่าเขาเข้าใจสถานะขณะนี้ของซูอันภายในตระกูล ด้วยการรับประกันจากซูอัน ความปลอดภัยของแม่ของเขาจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

ทั้งสามคนเดินเข้าไปในเมืองจันทร์กระจ่าง พร้อมด้วยสมาชิกของ กองทัพผ้าคลุมสีชาดสามพันนาย

ประตูเมืองถูกปิดกั้นไว้นานแล้วเมื่อพวกเขามาถึง ทหารประจำเมืองจำนวนมากยืนเฝ้าตามหอรบและซุ้มประตู อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกคนเห็นกองทัพที่สวมผ้าคลุมสีแดงนี้ เหล่าทหารทุกคนประจำเมืองต่างตื่นตระหนก มือจับอาวุธแน่นขึ้นและหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดอย่างช่วยไม่ได้

ทุกคนต่างรู้ดีถึงชื่อเสียงของกองทัพผ้าคลุมสีชาด หากต้องสู้รบกันจริง ๆ มันจะเป็นฝ่ายพวกเขาที่พินาศ

“ระดมพลโดยไม่ได้รับคำสั่งจากราชสำนักงั้นเหรอ!? ตระกูลฉู่ของเจ้าพยายามที่จะก่อกบฏหรืออย่างไร??” ชายผู้หนึ่งคำรามอย่างโกรธจัด

ซูอันจำได้ว่าชายคนนี้คือรองเจ้าเมืองผางชุน ดังนั้นเขาจึงเร่งม้าไปข้างหน้าและยกตราคำสั่งขึ้น “ใครบอกว่าไม่มีคำสั่ง ข้าทำหน้าที่ภายใต้คำสั่งของอ๋องฉู่ เพื่อนำกองทัพผ้าคลุมสีชาดกลับไปปกป้องตระกูล!”

“ผู้แทนพระองค์กำลังสืบสวนตระกูลฉู่ พวกเจ้าจะทำอะไรได้อีกนอกจากก่อกบฏ?” ผางชุนตอบ

ซูอันหัวเราะอย่างเย็นชา “เห็นได้ชัดว่ามีกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีบางกลุ่มคิดจะรังแกตระกูลฉู่ของเรา เรากังวลว่าตัวแทนพระองค์อาจถูกหลอกลวง สิ่งที่เราต้องการคือเจรจากับเขา ตระกูลฉู่ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงแล้ว หากรองเจ้าเมืองยืนกรานที่จะขวางทางเรา ข้าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมองข้ามมิตรภาพในอดีตของเรา!”

เมื่อซูอันพูดจบ กองทัพผ้าคลุมสีชาดก็ส่งเสียงโห่ร้องดังก้อง พวกเขาชักกระบี่และธนูขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับการยุทธ์

ซูอันสับสนกับการมีอยู่ของกองทัพในโลกนี้มาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้บ่มเพาะแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งมาก

แต่ตอนนี้ เขาได้เข้าใจแล้ว แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของทหารแต่ละคนในกองทัพผ้าคลุมสีชาดจะไม่ได้วิเศษวิโส แต่เขาก็สามารถเห็นประกายแสงสีฟ้าอ่อนไหลผ่านร่างกายของเหล่าทหาร เชื่อมโยงแต่ละคนเข้าด้วยกันจนบังเกิดเป็นกลุ่มก้อนพลังขนาดมหึมา

ทันใดนั้น เขาจึงรู้สึกกดดันอย่างมากจากกองทัพนี้ มันยิ่งใหญ่กว่าที่เขาเคยรู้สึกเมื่อตอนเผชิญหน้ากับหลิวเหย่าซะอีก!

สีหน้าของเหล่าทหารที่เฝ้าประตูเมืองอยู่ต่างย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม แรงกดดันที่ท่วมท้นนี้ทำให้ทุกคนหน้าซีด แขนขาของพวกเขาเริ่มเย็นเยียบ ทุกคนหันไปหาผางชุน กระตุ้นให้เขาตัดสินใจโดยเร็ว

ผางชุนก็กังวลเช่นกัน เขาเข้าใจดีว่ากองทหารป้องกันประตูเมืองเหล่านี้ไม่ได้ต่อสู้มาเป็นเวลานาน และไม่ใช่คู่มือของกองทัพเสื้อคลุมสีชาด อย่างไรก็ตาม เขายังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ! เขาจะปล่อยให้คนเหล่านี้เข้าไปภายในเมืองได้อย่างไร?

ทันใดนั้น เขาคิดว่าทางออกเดียวของเขาคือการตายเพื่อธำรงไว้ซึ่งหน้าที่

แต่แล้วในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะแตกหัก รถม้าคันหนึ่งค่อย ๆ เคลื่อนตัวตรงเข้ามา เมื่อสังเกตเห็นสถานการณ์ก็หยุดอยู่ใกล้ประตูเมือง

ม่านเปิดออก และสตรีในชุดกระโปรงท่าทางงามสง่าก็ค่อย ๆ เดินออกมา “ท่านผาง ทำไมประตูเมืองปิดในเวลากลางวันแสก ๆ? ได้โปรดเปิดทางให้ข้าพเจ้าเข้าไปด้วย”

ผางชุนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คุณหนู ท่านช่วยมองสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ได้ไหม?”

คนที่โผล่ออกมาจากรถม้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูกสาวของเจ้าเมือง เซี่ยเต๋าอวิ๋น นางหันไปด้านข้างราวกับว่าเพิ่งสังเกตเห็นทัพใหญ่ที่กำลังเตรียมพร้อมจะตีเมือง “โอ้ นายน้อยซู ก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”

ใบหน้าของผางชุนกระตุก คุณหนู อย่างน้อยท่านช่วยแสดงให้สมบทบาทกว่านี้ได้ไหม?

ซูอันไม่คิดว่าจะเจอเซี่ยเต๋าอวิ๋นที่นี่ “แม่นางเซี่ย ท่านไปไหนมาหรือ?” เขารีบถาม

เซี่ยเต๋าอวิ๋นค่อย ๆ เดินลงจากรถม้าและเข้ามาหาเขาและพูดด้วยรอยยิ้ม “มีการแลกเปลี่ยนบทกวีในเมืองใกล้เคียง ข้าจึงเพิ่งกลับมาจากที่นั่น”

อันที่จริง การแลกเปลี่ยนบทกวียังไม่สิ้นสุด แต่นางก็รีบกลับมาทันทีเมื่อได้ยินว่ามีบางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้นกับตระกูลฉู่

หญิงสาวคนนี้สนใจในเรื่องศิลปะต่าง ๆ อย่างสุดใจ เขาคงจะแหย่นางสักเล็กน้อยในสถานการณ์ที่ต่างออกไป แต่ตอนนี้ เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะหยอกล้อใคร

“แม่นางเซี่ย โปรดหลีกทาง กระบี่ไม่มีตา และข้าเกรงว่าเจ้าอาจได้รับบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ” ซูอันเตือน กองทัพผ้าคลุมสีชาดและกองกำลังป้องกันเมืองใกล้จะสู้รบกันแล้ว ถึงเวลานั้นเด็กสาวที่บอบบางอย่างเซี่ยเต๋าอวิ๋นอาจถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ

เซี่ยเต๋าอวิ๋นพูดผ่านการส่งสัญญาณพลังชี่ว่า “โง่เขลาจริง! ทำไมเจ้าไม่จับข้าเพื่อบังคับให้พวกเขาเปิดประตู!?”

หลังจากพูดจบ นางก็เดินโซเซ แล้วล้มเข้าไปในอ้อมแขนของเขา จากนั้นก็กรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว “น…นี่เจ้ากำลังพยายามทำอะไรอยู่ อย่าทำเช่นนี้! ข…ข้ากลัวแล้ว!”

ซูอันจ้องมองหญิงสาวที่ล้มลงในอ้อมแขนของเขาอย่างโง่งม

ฉู่อวี้เฉิงและฉู่ฮงไฉตกอยู่ในความงุนงง เช่นเดียวกับกองทัพผ้าคลุมสีชาดทั้งสามพันคน

แม้แต่ผางชุนและทหารบนซุ้มประตูเมืองก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่พวกเขาเพิ่งเห็น

แม่นางเซี่ย เจ้าคิดว่าเราตาบอดงั้นเหรอ?

ซูอันรู้สึกขบขัน ถ้านางเป็นดาราแห่งวงการบันเทิงในโลกที่แล้วของเขา ทุกคนคงจะสาปแช่งนางว่าแค่หน้าสวย! นางจะต้องได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงที่แย่ที่สุดจากทุกเวทีไปครองแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มก็รีบตามน้ำ ในชั่วพริบตา ชายหนุ่มก็นำกระบี่มาจ่อที่คอของนางและตะโกนเสียงดังไปที่ประตูเมือง “ข้าจับแม่นางเซี่ยเป็นตัวประกันเอาไว้แล้ว! เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้าไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับนาง!”

ในเวลาเดียวกัน เขาเอนตัวเข้าไปใกล้ เซี่ยเต๋าอวิ๋นและกระซิบที่ข้างหูของนาง “ขอบคุณ”