จิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นคนดี หากเปรียบกับจักรพรรดิองค์ก่อนในประวัติศาสตร์ ที่บ้างก็คลั่งไคล้เรื่องยาอายุวัฒนะ บ้างก็กระหายการทำศึกสงคราม หรือบ้างก็มักจะแอบหนีออกไปเที่ยวคณิกาตามหอโคมเขียว เขาถือว่าเป็นจักรพรรดิที่มีคุณธรรมองค์หนึ่ง
แต่ต่อให้เขาจะมีคุณลักษณะดีเลิศเพียงใด ความอดทนคนมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด เผ่าอูเหมียวล้ำเส้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดความแค้นในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ปะทุขึ้นมา
“หันหราน”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งข่าวไปยังคนที่ยังอยู่ที่ทางใต้ ให้พวกเขาปล่อยข่าวลือออกไป”
สายตาดุดันของจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่มองลงมาทำให้หันหรานพยายามตั้งใจฟัง
พานไห่เริ่มรู้สึกประหม่า
หมู่นี้อูเหมียวก่อเรื่องใหญ่โต ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะทรงตอบโต้เช่นไร
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วจึงส่งให้พานไห่ เขากล่าวเสียงเรียบ “ปล่อยข่าวว่าสาเหตุที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ออกมาปรากฏตัวมิใช่เพราะกำลังฝึกบำเพ็ญเพียร แต่เป็นเพราะนางล่วงลับไปแล้ว!”
เผ่าอูเหมียวให้ความสำคัญกับสตรีศักดิ์สิทธิ์มิใช่หรือ ในเมื่อตอนนี้ว่างนักจนมาก่อเรื่องที่ต้าโจวไม่หยุดหย่อน เขาก็จะงานให้คนพวกนั้นทำเสียหน่อย
หันหรานชะงักงันนิ่งอึ้งก่อนจะยกมือคารวะ “น้อมรับบัญชาฝ่าบาท”
พานไห่กล่าวเสริม “ฝ่าบาททรงปรีชายิ่งนัก”
สตรีเผ่าอูเหมียวไม่ออกมาปรากฏกายให้คนในเผ่าได้เห็น ทำให้คนอูเหมียวเป็นกังวลมากพออยู่แล้ว หากข่าวลือนี้แพร่สะพัดออกไป ก็คงมีเรื่องสนุกๆ ให้ดู
“ไปเถอะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้โบกมืออย่างไร้อารมณ์
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
หันหรานกลับออกไปแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เสด็จไปที่ตำหนักคุนหนิง
ฮองเฮาออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทเสด็จมายามนี้ หรือว่ามีความคืบหน้าจากพระชายาเยี่ยนอ๋องแล้วหรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินเข้าไปในห้องและนั่งลง เขาเล่าเรื่องเจียงซื่อสาดสุราใส่ขุนนางหลิวให้ฮองเฮาฟัง
ฮองเฮาอ้าปากค้างอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “พระชายาเยี่ยนอ๋องช่างไม่เหมือนใครจริงๆ…”
การทำเช่นนั้นในขณะที่ปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า “สะใภ้เจ็ดเป็นคนมีไหวพริบยิ่งนัก เพราะเมื่อทำเช่นนั้นแล้วหันหรานจึงสามารถพาทั้งคู่ออกไปได้โดยไม่มีผู้ใดสงสัย”
ฮองเฮาดึงมุมปากเงียบๆ
หากเป็นคนโปรด ทำอะไรก็ดีไปหมด วิธีคิดของฝ่าบาทก็ไม่เหมือนใครเช่นกัน
แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น แม้การกระทำของพระชายาเยี่ยนอ๋องจะประมาทเกินไป แต่ก็มิได้สร้างความเสียหายใดๆ
งั้นก็หมายความว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องวางแผนมาอย่างรอบคอบงั้นหรือ
ฮองเฮาจำต้องยอมรับว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์มากมาย ในใจของนางยิ่งรู้สึกว่าเจียงซื่อดูลึกลับขึ้นเรื่อยๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “จริงสิ ช่วงนี้ฝูชิงและสิบสี่ไปที่ตำหนักไทเฮาเป็นเช่นไรบ้าง”
ฮองเฮายิ้มพลางบอก “การได้สร้างความสุขสราญแก่ไทเฮานับว่าเป็นเกียรติแก่พวกนาง เด็กทั้งสองรู้สึกปลื้มใจมากเลยเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักศีรษะรับ “นับว่าพวกนางได้แสดงความกตัญญูแทนเจ้ากับข้าแล้ว”
เรื่องของไทเฮาเป็นความรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ฮองเฮาตอบรับพลางส่งยิ้ม
“ฝูชิงกับสิบสี่ก็มิใช่เด็กๆ แล้วใช่หรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถาม
“นางทั้งสองอายุเท่ากันเพคะ ตอนนี้ก็สิบเจ็ดปีแล้วเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกใจเล็กน้อย “อายุสิบเจ็ดกันหมดแล้วรึ ข้าคิดมาตลอดว่าพวกนางยังเด็กอยู่”
ฮองเฮาหัวเราะร่า “วันเวลาผ่านไปเร็วยิ่งเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจ “จริงของเจ้า พวกเราเองก็แก่แล้ว ฮองเฮา ในเมื่อทั้งสองก็มิใช่เด็กแล้ว คงถึงแก่เวลาต้องวางแผนหาคู่ครองให้พวกนาง หากเจ้าเห็นว่าใครเหมาะสมก็บอกข้ามาก็แล้วกัน”
“ฝ่าบาทวางพระทัยได้ หม่อมฉันจะลองดูเพคะ”
ในแผ่นดินต้าโจว ไม่มีกฎธรรมเนียมในเรื่องการหาคู่ครองให้องค์หญิง โดยส่วนมากจะให้แต่งงานกับบุตรชายของครอบครัวขุนนางที่ฮ่องเต้ปรารถนาจะเกี่ยวดองด้วย แต่การที่จิ่งหมิงฮ่องเต้มอบหมายหน้าที่ให้ฮองเฮาเช่นนี้ เป็นเหมือนคำมั่นสัญญาที่บอกว่าตนไม่ต้องการใช้เรื่องการแต่งงานของฝูชิงและสิบสี่มาแลกกับผลประโยชน์ใดๆ มิฉะนั้นแล้วคงไม่บอกให้ฮองเฮาเป็นคนเลือก แต่จะพระราชทานพิธีอภิเษกสมรสให้แก่ธิดา
ฮองเฮามิได้รู้สึกเกินความคาดหมาย
ฝูชิงเป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวในราชวงศ์ที่เกิดจากฮองเฮา ควรได้รับการปฏิบัติอย่างสมเกียรติ เพราะหลายปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่า การยึดติดกับคำว่าทายาทโดยชอบธรรมทำให้มีไท่จื่อที่ไร้ประสิทธิภาพ
แต่การที่องค์หญิงสิบสี่พลอยประสบโชคดีเช่นนี้ด้วย ทำให้ฮองเฮารู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาดื้อๆ
ไม่คิดว่าบุตรีของเฉินเหม่ยเหรินจะโชคดีเพียงนี้ การที่นางได้รับคำมั่นสัญญาเช่นนี้จากฝ่าบาทถือว่าโชคดีกว่าองค์หญิงองค์อื่นๆ มากแล้ว
แต่ถึงแม้จะรู้สึกไม่ถูกใจ ฮองเฮาก็มิได้คิดจะขัดขวางการแต่งงานขององค์หญิงสิบสี่ นางเป็นมารดาของแผ่นดิน มิควรจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับองค์หญิงตัวเล็กๆ
ครั้นเอ่ยถึงเรื่องงานอภิเษกสมรสของบุตรี ทั้งสองพระองค์ก็มีเรื่องให้สนทนามากมาย นางในเข้ามาเปลี่ยนสำรับน้ำชา และเดินออกไปเงียบๆ
หากเทียบกับบรรยากาศเบาสบายของทั้งสองพระองค์ อารมณ์ของอวี้จิ่นในตอนนี้พลุ่งพล่านกว่ามาก อวี้จิ่นเตะเก้าอี้ตัวเล็กในห้องถึงสองครั้งสองคราจนลอยไปไกลลิบ เขากล่าวแก่หลงต้านด้วยสีหน้าดุดัน “ไปจับตัวขุนนางหลิวยัดใส่กระสอบ และซ้อมให้น่วมเดี๋ยวนี้!”
กล้าทำกับอาซื่อขนาดนี้ แต่อาซื่อกลับมาถึงจวนกลับไม่พูดอะไรสักคำ โชคดีที่ในงานเลี้ยงมีคนของเขาอยู่ด้วย เขาถึงได้รู้
อวี้จิ่นยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ชายหนุ่มมาถึงตรงประตู พบเก้าอี้ตัวเล็กล้มอยู่ที่พื้นก็เตะซ้ำอีกหน และผลักประตูเดินออกไป
หลงต้านยกเก้าอี้ขึ้นมาวางไว้ที่เดิม ก่อนจะไปเฝ้าดูอยู่แถวๆ กองบัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน
ขุนนางหลิวสร่างจากฤทธิ์สุราแล้ว เขาเล่าเรื่องเผ่าอูเหมียวซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็ได้รับการปล่อยตัว เขาเดินออกมาถึงหน้าประตูกองบัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน ผู้ใดจะคาดคิดว่าเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็มืดสนิท ทั้งหมัดและบาทาถาโถมลงมาประหนึ่งสายฝน
คนที่ไปงานเลี้ยงติดตามข่าวคราวของขุนนางหลิวอย่างใกล้ชิด ครั้นได้ยินว่าขุนนางหลิวถูกคนข้างถนนที่ไหนไม่ทราบคลุมหัวรุมซ้อมปางตาย ทั้งหมดก็บื้อใบ้กันไปเป็นแถว สายตาที่มองหันหรานผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
กับอีแค่อยากจะลูบมือหญิงรับใช้ ถูกคุมตัวออกไปก็ว่าหนักแล้ว นี่ถึงขนาดต้องซ้อมกันเลยรึ คิดหรือว่าขุนนางหลิวที่ถูกคลุมหัวเช่นนั้นจะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือขององครักษ์จิ่นหลิน
เฮอะๆ ไม่คิดเลยว่าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินจะเหี้ยมโหดเพียงนี้ นี่มิได้เป็นสิ่งที่บอกคุณลักษณะของฮ่องเต้ด้วยหรอกหรือ
ในเวลานั้น แม้แต่กิจการนาวาใหญ่บนแม่น้ำจินสุ่ยก็เงียบเหงาตามไปด้วย
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
หันหรานเข้าไปรายงานจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยท่าทีของผู้บริสุทธิ์
แต่เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินว่าขุนนางหลิวถูกซ้อมจนไม่สามารถใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้ หนำซ้ำยังไม่สามารถออกมาทำงานได้ตามปกติอีกแล้ว เขากลับรู้สึกพอใจยิ่งนัก จึงสั่งให้ขุนนางหลิวกลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเกิด
เดิมทีเขาตั้งใจจะปลดขุนนางหลิวออกจากตำแหน่งอยู่แล้ว และดูเหมือนว่ายามนี้ก็มีเหตุผลเพียงพอมารองรับ ฉะนั้นเขาจึงรู้สึกเบาใจ
“ฝ่าบาท เรื่องนี้มิใช่ฝีมือคนของกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ” หันหรานแถลงชัด
“ข้ารู้” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตอบรับหน้านิ่ง และหันไปสั่งพานไห่ให้เรียกอวี้จิ่นมาเข้าเฝ้า
หากบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือเจ้าเจ็ด เขาก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่คิดว่าจะมีหูตาของอวี้จิ่นอยู่ในงานเลี้ยง แต่คิดว่าเจียงซื่อคงกลับไปเล่าให้เขาฟังที่จวน
ไม่นาน อวี้จิ่นก็เข้ามาที่ห้องทรงพระอักษร
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขยับเปลือกตาขึ้นมอง และเข้าประเด็นทันที “เจ้าสั่งให้คนจัดการขุนนางหลิว?”
อวี้จิ่นผงะก่อนจะตอบรับด้วยความมั่นใจ “พ่ะย่ะค่ะ ลูกสั่งให้คนทำเองพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตบโต๊ะฉาดใหญ่ “ไอ้ตัวดี มีเรื่องก็จัดการให้มันเหมาะมันควรหน่อยไม่ได้รึ อย่างไรขุนนางหลิวก็เป็นข้าราชการในราชสำนัก แต่เจ้าเอากระสอบคลุมหัวแล้วซ้อมเนี่ยนะ”
อวี้จิ่นนิ่งเงียบก่อนจะถาม “ความหมายของเสด็จพ่อคือ…ไม่ต้องคลุมหัวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงัก ใบหน้าคล้ำหม่น “พูดอะไรของเจ้า เจ้าเป็นถึงองค์ชาย ต้องเป็นคนใจกว้าง มิใช่ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ มิใช่ว่าไม่ถูกใจใครก็เอากระสอบคลุมหัวแล้วซ้อมเขาจนน่วม”
เรื่องเช่นนี้ ตอนที่เขาเป็นองค์ชาย เขายังไม่เคยทำเลย!
“เจ้ากลับไปนั่งสำนึกความผิดของตัวเองให้ดี และข้าจะปรับเบี้ยหวัดของเจ้าเป็นเวลาครึ่งปี!”