บทที่ 581 หมาป่าตาขาว

บทที่ 581 หมาป่าตาขาว

สีหน้าของซานกงย่ำแย่ขึ้นเรื่อย ๆ ยามมองภาพเกาจุ้นและหยวนหยางที่ปฏิบัติต่อน้องเล็กแบบนี้

น้องเล็กเก่งและมีความสามารถมาก ทั้งยังได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทำไมการที่มาช่วยพวกเราในวันนี้ถึงต้องโดนทำให้เคืองใจ?

ปกติแล้วเสี่ยวเหมยเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนโยน แต่วันนี้แม้แต่เธอเองก็ยังไม่พอใจเด็กหนุ่มสองคนนั้น

ได้ยินจากพ่อว่าเหตุผลที่สองคนนี้ได้รับเลือกมาทำแปลงทดลองเพราะเป็นนักเรียนในกลุ่มเดียวกัน อีกทั้งครอบครัวยังมาจากชนบท ทว่าตั้งแต่ที่พวกเขามา กลับยกย่องตัวเอง และคิดว่าการที่ตนเข้าร่วมงานนี้ได้เป็นเพราะความสามารถของตัวเอง

เพราะแบบนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองจึงดูถูกซานกงและเสี่ยวเหมยเสมอ และคิดว่าพวกเราเข้ามาในกลุ่มนี้ได้เป็นเพราะการเล่นพรรคเล่นพวก

ตอนเสิ่นจื่อเจินอยู่ด้วยก็พูดดี แต่พอไม่อยู่นี่สิ เจ้าพวกนั้นเอาแต่พูดจาทิ่มแทงสักประโยคสองประโยค น้ำเสียงเสียดสีเหลือทน

เพื่อความสามัคคีของกลุ่ม เสี่ยวเหมยไม่เคยบอกพ่อเลย เธอคิดว่าอีกสักพักพวกนั้นคงเข้าใจได้เอง

แต่การเห็นเสี่ยวเถียนโดนปฏิบัติแบบนี้มันทำให้เสี่ยวเหมยไม่พอใจขึ้นมา

น้องสาวคนนี้เก่งมาก ช่วงสักเจ็ดแปดขวบได้ เธอช่วยกองชุมชนของเราเพิ่มผลผลิตอาหาร แถมช่วงหลายปีมานี้ความรู้เธอลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นด้วย เด็กอายุเท่านี้เอง ใครที่ไหนจะไม่อยากชมล่ะ?

แล้วทำไมสองคนนั้นถึงดูถูกเสี่ยวเถียน?

เก่งมาจากไหนหรือถึงดูเบาน้องสาวของเธอ?

“พวกคุณหมายถึงอะไรน่ะ?”

แต่ก่อนที่พี่ทั้งสองจะได้พูด เสิ่นจื่อเจินเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“อาจารย์ครับ พวกเราแค่คิดว่ายิ่งอายุเยอะเท่าไร ความรู้ที่สั่งสมถึงจะยิ่งเยอะครับ”

หยวนหยางจ้องไปทางเสี่ยวเถียนอย่างมีนัยยะ

เหอะ ยัยหนู คิดจะมาแบ่งผลประโยชน์!

ตอนแรกก็คิดว่าอาจารย์เสิ่นคงจะดี แต่ใครจะรู้เล่าว่ากลับเห็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า ใจคิดแต่คนในบ้านเท่านั้น

เสิ่นจื่อเจินหมดความตั้งใจที่จะพูดเมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น

“คุณสองคนรวมกันยังเก่งไม่เท่าเสี่ยวเถียนเลย” เขาถอนหายใจ

แต่เด็กทั้งสองกลับไม่คาดคิดว่าอาจารย์จะพูดออกมาตรง ๆ จึงได้แต่ตะลึงกัน!

“ผมรู้ว่าพวกคุณไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด ถ้าอย่างนั้นยืนดูที่ข้างแปลงทดลองก่อนได้นะ”

เสิ่นจื่อเจินเชื่อในตัวหลานสาวหมดหน้าตัก

ส่วนเสี่ยวเถียนเพิกเฉยชายสองคนนั้นโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่รับเอกสารการวิจัยมาจากพี่ ๆ ก็นั่งเงียบอ่านมันด้วยความสงบ แต่ยิ่งเด็กสาวทำแบบนี้ หยวนหยางและเกาจุ้นกลับรู้สึกอับอายมากขึ้นเท่านั้น

ตอนนั้นเองที่ใบหน้าได้เปลี่ยนเป็นดำมืด

ทั้งสองมองหน้าแล้วเดินจากไป

เสิ่นจื่อเจินแค่คิดว่าคงเสียหน้าจึงไม่ได้สนใจอะไร

สำหรับซานกงที่เป็นพี่ชายกลับอยากจะออกไปคุยกับพวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่ได้เสี่ยวเหมยเกลี้ยกล่อมเอาไว้

“ซานกงไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ รอให้เสี่ยวเถียนแก้ปัญหาได้เมื่อไรค่อยให้พวกเขามาขอโทษน้อง!”

เสี่ยวเหมยพูดเบา ๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้เสี่ยวเถียนเสียสมาธิ

ถึงซานกงจะไม่ต้องการให้น้องคับข้องใจโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็อย่างที่เสี่ยวเหมยว่า ไว้เราแก้ปัญหาเสร็จเมื่อไรทุกอย่างจะง่ายขึ้นแน่นอน

เสิ่นจื่อเจินมองแผ่นหลังที่เดินจากไป ก่อนทอดถอนหายใจ “พวกคุณสองคนมานี่เถอะ พวกเรามาถกกันต่อแล้วกัน ดูว่าเจอปัญหาอะไรใหม่ ๆ อีกไหม”

คนเป็นอาจารย์กำลังคิดอยู่ว่าจะเก็บพวกเขาไว้ในทีมวิจัยต่อดีไหม

กับคนที่ทำเหมือนว่าทุกอย่างง่ายไปเสียหมดเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการมากที่สุด โดยเฉพาะในสายงานของพวกเรา ถ้าหากใจร้อนจนสร้างเรื่องขึ้นมา ปัญหาในภายหลังคงตามมาเป็นอีกกระบุง

“อาจารย์ครับ แล้วพวกเขา…” ซานกงถาม

“ไม่ต้องสนใจหรอก บางทีการได้เข้ามหาวิทยาลัยและได้ทำงานในห้องทดลอง เขาเลยคิดว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น!”

เสี่ยวเหมยกลับเห็นแย้ง มันจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ หรือ?

เพราะบางครั้งความกล้าหาญอันโง่เง่านั่นอาจทำให้อะไรเกิดขึ้นก็ได้

คนหนุ่มคนสาวไม่ยอมโดนถูกกระทำหรอกนะ!

หลังจากนั้นคนทั้งสามได้เริ่มศึกษากันเงียบ ๆ โดยไม่ได้นึงถึงเด็กหนุ่มที่จากไป

เวลามีสมาธิเวลามักผ่านไปโดนเสมอ

พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ซานกงเหลือบตามองน้องสาวที่ยังขมวดคิ้ว ขีด ๆ เขียน ๆ ใส่กระดาษ

ไม่รู้ว่าเจอทางออกบ้างหรือเปล่า

สองวันนี้เรากำลังวิกฤตกันเลย ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้เราจะพลาดโอกาส และต้องรอจนกว่าจะถึงรอบต่อไป

เรารอได้ แต่ที่ดินทำกินมากมายในประเทศจะรอได้หรือ?

ทุกครั้งที่ผลผลิตจากเมล็ดพันธุ์เราเพิ่มขึ้นทีละนิด เราสามารถเอาไปปลูกได้ทั่วประเทศเลยนะ แล้วผลผลิตก็จะเพิ่มอีกด้วย

ซานกงเชื่อว่าตราบใดที่เขาอดทนจนกระทั่งมีผลผลิตเพิ่งมากขึ้น คนในประเทศเราจะได้กินอิ่ม ไม่มีใครอดอยากอีก

ขณะที่กำลังขบคิด จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากข้างนอก

เสี่ยวเหมยและจื่อเจินมองไปทิศทางประตู ก่อนจะพบคนจำนวนมากที่นั่น

เกิดอะไรขึ้น?

ทั้งสามมองหน้ากัน

แปลงทดลองของเราถูกติดตั้งไว้ให้ห่างจากคนอื่น ๆ แล้วทำไมวันนี้ถึงมีคนมาหาเยอะขนาดนั้น?

เสิ่นจื่อเจินลุกขึ้นเดินไปยังประตู

เขาไม่อยากให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้ามา

เพราะแปลงแห่งนี้เป็นหัวใจและจิตวิญญาณของเขา

หลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่งก็เห็นชัดขึ้นว่าเป็นอธิการบดีมาด้วยตัวเอง พร้อมคนอีกมากที่ตามหลังมาด้วย แถมในบรรดาคนกลุ่มนั้นมีสองคนที่คุ้นเคย จะเป็นใครไปไม่ได้อีกถ้าไม่ใช่หยวนหยางและเกาจุ้น?

เดี๋ยวก่อนนะ มีอีกคนอยู่ทางซ้ายท่าอธิการด้วย หน้าตาดูคุ้น ๆ แต่ว่าเขาเป็นใครน่ะ?

ตัวเสิ่นจื่อเจินเป็นนักวิชาการที่เก่งกาจ มีบางคนที่ได้พบเขาอาจจะลืมในพริบตา แต่บางคนกลับจดจำได้ขึ้นใจ

และในตอนนั้นชายผู้นี้กำลังคิดอยู่ว่าอีกฝ่ายคือใคร เคยพบกันเมื่อไร

ทางฝั่งเสี่ยวเถียนที่กำลังจดจ่ออยู่กับเนื้อ ถูกปลุกให้ตื่นเพราะความเคลื่อนไหว

เธอหันไปมองก่อนจะพบว่า ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าคือหัวหน้าอู๋ที่เจอกันเมื่อคืนนี้?

เธอวางข้อมูลลง แล้วลุกขึ้นหมายจะเดินไปหาชายชรา

พอเห็นเสี่ยวเถียนเข้ามาใกล้ เสิ่นจื่อเจินรีบเรียก “เสี่ยวเถียน มานี่ก่อน!”

ไม่ว่าเขาจะเลอะเลือนขนาดไหน แต่สามารถรับรู้ได้ว่าเกาจุ้นและหยวนหยางไปฟ้องอีกฝ่าย แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะเก่งถึงขนาดทำให้อธิการบดีตื่นตระหนก

คงประเมินพวกเขาต่ำไป

ซานกงและเสี่ยวเหมยยืนอยู่ข้างหลังยังเข้าใจกับสถานการณ์

เราสองคนกำหมัดแน่น

คนนึงก็หยวนหยาง อีกคนก็เกาจุ้น เอาไปฟ้องกันหรือเนี่ย?

แปลงทดลองแห่งนี้ทำให้พวกเขาคับข้องใจหรือ?

ไม่คิดแล้วดีกว่า ถ้าพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมทีมวิจัยกับโรงเรียนขนาดใหญ่แบบนี้ จะมีใครรู้จัดพวกเขาไหม?

พวกเขาจะได้เป็นอย่างทุกวันนีหรือเปล่า?

ก็เป็นได้แค่หมาป่าตาขาวเท่านั้น!

คิดว่าในบรรดานักศึกษาทั้งหมด ไม่มีใครเก่งกล้าสามารถกว่าแล้ว?

เหอะ!

“อาจารย์เสิ่น ทางนี้เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ?” อธิการบดีถาม