การประจันหน้าระหว่างทหารต้าโจวและทหารหนานหลานสู้รบยื้อยุดกันอย่างดุเดือดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายมีผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
ในรายชื่อของทหารที่เสียชีวิต จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับพบชื่อที่แสนคุ้นเคยชื่อหนึ่ง ‘เจียงจั้น’ บุตรชายของตงผิงปั๋ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้พลิกปิดรายชื่อยาวเหยียดกลับเข้าที่ มีภาพบุรุษหนุ่มผุดขึ้นในความคิด
ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาเปล่งประกายสุกใสที่มักจะมาพร้อมรอยยิ้ม
ในตอนนั้น เขาเคยถามบุรุษหนุ่มว่าอยากได้รางวัลอะไร บุรุษหนุ่มนั้นตอบว่า ชายชาตรีมิควรคิดเสียดายชีวิต ตนอยากทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินต้าโจว
เพราะเรื่องนั้นทำให้เขารู้สึกซาบซึ้ง ถึงได้พยักหน้าตกปากรับคำขอของบุรุษหนุ่ม
แต่ทว่าตอนนี้ ชื่อของเขาปรากฏอยู่ในรายชื่อทหารที่เสียชีวิต หนำซ้ำเขายังเป็นบุตรชายคนเดียวของตงผิงปั๋ว เป็นพี่ชายของพระชายาเยี่ยนอ๋อง… จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันใด เขาหลับตานิ่งคิดเนิ่นนานก่อนจะลืมตาหันไปหาพานไห่
พานไห่ค้อมตัวเล็กน้อย “ฝ่าบาทมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบงันเพียงไม่กี่อึดใจก็เอ่ยขึ้นว่า “ไปเรียกเยี่ยนอ๋องเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่ออวี้จิ่นได้รับราชโองการให้เข้าวัง เขากลับรู้สึกประหลาดใจ
ช่วงนี้เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เหตุใดจู่ๆ ถึงโดนเรียกเข้าวัง
ชายหนุ่มเดาคำตอบไม่ออก ยามที่มาเข้าเฝ้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ อวี้จิ่นจึงมีท่าทีจริงจังกว่าปกติ
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่บุตรชาย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มาแล้วรึ”
อวี้จิ่นได้ยินก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจหนักกว่าเก่า เขาหลุบตาลงพลางถาม “ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อเรียกลูกเข้ามา มีสิ่งใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้เคลื่อนไปหยุดอยู่ที่รายชื่อบนโต๊ะ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ส่งรายชื่อนั้นให้อวี้จิ่น “ดูเอาเถอะ”
ครั้นรับไปแล้ว อวี้จิ่นก็รับรู้ได้ถึงลางร้าย เขารีบพลิกดู ไม่กี่อึดใจก็พบชื่อแถวหนึ่งที่เขารู้จักดี
คล้ายกับว่าตัวอักษรหน้าตาธรรมดาเหล่านั้นกำลังแทงทะลุเข้าไปในเรือนร่างของเขาอย่างคมดาบ ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด
มือที่เคยจับดาบคงมั่นสั่นสะท้านเหนือการควบคุม
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองดูอวี้จิ่นมิได้เกริ่นกล่าว
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน อวี้จิ่นก็ละสายตาจากรายชื่อ และมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มพูด “ข้าจะให้พานไห่ไปส่งข่าวที่ตงผิงปั๋ว ส่วนภรรยาของเจ้า เจ้าบอกนางเองเถิด”
ริมฝีปากอวี้จิ่นกระตุกวูบ เขายังไม่ขยับตัว
จะให้เขาบอกว่าอะไร
ให้เขาบอกอาซื่อว่าเจียงจั้นตายในสงครามงั้นหรือ
“หื้ม?”
อวี้จิ่นยกหมัดขึ้นคารวะพร้อมสารภาพ “ลูกพูดไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
บุตรชายคนเดียว ผู้ใดจะกล้าบอก
ทั้งสองสบตา ไม่มีใครพูดอะไรสักคำเดียว
ทุกอณูในห้องหยุดนิ่ง มีเพียงพานไห่ที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ
พี่ชายของพระชายาเยี่ยนอ๋องเสียชีวิตในสงคราม นี่มันเรื่องถึงชีวิตเชียวนะ
แม้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะรู้สึกเสียดายมากเพียงใด แต่ชีวิตของเขาก็ผ่านช่วงเวลามรสุมมานับครั้งไม่ถ้วน เขาเองก็เคยมอบโทษประหารแก่บุตรชายของตัวเอง ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว ถือว่าเจ็บปวดกว่ามาก ฉะนั้นเขาจึงเป็นคนเริ่มเอ่ยก่อน “ไปเถอะ เจ้าไปบอกภรรยาของเจ้า เพราะถึงอย่างไรก็ดีกว่าให้นางทราบข่าวจากตงผิงปั๋ว”
อวี้จิ่นขบริมฝีปากแน่น เขาส่งรายชื่อให้พานไห่ “ลูกขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เขาหันหลังเดินกลับออกไป แต่แล้วก็หันกลับมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผงะเล็กน้อย “มีอะไรรึ”
“เสด็จพ่อ ลูกอยากทราบรายละเอียดทั้งหมด และอยากทราบว่าร่างของท่านพี่เขยจะมาถึงเมืองหลวงเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ”
หากเขาต้องกลับไปบอกอาซื่อแค่ว่าเจียงจั้นตายแล้ว อย่าว่าแต่อาซื่อที่รับไม่ได้ เพราะเขาเองก็รับไม่ไหวเช่นกัน
เหตุใดไอ้คนไร้พิษสงแสนดีเช่นนั้นถึงต้องตายด้วยนะ
ที่น่าแปลกก็คือ เขาส่งคนไปคุ้มกันอยู่ตลอด…
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ฟังเช่นนั้นก็หันไปส่งสายตาให้พานไห่
พานไห่ตอบรับ “บัดนี้มีรายงานเพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เกรงว่าคงต้องรออีกสองวันพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันกลับไปมองอวี้จิ่นพลางเอ่ยอ่อนโยน “กลับไปเถอะ หากมีข่าวส่งมาจากที่นั่น ข้าจะบอกให้เจ้าทราบ”
อวี้จิ่นเงียบงันอยู่นานแล้วจึงยกมือคารวะ “ลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่ออกจากประตูพระราชวัง สายลมหนาวพัดพาผ่านมากระทบร่างชายหนุ่ม แก้มของอวี้จิ่นเย็นยะเยือก
เหมันต์มาเยือนอีกครา อุณหภูมิเย็นลงวันแล้ววันเล่า แต่ทว่าอากาศด้านนอกยังหนาวเหน็บไม่สู้หัวใจของอวี้จิ่น
เขาควรกลับไปบอกอาซื่อว่าอย่างไร
แสงอาทิตย์สาดลงบนหน้าของเขาเพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งถูกเงาของเมฆหนาปกคุลม ทั้งที่เป็นเวลาเช้า แต่ท้องฟ้ากลับหม่นราวกับคืนค่ำกำลังคืบใกล้
เมื่อกลับไปถึงจวนอ๋อง อวี้จิ่นมิได้ตรงเข้าไปที่อวี้เหอย่วน แต่เขากลับเรียกเหลิงอิ่งให้มาหา
“นายท่านมีสิ่งใดจะรับสั่งขอรับ”
“คนที่ส่งไปคุ้มกันเจียงจั้นที่ทางใต้เป็นคนของเจ้าใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“มีข่าวด่วนมาจากทางใต้ว่าเจียงจั้นเสียชีวิตในสงคราม เจ้าได้รับข่าวอะไรหรือไม่”
เหลิงอิ่งที่ไม่เคยแสดงความรู้สึกผ่านทางสีหน้าตอนนี้กลับมีอาการตกตะลึง เขารีบตอบ “บ่าวยังมิได้ข่าวเลยขอรับ”
“เจ้าพาคนไปสืบเดี๋ยวนี้ว่าคนที่คอยคุ้มกันเจียงจั้นยังอยู่หรือตาย” อวี้จิ่นกัดฟันพูด
“ขอรับ”
อวี้จิ่นลุกขึ้นและเดินไปที่อวี้เหอย่วน
เดิมทีเขามักจะคิดว่าระยะทางจากห้องตำราที่เรือนหน้าไปถึงอวี้เหอย่วนไกลกันจนน่าเหนื่อยใจ แต่บัดนี้กลับรู้สึกว่ามันใกล้เกินไป
อวี้จิ่นหยุดยืนคิดอยู่ที่ประตู ทำไมมาถึงไวปานนี้
อาหมานเดินออกมาพอดีจึงเอ่ยถาม “ท่านอ๋องไม่เข้าไปหรือเพคะ”
ดูไม่เป็นท่านอ๋องเลยสักนิด ปกติแล้วไม่เคยรอให้บ่าวรับใช้ต้องกล่าวรายงานก็พรวดพราดเข้าไปเลย
อวี้จิ่นรำคาญอาหมานที่พูดมาก เขาชำเลืองมองสาวรับใช้แวบหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป
อาหมานกะพริบตาด้วยความฉงน
นี่ท่านอ๋องเป็นอะไรไป
ขบคิดชั่วครู่ก่อนจะเดินตามเข้าไปเงียบๆ
งานอื่นไว้ค่อยทำก็ยังไม่สาย แต่สภาพของท่านอ๋องตอนนี้ดูผิดแปลกยิ่งนัก คงมีเรื่องผิดปกติเป็นแน่
เจียงซื่อกำลังนั่งเล่นอยู่กับอาฮวน
อาฮวนในขณะนี้อายุห้าเดือนกว่า ยามที่มารดาหยอกเย้า เด็กน้อยก็ยิ้มแย้มมีความสุข ส่งเสียงเริงร่าคิกคัก
เมื่ออวี้จิ่นได้ยินเสียงหัวเราะของบุตรสาว ฝีเท้าของเขาก็ชะงักไป ในใจรู้สึกหนักอึ้ง ไม่มีความรู้สึกใดสื่อผ่านทางสีหน้า เขาเดินไปนั่งเล่นอยู่กับบุตรสาวข้างๆ เจียงซื่อ
เจียงซื่อสัมผัสได้ว่าผู้เป็นสามีดูแปลกไป นางจึงส่งสัญญาณให้แม่นมอุ้มอาฮวนออกไป
แม้ว่าเด็กน้อยจะอายุเพียงห้าเดือนจะยังจำหน้าใครไม่ได้ แต่ครั้นรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกอุ้มออกไป อาฮวนก็เบะปากและร้องจ้าออกมาทันใด
แม่นมหันไปมองเจียงซื่อด้วยความลังเล
เจียงซื่อเองก็รู้สึกปวดใจ ทว่ามิได้เปลี่ยนความคิด นางเอ่ยราบเรียบ “พาเสี่ยวจวิ้นจู่ออกไปก่อน”
รอจนเสียงร้องของอาฮวนห่างออกไปไกลแล้ว เจียงซื่อก็หันไปหาอวี้จิ่น “มีเรื่องอะไรในใจใช่หรือไม่”
อวี้จิ่นทำตาโตเล็กน้อย “เจ้าดูออกด้วยรึ”
“เสียงฝีเท้าของเจ้าฟังดูหนักกว่าตอนปกติ”
ครั้นได้ยินเจียงซื่อกล่าวเช่นนั้น อวี้จิ่นยิ่งรู้สึกขมฝาดในปาก
อาซื่อสัมผัสได้แม้กระทั่งเสียงฝีเท้าที่เปลี่ยนไปของเขา เห็นได้ชัดว่านางใส่ใจเขาถึงเพียงนี้ แต่เขากลับดูแลพี่ชายของนางให้ดีไม่ได้…
ความละอายใจ ความเจ็บปวด ความลังเลตัดสินใจไม่ได้… ความรู้สึกที่กล่าวมาสื่อผ่านออกมาทางสายตาของชายหนุ่ม
เจียงซื่อนั่งหลังตรง สีหน้าของนางจริงจังกว่าก่อน “อาจิ่น สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรกันแน่”
ปกติแล้วอวี้จิ่นไม่ใช่คนลังเลตกลงใจไม่ได้
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงซื่อก็ดำดิ่งลงไปในความรู้สึก
อวี้จิ่นเม้มริมฝีปากบาง เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้ง “มีข่าวด่วนจากทางใต้…”
“แล้วอย่างไร” เจียงซื่อไม่อาจคุมให้ตัวเองใจเย็นได้อีกต่อไป ลางสังหรณ์ก่อตัวขึ้น
อวี้จิ่นกลั้นใจกล่าวออกมาในที่สุด “เจียงจั้น…ชื่อของเจียงจั้นปรากฏอยู่ในรายชื่อทหารที่เสียชีวิต!”