บทที่ 625 มีคนอยากลวนลามสามีของเจ้า

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

เย่แจ๋หยิ่งออกจากประตูไปไม่นาน หลานเยาเยาก็ออกไป

แต่ทว่าเมื่อออกจากประตูใหญ่จวนอ๋องเย่ นางก็ถูกสายตาคู่หนึ่งเพ่งเล็งแล้ว ตามท้ายอย่างชัดเจนบ้างหลบซ่อนบ้าง เหมือนกำลังคิดแผนการอะไร หลานเยาเยาที่ถูกสะกดรอยเหมือนกับว่าจะไม่รู้ตัวโดยสิ้นเชิง เดินไปทางจุดมุ่งหมายของตัวเองต่อ

ตลอดทางเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว เดี๋ยวหายตัวไป เดี๋ยวก็ปรากฏตัวออกมาตรงหน้าอีก ทำให้คนที่สะกดรอยเดินอ้อมจนไม่รู้จะทำอย่างไร

หลังจากที่สะกดรอยจนหายไปอีกครั้ง

คนที่สะกดรอยเดือดดาลมาก ถ่มน้ำลายอย่างแรง ใบหน้าหงุดหงิด

“แม่งเอ๊ย ชายขายบริการผู้หนึ่งที่วางมาดขรึม บริการให้คนเล่นชมโดยเฉพาะเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ายังจะเจ้าเล่ห์เพียงนี้ ถุ้ย!”

บนใบหน้าของคนที่สะกดรอยมีสีหน้าท่าทางรังเกียจเผยออกมา สะกดรอยตามจนหายไป กลับไปเขาเลี่ยงการโดนทำโทษไม่ได้ คนผู้นั้นแทบอยากจะจับซ่างกวนหนานซู่ขึ้นมาแล้วตบไปสักฉาดหนักๆ

ใครจะคาดคิด ทันทีที่หมุนตัวก็เห็นท่อนไม้ขยายใหญ่อย่างไม่จำกัด จากนั้น ศีรษะเจ็บปวดอย่างรุนแรง เป็นลมสลบไปทันที

“พูดจาว่าร้ายคนลับหลัง ต้องถูกสวรรค์ลงโทษ ดูสิ นี่ก็คือจุดจบ”

ชายเจ้าชู้โม่เหลียงเฉิน เอาท่อนไม้ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนโยนทิ้ง ยังขยับหน้าม้าโดยคิดไปเองว่าผ่าเผยมาก

สารเลวผู้นี้สะกดรอยหายไปแล้ว

เขาก็สะกดรอยไม่เจอแล้ว

เอ๊ะ!

นี่เรียกว่าเรื่องอะไรเนี๊ย! พบหน้าสักครั้งยากขนาดนี้เชียวหรือ?

โม่เหลียงเฉินดีดฝุ่นบนตัวที่เดิมทีก็ไม่มีอยู่ ยกเท้าก็ต้องการจากไป ใครจะรู้เสียงที่น่าฟังดังมาจากด้านข้าง

“สะกดรอยตั้งนาน ไม่เชิญข้าดื่มชาสักแก้วหรือ?”

เมื่อได้ยิน!

เสียงนี้…….

โม่เหลียงเฉินรีบเอียงตัว ขณะที่เห็นซ่างกวนหนานซู่ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มน่าเหลือเชื่อปรากฏออกมา ในใจมีความรู้สึกถึงเวลาทนทุกข์ผ่านไปสถานการณ์ที่สวยงามเข้ามาในพริบตา

“เชิญ ต้องเชิญแน่นอน”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่สวยงามหรูหรา

หลานเยาเยานั่งตรงข้ามกับโม่เหลียงเฉิน เหล้าอาหาร น้ำชาเต็มโต๊ะ ล้วนสั่งจากราคาที่แพงที่สุด

“คุณชายซ่างกวน ดูว่าเหล่านี้เพียงพอหรือไม่? ไม่พอค่อยสั่ง…….”

หลานเยาเยาพยักหน้าอย่างชื่นใจ

อยู่ในลู่ทางที่ถูกต้องขนาดนี้เร็วๆ ก็ไม่ได้อุ้มสาวงามกลับไปตั้งนานแล้วหรือ? โทษก็โทษที่เขาสำนึกตัวช้าไป ตอนนี้เพิ่มจะรู้จักพยายามประจบประแจงนาง

ทั้งสองคนเริ่มกินเร็วมาก

หลานเยาเยาสงบนิ่ง แต่รวดเร็วมาก โม่เหลียงเฉินอยากพูดแต่ก็หยุดหลายครั้ง ที่สำคัญคือเห็นนางกินอย่างเมามันไปแล้ว หากว่ารบกวนนางขณะกำลังกินอย่างชอบใจ ทำให้คนอื่นเขาโกรธจนจากไปเช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าจ่ายเงินโดยเปล่าประโยชน์หรือ?

เขาอดทน!

สีหน้าท่าทางผิวเผินนิ่งสงบดั่งปกติ ในใจเหมือนกับมดที่อยู่บนหม้อร้อน ร้อนรนจนกระทั้งอาหารที่ในวันปกติโปรดปรานก็ล้วนยากจะกลืนกิน

ไม่ง่ายที่จะรอจนซ่างกวนหนานซู่กินจนพอประมาณแล้ว

แต่เขากลับทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยคแล้วจากไป

“วันจับจ่ายสิ้นปีมาฉลองปีใหม่ด้วยกันที่จวนอ๋องเย่สิ!”

คำเชิญหนึ่งที่ธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะทำให้โม่เหลียงเฉินตื่นเต้นไปครึ่งค่อนวัน จนกระทั่งนอนไม่หลับไปหลายคืน

หลานเยาเยาเดินเล่นครึ่งวัน ไปสถานที่ที่คุ้นเคยมากมาย รอจนคิดว่าพอใช้ได้แล้ว กำลังต้องการกลับไป ก็ได้ยินคำวิจารณ์

“เรื่องนี้ใครจริงใครเท็จ? อย่าอยู่ว่างจนเบื่อหน่ายหลอกลวงพวกข้าคนซื่อๆเหล่านี้”

“ใครหลอกลวงเจ้า มีคนเห็นกับตาตัวเอง อ๋องเย่อยู่ในโรงเหล้าที่แพงที่สุดในเมืองหลวง ดื่มเหล้าพูดคุยสนุกสนานกับคุณหนูถังบุตรสาวของเฉิงเสี้ยง เวลานี้ออกรสออกชาติล่ะ!”

“เบาๆหน่อย คุณชายซ่างกวนอยู่ข้างๆน่ะ! เจ้าพูดเช่นนี้ ทำให้คุณชายซ่างกวนรับความกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกได้อย่างไร?”

คนที่ปล่อยข่าว หลังจากได้ยินคนข้างๆเตือนจึงได้พบว่าซ่างกวนหนานซู่ก็อยู่ข้างๆ ราวกับว่ากำลังฟังพวกเขาคุยกัน ปิดปากอย่างเคอะเขินทันที

หลังจากเห็นนางเข้ามาใกล้

บรรดาผู้คนถึงรู้ว่าตัวเองหมดสนุก กระจายจากไปทุกทาง

ขณะที่กลับถึงจวนอ๋องเย่ เย่แจ๋หยิ่งกลับมาแล้ว เขายืนอยู่ที่ประตูใหญ่ เหมือนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงนั้นโดยไม่มีเคลื่อนไหวใดๆ สีหน้าดูไม่ได้เป็นที่สุด ในใจยิ่งวิตกกังวล

จนเห็นหลานเยาเยากลับมา คิ้วที่ขมวดแน่นผ่อนคลายทันที ในที่สุดก้อนหินก้อนหนึ่งก็ตกถึงพื้นแล้ว

กลับมาก็ดีแล้ว

ก็กลัวว่าจะได้ยินคำเล่าลือ ทำให้คนโกรธแล้วหนีไป

“เยาเยา”

เย่แจ๋หยิ่งเรียกนางเบาๆคำหนึ่ง หลานเยาเยาไม่ตอบ เดินไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่มาถึงด้านหน้าเย่แจ๋หยิ่ง ก็เดินผ่านเขาไป ราวกับว่ามองไม่เห็นเขาคนนี้

เย่แจ๋หยิ่งตะลึงก่อน เดินตามหลานเยาเยาเข้าไปในจวนอย่างว่องไว

ในใจกังวล

ก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่สามารถรับปากนางได้ ดูสิ ตอนนี้หึงแล้ว ตอนนี้เย่แจ๋หยิ่งกำลังคิดทุกวิถีทางที่จะคิดได้ คิดวิธีว่าประเดี๋ยวจะปลอบนางอย่างไร

รอจนห่างจากประตูใหญ่ไกลแล้ว ในที่สุดหลานเยาเยาก็หยุดฝีเท้าลง หันกลับมา ยื่นมือต่อเขา

เย่แจ๋หยิ่งเพิ่มความเร็วฝีเท้า รีบเข้าไป เอื้อมมือไปจับมือนางที่ยื่นมา สิบนิ้วเกี่ยวกันแน่น ในพริบตา ทั้งสองก็ยิ้มอย่างรู้กัน

ที่แท้ นางไม่ได้โกรธ

เพียงแค่ระมัดระวัง เกรงว่าคนนอกที่อยู่ในที่ลับจะสังเกตเห็นอะไร เมื่อครู่จึงตั้งใจทำเหมือนมองไม่เห็นเย่แจ๋หยิ่ง

“เยาเยา เจ้าไม่ได้ยินหรือ?”

“ได้ยินอะไร?”

หลานเยาเยาเลิกคิ้วถามเขา

“ก็คือเรื่องที่ข้าไปพบถังมู่หวั่น เรื่องนี้กำลังแพร่สะพัดไปทั้งถนนใหญ่”

“อืม ได้ยินแล้ว ท่านได้แสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองจนไม่สามารถบริสุทธิ์กว่านี้ได้ตั้งนานแล้ว หากข้ายังโกรธท่านอีก เช่นนั้นข้าก็เปลี่ยนเป็นคนขี้หึงแล้ว อีกทั้งข้าเชื่อท่าน ในใจท่านมีเพียงข้าคนเดียว”

เขาเป็นยังไง

นิสัย นางจะไม่เข้าใจ?

ยิ่งไปกว่านั้น ให้เขาไปพบถังมู่หวั่น ยังเป็นการเสนอของนาง

พูดจบ หลานเยาเยายังอดที่จะเอาหัวไปพิงบนไหล่ของเขาเล็กน้อยไม่ได้

คำเหล่านี้ บวกกับการกระทำนี้ ทำให้ใจของเย่แจ๋หยิ่งอบอุ่นทันที

แม้ว่าเขาจะกลัวหลานเยาเยาโกรธมาก แต่เขาก็กลัวนางไม่โกรธ อย่างไรเสียนั่นเป็นพฤติกรรมที่พิสูจน์ว่านางใส่ใจเขามากเท่าไหร่กันแน่ ตอนนี้ได้ยินนางพูดเช่นนี้ทุกอย่างกระจ่างแล้ว

ตอนนี้นางก็อยู่ข้างๆ เวลาที่มองเขาทั้งตาล้วนเป็นเขา

แล้วเขาจะระแวงทำไม?

เกิดช่องว่างกับนาง

“เหนื่อยไหม?”

“ข้าบอกว่าเหนื่อย ท่านยังจะแบกข้างั้นหรือ?”

ใครจะรู้ ไม่ต้องให้นางตอบ เย่แจ๋หยิ่งก็อุ้มนางขึ้นมาแล้ว เดินไปทางห้องหนังสือด้วยฝีเท้าที่รวดเร็ว

ในยามค่ำ บนเตียง หลานเยาเยาอยู่ในอ้อมกอดของเย่แจ๋หยิ่ง ทั้งสองสนทนาเรื่องตอนกลางวันกับการพบหน้าถังมู่หวั่น

เย่แจ๋หยิ่งใช้ข้ออ้างพบถังมู่หวั่นให้ช่วยสืบหาต้นตอการปรากฏตัวอีกครั้งของคนโดนมนต์ดำในเมืองหลวง ยังแอบบอกเป็นนัยๆอีก จากที่เขาเข้าใจนาง รู้ว่านางจะต้องมีวิธีสืบหาเบาะแสต้นตอของคนโดนมนต์ดำได้เป็นแน่

แม้ว่าเขาจะไม่ได้อธิบายอะไร

แต่เพียงพอทำให้ถังมู่หวั่นคิดว่าเย่แจ๋หยิ่งเอานางทำเป็นหลานเยาเยาแล้ว ติดเพียงแค่ไม่ใช่ใบหน้าเดิม ในใจค่อนข้างมีระยะห่าง ดังนั้นถึงได้ชักช้าไม่ยินยอมพบหน้า จนกระทั่งยังยอมตั้งใจแกล้งทำเป็นชอบผู้ชายด้วยกันมากดดันให้นางเผยเอกลักษณ์พิเศษอีกด้านของหลานเยาเยาออกมาอีกขั้น

ในอดีตหลานเยาเยารู้วิธีต่อกรกับคนโดนมนต์ดำก่อน

ตอนนี้เพียงต้องการให้ถังมู่หวั่นปรากฏตัวหาต้นตอของคนโดนมนต์ดำ ก็พิสูจน์อีกครั้งว่านางก็คือหลานเยาเยา

พูดถึงเหล่านี้

เย่แจ๋หยิ่งก็นึกถึงวันนี้ขณะจิบชาถังมู่หวั่นจงใจเข้าใกล้เขา คิดสัมผัสกับร่างกายของเขา เขาสามารถถอยออกโดยสัญชาตญาณ แต่ไม่สามารถเดินจากไปโดยตรงได้ อยู่ที่นั่นทุกนาทีทุกวินาทีล้วนเป็นความทรมาน

“เยาเยา มีคนคิดจะลวนลามสามีของเจ้า เจ้าวางแผนจะทำอย่างไร?”

“ใครกัน? บังอาจมากเพียงนี้? รอข้าไปคิดบัญชีกับนาง”

หลังจากพูดอย่างจริงจัง ยังเตรียมจะลุกขึ้น ราวกับว่าต้องการลงมือไปจับคนจริงๆ

เย่แจ๋หยิ่งหัวเราะเบาๆ กดนางอยู่ในอ้อมอกโดยตรง ไม่ให้นางขยับ

“อย่าขยับ ต้องการคิดบัญชีก็ต้องเป็นวันอื่น ไม่แน่พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ก็ทำได้แล้ว”

“เร็วขนาดนี้ นางก็ไม่กลัวว่าท่านจะสงสัย?” หลานเยาเยาตกตะลึงเล็กน้อย

ถังมู่หวั่นชำนาญการอดทนที่สุด รู้จักการวางแผน ในเวลาแบบนี้ จะยิ่งเพิ่มความระมัดระวังถึงจะถูก จะอดใจรอไม่ได้เพียงนี้ได้อย่างไร?

“ข้าเดาจากสายตาที่นางมองข้า”

“พูดเช่นนี้ นางอยากได้ท่านมากเกินไปแล้ว เย่แจ๋หยิ่ง นางรักท่านจนแทบคลั่งแล้ว ทำยังไง? หากว่าวันไหนต้องลงมือกำจัดนางจริงๆ ในใจของท่านจะเกิดความสั่นไหวเล็กน้อยหรือไม่?

นี่คืออาการผิดปกติทางจิตใจที่บิดเบือนประเภทหนึ่ง

ทำให้คนลุ่มหลงจนบ้าคลั่ง ดังนั้นจึงทำได้ทุกวิถีทาง

“เยาเยา เจ้าหึงแล้ว”

“อืม ข้าหึงแล้ว เทียบกับนาง ข้ารู้สึกว่าตัวเองเสียสละไม่พอในพริบตา”

ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น

เมื่อความทรงจำทุกอย่างถูกเปิดออก หลานเยาเยาถึงรู้ว่า นางใช้ทั้งชีวิต ชดใช้หมดทั้งชาติ ถึงแลกการข้ามเวลาครั้งที่สองมา เพื่อดำเนินวาสนาต่อกับเย่แจ๋หยิ่ง