“บุตรชายเฉิงกั๋วกง ที่แดนเหนือของพวกเรานั่นเป็นคนที่ทุกคนล้วนรู้จัก…”
“บุตรชายเฉิงกั๋วกงสามขวบขึ้นม้าได้….”
เสียงทุ้มต่ำของเหล่าจิ่วยังคงดังต่อเนื่องในห้อง
สามขวบ นี่จะเล่าตั้งแต่เล็กเลยเรอะ?
ติงต้าซานอดไม่ได้เช็ดเหงื่อ
“พี่ใหญ่เหล่าจิ่ว” เขารีบขัด “ที่แท้พวกท่านก็คุ้ยเคยกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงมากนี่เอง”
เหล่าจิ่วส่ายศีรษะ
“ไม่คุ้น” เขาเอ่ยเด็ดขาดฉับไว
ไม่คุ้น? ไม่คุ้นเจ้ากระตือรือร้นพูดปานนี้ เหมือนกับเป็นลูกชายของเจ้าเอง
พวกติงต้าซานอับจนวาจาอีกครั้ง
“แม้ไม่คุ้น แต่บุตรชายเฉิงกั๋วกงคนเช่นนี้ใครไม่รู้จัก? เขาอายุน้อยๆ ก็มีความสามารถปกครองฟ้าดิน มีปัญญา…” เหล่าจิ่วเอ่ยต่อ
หยุด เอาอีกแล้ว
พวกติงต้าซานรีบขัด
“ใช่แล้ว พวกเราก็คิดเช่นนี้”
“บุตรชายเฉิงกั๋วกงสู้เป็นรบเก่งยอดเยี่ยมจริงๆ”
“พวกเราก็ชื่นชมชื่อเสียงมานานแล้ว”
ทุกคนพากันเอ่ย
“น่าเสียดายก็แต่ไร้วาสนาได้พบ” เหล่าจิ่วพยักหน้าเอ่ย
ฐานะของพวกเขาพิเศษอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าถูกราชสำนักกับกองทหารมองว่าเป็นพวกแตกแถวต้องกำจัด พวกเขายังยกย่องบุตรชายเฉิงกั๋วกงปานนี้ เห็นได้ว่าสังหารศัตรูจากใจจริง
“พี่ใหญ่เหล่าจิ่ว พวกท่านเป็นผู้กล้าจริงๆ” ติงต้าซานเอ่ยอย่างจริงใจ
“เรื่องนี้พวกเราก็ไม่ปิดบังพวกท่านแล้ว” เหลาเถี่ยโถวที่อยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้น “บุตรชายเฉิงกั๋วกงอาจอยู่ที่นี่ เขาต้องการไปแดนเหนือ แต่ตอนนี้เขากำลังถูกราชสำนักตามจับ ข่าวก็กระจายออกไปแล้ว ชาวจินย่อมต้องการจับเขาด้วยแน่”
“ดังนั้นพวกเราหวังว่าหากพวกท่านพบบุตรชายเฉิงกั๋วกงเข้าช่วยได้ก็ช่วยสักหน่อย” ติงต้าซานก็รีบร้อนเอ่ยตามด้วย
“แม้พวกเราไม่อาจช่วยในที่แจ้งได้ แต่ลับหลังจะให้ความสะดวกแก่พวกท่านแน่นอน” หัวหน้าทหารหวังก็เอ่ยด้วย
เหล่าจิ่วมองพวกเขา ยิ้มแล้ว
“พวกเราจากไปก็เพื่อทำสิ่งนี้” เขาเอ่ย “พวกเราต้องตามหาบุตรชายเฉิงกั๋วกง อารักขาเขากลับแดนเหนือยอย่างปลอดภัย”
ที่แท้เป็นเช่นนี้ ความจริงนี่คือเป้าหมายที่พวกเขามาที่นี่สินะ นี่ก็คือแผนของเฉิงกั๋วกงสินะ
ก็บอกแล้วพ่อคนไหนไม่สนลูกชายบ้าง
นี่ก็สมเหตุสมผลแล้ว
จัดการโจรจินที่เมืองไคเต๋อ ไม่เพียงทำให้ราชสำนักมั่นคง ยังขจัดอันตรายแทนลูกชายเขาด้วย
เฉิงกั๋วกงสายตากว้างไกล ห่างพันลี้ตัดสินชัยชนะจริงๆ
นับถือ นับถือ
“พวกเราขอตัว” เหล่าจิ่วลุกขึ้นประสานมือเอ่ย
รวดเร็วฉับไวจริงๆ นอกจากตอนพูดถึงพ่อลูกเฉิงกั๋วกง
แต่ก็เข้าใจได้ คนมักจะพูดมากเกี่ยวกับเรื่องและคนที่เคารพง่ายอยู่บ้าง
พวกติงต้าซานรีบคำนับส่ง มองเหล่าจิ่วเดินออกจากห้องพักในค่าย หลังพวกเขาเดินไป ในหมู่ทหารรอบด้านก็ค่อยๆ มีคนเดินออกมา มองดูคล้ายไม่สนใจ แต่ล้วนค่อยๆ รวมตัวหลังร่างเหล่าจิ่วช้าๆ หายลับไปในความมืดอย่างรวดเร็วยิ่ง
……………………………………….
ในช่วงหนาวจัดบนถนนเมืองชิ่งหยวนยิ่งเงียบเชียบ
แต่เทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ดีขึ้นมาก
ถึงขั้นมีร้านรวงเปิดประตูใหม่อีกครั้ง
ทหารจินยังไม่ถอย แต่ก็ไม่ได้ข้ามแนวป้องกันของเฉิงกั๋วกงมา นอกจากนี้ข่าวที่ส่งมาใหม่ล่าสุดบอกว่าเอาเมืองไคเต๋อคืนมาได้แล้วด้วย ทหารจินที่แตกทัพก็ถูกไล่กำจัดเกลี้ยง
ข้างหลังนับว่ามั่นคงแล้ว
“มีเรื่องอะไรบอกคำเดียวให้พวกเขาไปก็พอ คุณหนูจวินท่านอย่ามาเองบ่อยๆ เลยขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่ของเมืองชิ่งหยวนเอ่ย พลางส่งคุณหนูจวินออกมา
เขามองบุรุษสิบกว่าคนที่ยืนอยู่ในลาน
แม้เทียบกับช่วงก่อนหน้าเพิ่มคนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แต่ตอนนี้อย่างไรก็ไม่ค่อยสงบนัก หากมีทหารจินกองเล็กฝ่าแนวป้องกันเข้ามาปล้นสังหารก็คงเหมือนเมืองไคเต๋อแบบนั้น แค่บุรุษสิบกว่าคนนี่มีประโยชน์อะไรอีก
“แค่สะดวกน่ะ” คุณหนูจวินเอ่ย
แค่สะดวกอะไร? แค่สะดวกมาเมืองชิ่งหยวนหรือ? ผู้ดูแลใหญ่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง เขามองคุณหนูจวินออกจากประตูขึ้นมาไปแล้ว บุรุษสิบกว่าคนก็ทยอยกันขึ้นม้าด้วย
“ผู้ดูแลใหญ่ท่านกลับไปเถอะ มีเรื่องอะไรท่านส่งจดหมายมา ข้าจะมาหา” คุณหนูจวินเอ่ย
ข้าส่งจดหมาย ท่านมาหา นี่เหมือนกลับกันไหม?
ผู้ดูแลใหญ่ทั้งจนปัญญาทั้งขำขันอยู่บ้างมองเด็กสาวคนนั้น มาที่นี่เวลาสั้นๆ นางกลับกลายเป็นเจ้าบ้านไปแล้ว ตนเองกลับกลายเป็นแขก
คณะเดินทางคณะนี้ของคุณหนูจวินเคลื่อนไปบนท้องถนนดึงดูดสายตาคนยิ่งนัก ทำให้บนท้องถนนกลายเป็นครึกครื้น
“คุณหนูจวิน”
คนเดินถนนพากันเอ่ยทักทายอย่างเคารพและยินดี
คุณหนูจวินยังไม่ไป เห็นได้ว่าเมืองชิ่งหยวนปลอดภัยแน่นอน ทุกคนจึงวางใจอยู่ที่นี่ได้
แม้คุณหนูจวินไม่ตรวจโรคให้พวกเขา แต่หมอในเมืองพบโรคยากอาการซับซ้อนล้วนไปปรึกษาได้ นี่เท่ากับเป็นขุนเขาค้ำเบื้องหลังผู้คนอย่างไม่ต้องสงสัย
ข่าวนี้ค่อยๆ แพร่กระจาย ไม่เพียงเมืองชิ่งหยวน กระทั่งชาวเมืองหลายแห่งใกล้เคียงใจก็สงบลงไปด้วย
มีประโยชน์กว่าก่อนหน้านี้ที่เหล่าแม่ทัพทางการปลอบประโลมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียอีก
“สาวน้อยคนนี้อยู่ มีประโยชน์เสียยิ่งกว่าทหารค่ายสองพันนายประจำการอยู่เสียอีกนะ” ความคิดนี้ทำให้แม่ทัพใหญ่เผิงล้อตนเองแล้ว
“ตั้งแต่ต้นจนจบข้าก็ขบคิดไม่เข้าใจว่าคุณหนูจวินทำไมต้องอยู่ที่นี่? เห็นชัดๆ ว่าแดนเหนืออันตรายปานนี้แล้ว” เจ้าเมืองโจวมองคณะของคุณหนูจวินที่เดินออกมาจากประตูเมือง แล้วถอนหายใจอีกครั้ง
“ใต้เท้า คำนี้พูดไม่ถูกต้องแล้ว” แม่ทัพใหญ่เผิงเอ่ยกระโชกโฮกฮากเอ่ย “มีอันตราย ข้ากับเจ้าก็ไม่ได้หนีนี่”
กับคนหยาบกระด้างคนนี้ คุยกันไม่รู้เรื่องเงียบเสียดีกว่าจริงๆ เจ้าเมืองโจวถลึงตามองเขา
“นางเด็กสาวจากต่างถิ่นคนเดียวเหมือนกับพวกเราได้หรือ? นางไม่ได้กินข้าวหลวงเสียหน่อย” เขาเอ่ย
“ใต้เท้าโจว ท่านนี่ใจแคบแล้ว” แม่ทัพใหญ่เผิงตบชุดเกราะเอ่ย “ไม่ว่าขุนนาง ทหาร ประชาชน ล้วนเป็นประชาชนของต้าโจว ปกบ้านป้องเมืองเป็นหน้าที่”
เจ้ารู้มากนักนะ! ตัวหนังสือรู้ยังไม่ถึงสิบตัวยังมาสั่งสอนข้าอีก เจ้าเมืองโจวคร้านจะสนใจเขา ก้าวไวๆ เดินลงจากประตูเมือง พยักหน้ายิ้มให้คุณหนูจวิน
คุณหนูจวินลงจากม้า มองเจ้าเมืองโจวกับแม่ทัพใหญ่เผิงพลางคำนับ
“ใต้เท้าทั้งหลายลำบากแล้ว” นางเอ่ย
เจ้าเมืองโจวกับแม่ทัพใหญ่เผิงรีบโบกมือ
“ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก เป็นหน้าที่ของผู้กินเงินหลวง” พวกเขาเอ่ย
พูดจบก็รู้สึกประหลาดอยู่บ้างอีกครั้ง
เด็กสาวคนนี้กลับเหมือนขุนนางยศสูงมาบำรุงขวัญเลย
“คุณหนูจวินเดินทางระวังด้วย” เจ้าเมืองโจวเก็บความคิดพิลึกในใจไปแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ให้พวกข้าอารักขาไปเถอะ” แม่ทัพใหญ่เผิงเอ่ยเสียงดัง
“ไม่ได้เด็ดขาด” คุณหนูจวินเอ่ย แม้เสียงอ่อนโยนแต่กลับไม่ยอมให้ปฏิเสธ “วันนี้ศัตรูประชิดชายแดน เฉิงกั๋วกงสั่งย้ำแล้วย้ำอีก ไม่อาจใช้ทหารเพื่อการส่วนตัว”
แม่ทัพใหญ่เผิงถูกนางกล่าวจนอึ้งไป สีหน้าแดงเล็กน้อย
“นอกจากนี้ข้าออกมาข้างนอกก็รู้เหมาะสม” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย “ผู้กล้าเหล่านี้เพียงพอคุ้มครองข้าให้ปลอดภัยแล้ว”
ผู้กล้าเหล่านี้…
แม่ทัพใหญ่เผิงกับเจ้าเมืองโจวมองบุรุษหน้าหลังซ้ายขวาของนาง คนเหล่านี้ดวงหน้าใสซื่อดูไปแล้วทื่อมะลื่อยิ่งนัก ชาวเขาจางชิงซานนั่นเอง
นอกจากวันนั้นที่ได้เห็นเชือกรัดม้ารวมถึงศรหนักหลายดอกแล้ว แม่ทัพใหญ่เผิงก็ไม่ได้ติดต่อกับชาวเขานี่อีก ความตื่นตะลึงหวาดผวายามนั้นจางไปนานแล้ว ผนวกกับชาวเขาเหล่านี้ถูกสาวน้อยคนหนึ่งเกลี้ยกล่อมให้เชื่อฟังคำสั่งได้ ก็คงเป็นแค่ชาวเขาที่ไม่มีความรู้อะไรจำนวนหนึ่งเท่านั้น
ดีที่จำนวนคนไม่น้อย ข่มขวัญคนได้เหมือนกัน
“ใกล้ๆ วางทหารยามไว้ หากมีอันตราย คุณหนูจวินต้องขอความช่วยเหลือทันทีนะขอรับ” แม่ทัพใหญ่เผิงทำหน้าจริงจังเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้าขานรับ ขึ้นม้าออกจากประตูเมืองท่ามกลางการอารักขาของกลุ่มคน
“ไม่อารักขาจริงรึ?” เจ้าเมืองโจวเอ่ยถาม
“ไม่ต้อง วันนี้ในเขตโจรผู้ร้ายแทบหมดสิ้นแล้ว” แม่ทัพใหญ่เผิงเอ่ย “บ้างถูกคนฆ่า บ้างได้ข่าวหนีไปแล้ว”
คิดถึงเรื่องนี้ เจ้าเมืองโจวก็ค่อนข้างหดหู่
บ้านเมืองวุ่นวายโจรผู้ร้ายมาก นี่เป็นโรคร้ายที่มีมาเนิ่นนาน ตั้งแต่หลังสงครามเริ่มต้น ในเขตของเมืองชิ่งหยวนก็ปรากฏโจรมากมาย ประชาชนก็ถูกปล้นชิงมากขึ้นด้วย แต่กำลังทหารไม่พอ ผนวกกับโจรผู้ร้ายเหล่านี้ไปมาไม่อยู่ติดที่อีก ไม่มีกำลังไปกวาดล้างสังหารจริงๆ
แต่ไม่นานมานี้มีข่าวส่งมา โจรผู้ร้ายเหล่านั้นจำนวนมากล้วนถูกคนสังหารไปแล้ว และยังแขวนศพประจานไว้อีกด้วย
ส่วนใครทำ สืบหากลับไม่มีเงื่อนงำ
วันนี้คนที่ลี้ภัยมาก คนมีเงินล้วนจ้างผู้คุ้มกัน ท่าทางโจรเหล่านี้คงไม่มีตาไปปล้นคนเหล่านี้เข้าจึงถูกสังหารกลับกระมัง
ไม่ว่าใครสังหาร กำจัดข่มขวัญโจรเหล่านี้ก็เป็นเรื่องดีสำหรับทางการ
ยืนอยู่บนประตูเมืองมองเห็นท้องถนนในเมืองสะอาดสะอ้าน ประชาชนเป็นระเบียบ หากไม่ใช่ประตูเมืองปิดสนิท แม่ทัพทหารเฝ้าแน่นหนา เมืองชิ่งหยวนดูไปแล้วก็ไม่แตกต่างอะไรกับก่อนหน้านี้ ไม่เห็นความโกลาหลหวาดหวั่นยามสงครามสักนิด
นี่จินตนาการไม่ถึงจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเทพเจ้าพระพุทธองค์ฝั่งไหนบันดาล
ไม่ว่าเทพเจ้าพระพุทธองค์ที่ใดก็ขอบคุณสวรรค์ที่คุ้มครอง เจ้าเมืองโจวศิษย์ของปราชญ์คนนี้ในใจอดไม่ได้รำพันประโยคหนึ่งเงียบๆ
“แต่”
แม่ทัพใหญ่เผิงพลันคิดถึงอะไรได้เอ่ยขึ้น
“ในเขตเหมือนจะปรากฏโจรที่ค่อนข้างโหดร้ายอีกกลุ่มหนึ่ง”