บทที่ 560 เครื่องจับเท็จ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

หลังจากเข้าไปแล้ว วารุณีก็เห็นนัทธีในแวบแรก

เขากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่หลังโต๊ะทำงาน และบนโซฟาตรงหน้าของเขา มีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่

ผู้หญิงคนนั้นใช้ผมผิดหน้า มองไม่ชัดว่าหน้าตายังไง ทว่ากลับสูงมาก สามารถเทียบกับเชอรีนได้เลย

เชอรีนถึงขั้นพูดอย่างตกใจว่า “ให้ตายเถอะ อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้เป็นนางแบบ”

นางแบบ?

วารุณีขมวดคิ้ว ไม่ได้คิดมาก เดินตรงไปทางผู้ชาย “นัทธี”

“เธอมาแล้ว” นัทธีวางเอกสารในมือลง เงยหน้าขึ้นมองเธอ

วารุณีพยักหน้า

นัทธีถามต่อว่า “ทานข้าวเช้าหรือยัง?”

“ยัง” วารุณีตอบ

หน้าของนัทธีไม่ค่อยพอใจ “ทำไมไม่กินให้เสร็จก่อนค่อยมา?”

“ฉันรอไม่ไหวแล้วไง” เธอเดินไป กอดแขนของผู้ชาย ส่ายหัวเบาๆ พูดด้วยความอ้อน

ทันใดนั้นนัทธีก็ไม่ได้ไม่พอใจแล้ว

เชอรีนที่อยู่ข้างๆ มองจนทำเสียงจุ๊จุ๊ชื่นชม

เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย ไม่มีผู้ชายคนไหนสามารถต้านการอ้อนของหญิงสาวสวยงามได้

“จริงด้วยที่รัก ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไร?” วารุณีปล่อยแขนของนัทธี ชี้ไปทางผู้หญิงบนโซฟา

ในแววตาของนัทธีมีนัยน์ตาที่เย็นชา “ตกใจจนสลบไปแล้ว”

“ห้ะ? สลบไปเลย?” เชอรีนตะลึงไปทั้งหน้า

วารุณีก็สงสัยมาก “ทำไมถึงตกใจจนสลบไปล่ะ?”

“ในตอนที่มารุตจับเธอได้ เธอน่าจะรู้ว่าตัวเองจบแล้ว ดังนั้นก็เลยสลบไป ตอนที่ฉันมา เธอก็อยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว” นัทธีมองดูผู้หญิงคนนั้น พูดอย่างเย็นชาว่า “อีกอย่างพวกเธอรู้จักกับเขา”

“พวกเราก็รู้จัก?” วารุณีสบตากับเชอรีน

สุดท้ายเชอรีนเดินไปข้างหน้า เปิดผมที่ปิดหน้าของผู้หญิงออก จากนั้นใบหน้าที่คุ้นเคยๆ มากก็เผยออกมา

“สุชาดา!” น้ำเสียงของเชอรีนสูงมาก

วารุณีเองก็มีความแปลกใจ แต่ว่ายิ่งไปกว่านั้นคือความหนักแน่น

คิดไม่ถึงว่ากล่องพวกนี้ สุชาดาจะเป็นคนส่ง

ดูเหมือนว่านวิยาได้สืบความสัมพันธ์ของเธอไปอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นถึงให้ติดสินบนสุชาดา

“เชอรีน ทำเธอตื่น” วารุณีเม้มปาก พูดด้วยเสียงต่ำ

เชอรีนพยักหน้า “ได้”

เธอเอาผมของสุชาดาออก มองซ้ายมองขวา อยากมองดูว่ามีเครื่องเติมน้ำหรือเปล่า เติมน้ำแล้วมาราดให้สุชาดาตื่น

แต่ว่ามองไปรอบๆ แล้ว ห้องทำงานที่ใหญ่โตอย่าว่าแต่เครื่องเติมแล้ว แค่โต๊ะทำงานกับโซฟา อย่างอื่นอะไรก็ไม่มี

ไม่มีวิธีอื่น เชอรีนได้แต่ม้วนแขนเสื้อขึ้น จับคอเสื้อของสุชาดา ยกทั้งตัวของสุชาดาขึ้นมา จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างหนึ่ง ทั้งขวาและซ้าย ป้าบป้าบตบไปสองที

ภาพๆ นี้ วารุณีเห็นแล้วเกือบจะสำลักน้ำลาย คิดไม่ถึงว่าเธอจะใช้วิธีนี้เรียกสุชาดาตื่น

แม้กระทั่งนัทธีก็แปลกใจจนยักคิ้ว รู้สึกตลกเล็กน้อย

แต่ว่ายิ่งไปกว่านั้นคือความพอใจ มีคนอย่างเชอรีนและปาจรีย์ที่นิสัยอารมณ์ร้อนแบบนี้อยู่ข้างกาย เขาไม่ต้องเป็นห่วงว่าวารุณีจะถูกรังแก

เพราะว่าเชอรีนและปาจรีย์ต่างก็จะปกป้องเธอ

“เจ็บมาก ใครตบฉัน?” สุชาดาตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด

เธอจับหน้าของตัวเองแล้วลุกขึ้นมา กำลังจะโมโห จากนั้นก็เห็นสามคนที่อยู่ตรงหน้า วารุณี นัทธี และเชอรีน

วินาทีที่เห็นสามคนนั้น สีหน้าของสุชาดาซีดขาวไปเลย อยากจะสลบกลับไปอีกครั้ง

แต่ว่าใช้ว่าจะสลบก็สามารถสลบไปได้

เธอถึงขั้นรู้สึกว่า ถึงแม้จะสลบไปแล้วจริงๆ ก็จะถูกตบจนตื่นแบบนั้น

“เธอ……เธอจะทำอะไร?” สุชาดากำหมัดแน่น มองทั้งสามคนด้วยความระมัดระวัง “คิดไม่ถึงว่าพกเธอจะกล้ามาลักพาตัวฉัน เชื่อไหมว่าฉันจะแจ้งตำรวจ”

“ได้สิ งั้นก็แจ้งความสิ ฉันจะลองดู สุดท้ายคนที่โดนจับคือพวกเรา หรือว่าเธอ” เชอรีนสะบัดแขน พูดด้วยความไม่พอใจ

วารุณีเดินเข้าขึ้นไปหนึ่งก้าว จ้องสุชาดา “ฉันถามเธอนะ เธอรู้จักกับนวิยาได้ยังไง”

“นวิยา?” สุชาดารู้สึกสงสัยไปทั้งหน้า “เธอกำลังพูดอะไร?”

“เธออย่ามาแกล้งไม่รู้เรื่อง นวิยาให้สินบนเธอแน่นอน ให้เธอส่งกล่องพวกนั้นมาใช่ไหม” เชอรีนชี้ไปทางจมูกของเธอแล้วถาม

สุชาดาได้ยินคำว่ากล่องแล้ว นัยน์ตากะพริบตาด้วยความกลัว ทว่าบนปากก็ยังไม่ยอมรับ “ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดอะไร ฉันไม่รู้จักนวิยาอะไร”

“เธอไม่รู้จักจริงๆ?” นัทธีหรี่ตา จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า

คนที่สุชาดากลัวที่สุดก็คือเขา โดยเฉพาะสบตากับนัยน์ตาของเขา มักจะมีความรู้สึกว่าจะฆ่าเธอตลอดเวลา

เพราะอย่างนั้น หลังจากได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เธอก็ก้มหน้าลงทันที “ใช่ พวกเราไม่รู้จักกัน”

เชอรีนและวารุณีสบตากัน “วารุณี เธอว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือปลอม?”

วารุณีเม้มปาก แสดงออกว่าไม่แน่ใจ

คนๆ หนึ่งหากมีใจอยากจะพูดโกหก ขอแค่ยืนหยัด มีความเป็นไปได้ที่จะแยกไม่ออกว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องปลอม

“นัทธี นายคิดว่าล่ะ?” วารุณีมองไปทางนัทธี

นัทธียิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก “มารุต”

มารุตที่อยู่ข้างนอกรีบผลักประตูเข้ามา “ประธาน”

“ทำเครื่องจับเท็จเข้ามา” นัทธีออกคำสั่ง

เชอรีนได้ยินแล้ว ทั้งคนก็ดีใจขึ้นมาทันที “วารุณี อันนี้ดี ขอแค่เธอโกหก ทั้งตัวของเธอก็จะถูกไฟช็อต”

เธอชี้ไปทางสุชาดา

สุชาดาตกใจจนหน้าซีดขาวไปเลย รีบส่ายหัวติดต่อกัน “ไม่เอา ไม่เอา!”

“จะเอาหรือไม่เอาเธอไม่มีสิทธิ์มาพูด” เชอรีนพูดอย่างดูถูก

วารุณีไม่ได้พูด จ้องสุชาดาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

ขณะนี้ มารุตนำเครื่องจับเท็จเข้ามาแล้ว

สุชาดาเห็นแล้ว ลุกขึ้นอยากวิ่งออกไป

เชอรีนหัวเราะเยาะเย้ย ยืดขายาวออกไป ห้ามเธอไว้ จากนั้นก็คว้ามือออกไป ล็อกตัวสุชาดาไว้ตรงหน้า กดทับกลับไปยังโซฟา

มารุตเห็นแล้ว อดชื่นชมไม่ได้เลย “ฝีมือไม่เลว”

“อยู่แล้ว” เชอรีนยกคางขึ้นอย่างได้ใจ กดสุชาดาไว้บนโซฟา “ผู้ช่วยมารุต เอามือของเธอใส่ขึ้นมา”

“ได้” มารุตพยักหน้า

ทั้งสองร่วมมือกัน มือของสุชาดา ถูกวางลงบนเครื่องจับเท็จด้วยความบีบบังคับ

วินาทีที่วางขึ้นมา สุชาดาคิดว่าตัวเองจะโดนช็อต เธอกลัวมาก

ดีที่เครื่องจับเท็จไม่มีการเคลื่อนไหวดีๆ เธอจึงจะโล่งใจ

“พอแล้ว ถามเธอเถอะ” นัทธีมองไปทางวารุณี

วารุณีอื้มไปคำหนึ่ง หันศีรษะกลับไปถามอีกครั้ง “นวิยาให้สินบนเธอ ให้เธอส่งกล่องพวกนั้นให้ฉัน?”

สุชาดากัดปากแน่นไม่ตอบ

เธอคิดว่า เครื่องจับเท็จแบบนี้ ไม่ได้มีหลักการทางวิทยาศาสตร์เลย เครื่องจักรที่ไร้ความรู้สึก จะรู้ได้ยังไงว่าคนคนหนึ่งกำลังโกหกอยู่หรือเปล่า

หากเธอตอบตามความจริง และถูกตัดสินว่าโกหกจะทำยังไง?

ดังนั้น เธอไม่ตอบหรอก

เห็นสุชาดาไม่ยอมเอ่ยปากสักที เชอรีนตบไปยังหลังศีรษะของเธอหนึ่งที “ยังเหม่ออะไรอยู่ รีบพูด!”

สุชาดาโดนตบจนเจ็บ หันหลังจ้องไปทางเชอรีน “ทำไมฉันต้องพูด หากเจ้าเครื่องนี้ตัดสินใจผิดพลาดล่ะ งั้นไม่ว่าฉันตอบอะไร ก็จะถูกช็อตอยู่ดี”

“นี่เธอไม่ต้องเป็นห่วง” มารุตเอ่ยปากพูด “เจ้าเครื่องนี้ จะจับความเร็วการเต้นหัวใจ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิทางร่างกายและทำการตัดสิน คนคนหนึ่ง หากพูดความจริง ความเร็วในการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิร่างกายนั้นปกติอยู่แล้ว หากโกหก หัวใจก็จะเต้นเร็ว หรือช้าลง และอุณหภูมิร่างก็จะสูงขึ้นหรือลดลง ดังนั้นปัญหาที่เธอพูดไม่มีอยู่แล้ว รีบตอบจะดีกว่า”

“ได้ยินหรือยัง? เจ้าเครื่องนี้ไม่ใส่ร้ายเธอแน่นอน ดังนั้นรีบพูดมา” เชอรีนเร่งอีกครั้ง

สุชาดามองวารุณี จากนั้นก็ไปมองนัทธีที่สีหน้าไร้อารมณ์ กลืนน้ำลาย สูดหายใจลึกเอ่ยปากขึ้นว่า “ไม่ใช่”

หลังจากตอบกลับแล้ว ทุกคน รวมถึงสุชาดา ต่างก็จ้องไปที่เครื่องจับเท็จ

ผ่านไปหนึ่งวินาที ผ่านไปหลายวินาที เครื่องจับเท็จไม่ได้ขึ้นไฟสีแดง และไม่ได้เกิดไฟช็อต แต่ว่าขึ้นไฟสีเขียวขึ้นมา

นัทธีเม้มปาก “เธอไม่ได้โกหก!”