สรรพสิ่งนิ่งค้าง ทุกสายตาหันมาทิศทางเดียวกัน
หญิงรับใช้นางนี้จองหองนัก
คนที่ถูกสาดสุราใส่หน้าคือขุนนางในหน่วยงานหงหลู่ซื่อ แม้ว่าจะมิใช่ขุนนางยศสูง แต่ก็นับว่าเป็นข้าราชการในราชสำนัก การที่หญิงรับใช้ต่ำต้อยสาดเหล้าใส่เขาต่อหน้าธารกำนัลถือเป็นการกระทำอุกอาจที่ใครก็คาดไม่ถึง
ขุนนางที่ใบหน้าเปียกสุราชะงักไปในทันใด แต่เพียงชั่วอึดใจ สติก็กลับเข้าที่ เขาแผดเสียงเดือดดาล “บ่าวจองหอง…”
หันหรานผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินพุ่งปราดเข้าไปทันใด
เจียงซื่อหลุบตาพลางเอ่ยแผ่วเบา “ใต้เท้า เขานี่แหละ…”
หันหรานผงะชั่วครู่ก่อนจะรีบตอบสนอง เขาชื่นชมในความฉลาดของพระชายาเยี่ยนอ๋องอยู่ในใจ
การชี้ตัวเป้าหมายด้วยวิธีนี้เพื่อมิให้ไม่มีผู้ใดสังเกต
หากเจียงซื่อรู้ว่าหันหรานคิดเช่นนั้น นางคงจะหัวเราะ
เพราะความจริงแล้ว สาเหตุที่นางสาดสุราใส่เขาเป็นเพราะขยะแขยงพฤติกรรมเลวทรามของเขา นางทำไปเพื่อจะระบายความโกรธ ส่วนเรื่องอื่นๆ นางคิดว่าค่อยไปตามแก้ทีหลัง
หันหรานหันไปมองขุนนางผู้นั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ขุนนางกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ใต้เท้าหัน ท่านดูหญิงรับใช้ชั่วผู้นี้ซิ…”
หันหรานผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินเป็นผู้จัดงานเลี้ยงเล็กๆ นี้ แม้ว่ายามปกติพวกเขาจะแสดงความยำเกรงต่อองครักษ์จิ่นหลินเพียงใด ในเมื่อวันนี้องครักษ์จิ่นหลินเป็นเจ้าบ้าน พวกเขาถือเป็นแขก หญิงรับใช้ของเจ้าบ้านสร้างปัญหา ผู้ที่เป็นแขกย่อมแสดงท่าทีแข็งกร้าวเป็นธรรมดา
อนึ่ง ขุนนางผู้นั้นก็ไม่คิดว่าหันหรานจะออกตัวปกป้องหญิงรับใช้ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม
แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่า เรื่องที่ทุกคนคาดไม่ถึงกำลังจะเกิดขึ้น
สายตาของหันหรานหันไปหยุดอยู่ที่ขุนนางผู้นั้น เขาเอ่ยเย็นชา “พาตัวไป”
ขุนนางกระแอมไอ “หญิงรับใช้ที่ไม่รู้กาลเทศะเช่นนี้ ขอใต้เท้าลงโทษอย่างหนะ…”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค ทหารองครักษ์จิ่นหลินสองนายก็รี่เข้ามาจับแขนทั้งของข้างของเขา
ขุนนางตกใจ “ใต้เท้าหัน ใต้เท้าหัน…”
องครักษ์ทั้งสองนายมิได้สนใจว่าเขาจะดีดดิ้นกู่ร้อง เพียงแต่ลากถูลู่ถูกังกันไป
ภายในโถงเงียบสงบ ไม่มีเสียงชนจอกเล็ดลอดเข้ามาในหู
ทุกคนนิ่งอึ้ง กลืนน้ำลายลงคออึกแล้วอึกเล่า
นี่มันอะไรกัน แค่ลูบมือหญิงรับใช้ ที่สำคัญคือยังลูบไม่โดนเสียด้วย คงมิได้ถูกโยนเข้าคุกหรอกใช่ไหม
หันหรานหันไปยิ้มให้แขกในงาน “เชิญทุกคนดื่มต่อเถิด ดื่ม”
สายตาของแต่ละคนจดจ้องไปที่จอกเหล้าเบื้องหน้า แต่กลับไม่รู้สึกพิสมัยในรสชาติน้ำเมาอีกแล้ว
น่ากลัวขนาดนี้ ใครจะไปกล้าดื่ม ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว
“เช่นนั้นข้าขอดื่มเพื่อเป็นเกียรติแก่ทุกท่านก่อนก็แล้วกัน” หันหรานยกจอกกรอกสุราลงคอในรวดเดียว
ครั้นเห็นหันหรานดื่มแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่กล้ารั้งรอ รีบยกจอกกระดกตาม
หันหรานวางจอกเปล่าลงบนถาดที่หญิงรับใช้ถือรอท่าอยู่ข้างๆ พลางกล่าวแก่เจียงซื่อ “เจ้าตามข้ามา”
เจียงซื่อเดินตามหันหรานออกไปจากห้องโถง
เมื่อไปถึงที่ที่ไม่มีคนอื่น หันหรานก็รีบยกมือขึ้นคารวะเจียงซื่อ “เรื่องวันนี้เป็นการล่วงเกินพระชายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นไร ใต้เท้าหัน รบกวนท่านช่วยนำเหล้าจอกหนึ่งมาให้ข้าที”
หันหรานรีบส่งจอกเหล้าให้นาง
เจียงซื่อใช้เข็มเงินทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วของตัวเอง และปล่อยให้เลือดหยดลงในจอกเหล้า เมรัยสีอำพันเปลี่ยนเป็นสีส้มจางๆ
นางแกว่งถ้วย เพียงชั่วครู่ของเหลวในถ้วยก็กลับไปเป็นสีเดิม นางส่งถ้วยให้หันหรานพลางส่งยิ้ม “ใต้เท้าหันเอาสุรานี้ไปให้ขุนนางผู้นั้นดื่ม แล้วเดี๋ยวหนอนในร่างของเขาก็จะออกมาเอง”
หันหรานรับจอกนั้นไป ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย ใจอยากจะถามว่าหนอนจะออกมาทางไหน แต่ก็กลัวว่าคำตอบที่ได้จะหนักเกินรับไหว ฉะนั้นจึงเลือกที่จะไม่ถาม
“พระชายา ไม่ทราบว่าแล้วคนอื่นๆ ล่ะพ่ะย่ะค่ะ…”
“คนอื่นๆ ปกติดี” เมื่อหมดหน้าที่ของเจียงซื่อแล้ว นางก็ขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ด้านหลังกลับไปยังจวนอ๋อง
ขุนนางคนนั้นถูกพาตัวไปอีกห้องด้วยอาการตื่นตระหนกสุดขีด ผ่านไปไม่นาน หันหรานก็เดินเข้ามา
เขาลุกพรวด “ใต้เท้าหัน…”
หันหรานถือจอกเหล้าเข้ามาสองใบ ใบหนึ่งส่งให้บุรุษตรงหน้าพร้อมยิ้มละไม “ข้าดูแลไม่ทั่วถึง สุราจอกนี้เป็นคำขอโทษแก่ใต้เท้าหลิว”
“มิบังอาจ มิบังอาจ” ขุนนางแซ่หลิวรับจอกเหล้าไปด้วยอาการหวาดกลัว
เขาถือจอกเหล้าไว้ในมือ ลังเลอยู่ชั่วอึดใจ
ในโถงงานเลี้ยง ผู้บังคับบัญชาหันแสดงท่าทีดุดัน ประหนึ่งว่าพายุใหญ่ซัดโหม เหล้าจอกนี้คงมิใช่ยาพิษหรอกใช่หรือไม่
เมื่อคิดเช่นนั้น มือของขุนนางหลิวที่ถือจอกเหล้าก็สั่นระริก ของเหลวสีอำพันกระเพื่อมเป็นวงน้ำที่พร้อมจะหกอยู่ทุกเมื่อ
หันหรานปั้นหน้าขรึม พลางเอ่ยเย็นชา “ทำไมรึ หรือว่าใต้เท้าหลิวไม่เห็นแก่หน้าข้า”
“หามิได้” ขุนนางหลิวกลั้นใจยกจอกขึ้นดื่มจนเกลี้ยง
หากผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินตั้งใจจะฆ่าเขาจริงๆ เขาก็คงหนีไม่พ้น ฉะนั้นก็ดื่มเข้าไปเถอะ
หันหรานยิ้มจาง เขาวางจอกเหล้าลงบนโต๊ะข้างๆ
สีหน้าของขุนนางหลิวขาวซีดกว่าตอนแรก ในท้องเริ่มปั่นป่วน ก่อนจะอ้าปากสำรอกบางอย่างออกมา
กลิ่นเมรัยคละคลุ้งไปทั่ว หันหรานหรี่ตามองหนอนตัวหนึ่งที่กำลังบิดตัวไปมาในกองอ้วก
ในวินาทีนั้น สมองของเขาปวดหนึบ ขนทุกอณูบนเรือนร่างลุกพรึบอย่างพร้อมเพรียง
การได้เห็นเรื่องพิศวงเช่นนี้ด้วยตาตนเองทำให้เขาเชื่ออย่างสุดใจว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นผู้มีฝีมือ
เมื่อขุนนางหลิวสำรอกอาหารในกระเพาะออกมาจนเกลี้ยง เขามิได้ใส่ใจของเหลวบนพื้น ใบหน้าซีดเซียวหันไปกล่าวแก่หันหราน
หันหรานทำทีหัวเราะ “ท่าทางใต้เท้าหลิวคงจะดื่มมากไปหน่อย ใต้เท้าหลิวไม่ต้องกังวลไป ท่านสร่างจากฤทธิ์สุราเมื่อไหร่ ข้ามีคำถามเกี่ยวกับอูเหมียวจะถามท่าน ทหาร พาใต้เท้าหลิวไปพักที่อื่น”
ไม่กี่อึดใจทหารองครักษ์จิ่นหลินสองนายก็เข้ามาพาตัวขุนนางหลิวออกไป ขุนนางหลิวไม่ทันได้สังเกตเลยว่าในกองอาเจียนที่ตัวเองสำรอกออกมามีหนอนตัวหนึ่งดิ้นพล่านอยู่ในนั้น
รอจนเขาออกไปแล้ว หันหรานก็นั่งยองลง ใช้นิ้วมือข้างหนึ่งบีบจมูกตัวเอง ส่วนอีกข้างใช้ที่คีบคีบหนอนตัวนั้นขึ้นมาใส่ในกล่องใบเล็กที่เขามักจะพกติดตัว
ไม่ควรกลับไปรายงานฮ่องเต้ปากเปล่า ไม่ว่าฮ่องเต้จะอยากทอดพระเนตรเจ้าหนอนนี้หรือไม่ เขาก็ควรนำมันไปด้วย
……
ภายในห้องทรงพระอักษร จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังเฝ้ารอข่าวคราวจากหันหราน
“ฝ่าบาท ผู้บัญชาการหันมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา”
หันหรานถูกพาตัวเข้ามา หลังจากถวายความเคารพเรียบร้อยแล้วก็รายงานแก่ฮ่องเต้ “ฝ่าบาท พระชายาเยี่ยนอ๋องพบหนอนในร่างกายของขุนนางหลิวพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เคร่งขรึมขึ้นทันใด
เขาเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่าคนอูเหมียวจะกล้าทำ
“แล้วคนอื่นๆ รู้เรื่องนี้หรือไม่”
หันหรานรีบเล่าเหตุการณ์โดยละเอียด
จิ่งหมิงฮ่องเต้เผยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าบอกว่า พระชายาเยี่ยนอ๋องที่แต่งกายเป็นหญิงรับใช้สาดเหล้าใส่หน้าขุนนางหลิวงั้นรึ”
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฉะนั้นกระหม่อมจึงสบโอกาสพาพระชายาเยี่ยนอ๋องและขุนนางหลิวออกมาพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะร่าพลางหันไปกล่าวแก่พานไห่ “ข้าคิดแล้วเชียวว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นผู้มีไหวพริบเป็นเลิศ”
ส่วนขุนนางหลิว ที่มียศเป็นถึงขุนนางในราชสำนักแต่กลับทำตัวเหมือนเศษสวะเช่นนั้นก็ให้กลับไปปลูกมันอยู่ที่บ้านก็แล้วกัน
เมื่อพานไห่เห็นว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ดูอารมณ์ดี เขาก็รู้สึกขอบคุณเจียงซื่อยิ่งนัก ขันทีอาวุโสคลี่ยิ้มพลางตอบ “เป็นเพราะฝ่าบาททรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกลพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หุบยิ้มพลางหันไปถามหันหราน “แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร”
“หนอนในร่างขุนนางหลิวออกมาแล้ว ตอนนี้กำลังรอให้เขาสร่างจากอาการมึนเมาเสียก่อน กระหม่อมจะสอบถามเขาว่า เขาเคยคลุกคลีกกับใครที่เป็นชาวอูเหมียวพ่ะย่ะค่ะ” หันหรานเว้นวรรคก่อนจะถาม “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทปรารถนาจะทอดพระเนตรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงักไปก่อนจะตระหนักได้ว่าหันหรานจะให้เขาดูอะไร ฮ่องเต้ดึงมุมปากพลางบอก “ไม่ต้อง”
เขามิได้สงสัยใคร่รู้ปานนั้น แต่ที่แน่ๆ เขาควรจะตอบโต้อูเหมียวเสียบ้าง!