“อ้ะ…” เสียงตกใจของอาหมาน นางรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง
เจียงซื่อยังคงไร้ปฏิกิริยาตอบสนองประหนึ่งหุ่นเชิดที่ไร้คนควบคุม
อวี้จิ่นเป็นห่วงนางจึงส่งเสียงเรียก “อาซื่อ…”
เจียงซื่อยกมือปิดหน้า
อวี้จิ่นดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดพร้อมเอ่ยแผ่วเบา “เสียใจก็ร้องออกมาเถิด อย่าเก็บไว้ข้างในเลย”
เจียงซื่อยังคงมิได้ส่งเสียง หยาดน้ำตาไหลซึมออกมาตามร่องนิ้ว
อวี้จิ่นเห็นว่าเจียงซื่อดูทุกข์ใจ เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่จุกอยู่ที่คอ ไม่รู้ว่าตนควรพูดอะไร
ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย คำปลอบใจดูไร้ประสิทธิผล
เจียงซื่อฝังตัวอยู่ในอ้อมแขนของอวี้จิ่น มือของนางกำแขนเสื้อของเขาไว้แน่น น้ำตาไหลพรั่งพรูหนักหน่วง
ผ่านไปเนิ่นนาน ระบบความคิดของนางกระตุกไม่เป็นส่ำ ในสมองยังคงตื้อคิดอะไรไม่ออก
หรือว่าเรื่องนี้กำลังจะบอกว่า ชะตาชีวิตของคนเราไม่อาจเปลี่ยนแปลง ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใด นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของพี่รองได้
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเจียงซื่อก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับอวี้จิ่น
“พี่รองของข้า…” นางมีสิ่งที่อยากจะถามเป็นพันเป็นหมื่นคำถาม แต่เมื่อเอ่ยปากกลับพูดไม่ออก
ไม่ว่าจะประสบเหตุการณ์สูญเสียคนในครอบครัวมาแล้วกี่ครั้ง แต่สุดท้ายความเจ็บปวดนั้นก็มิได้น้อยลง
“ในขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด ภายในสองวันนี้น่าจะมีความคืบหน้า พวกเรารออีกหน่อย ข้าสั่งเหลิงอิ่งให้ไปสืบที่ทางใต้ด้วยตัวเองแล้ว…”
เจียงซื่อพยักหน้าเนิบช้า
อวี้จิ่นซับน้ำตาให้นาง พลางเอ่ยด้วยความลังเล “ท่านพ่อตาน่าจะได้ทราบข่าวแล้ว ให้ข้ากลับไปกับเจ้าดีไหม”
“อื้อ”
ทั้งสองเปลี่ยนชุดแล้ว ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปที่จวนตงผิงปั๋ว
ในตอนนั้น พานไห่เพิ่งแจ้งข่าวเรื่องการสละชีพในสงครามของเจียนจั้นที่จวนตงผิงปั๋ว เมื่อเห็นเจียงอันเฉิงชะงักงันนิ่งไป พานไห่ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
คนหัวขาวต้องทำศพให้คนหัวดำ หนำซ้ำยังเป็นบุตรชายคนเดียว ช่างน่าเวทนายิ่งนัก
แต่ถึงอย่างไรความรู้สึกเวทนาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริง
“นายท่านปั๋ว ขอแสดงความเสียใจด้วย” พานไห่เอ่ยคำปลอบใจ
เจียงอันเฉิงพยักหน้าด้วยอาการทึมทื่อ
สภาวการณ์ตอนนี้ทำให้พานไห่ไม่อยากอยู่ตรงนั้นนาน จึงรีบเอ่ย “เช่นนั้น ข้าขอตัวกลับไปรายงานที่พระราชวังก่อนแล้ว”
พานไห่เดินเกือบจะถึงหน้าประตูจวน เจียงอันเฉิงถึงจะรู้สึกตัวราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน เขาแผดเสียงดังลั่น “กงกงรอเดี๋ยว!”
พานไห่ชะงักฝีเท้าและกลับหลังหัน
เจียงอันเฉิงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินตามไปคว้าข้อมือพานไห่ แรงนั้นบีบแน่นจนพานไห่ขมวดคิ้ว
“แล้วพบร่างของบุตรชายของข้าหรือไม่”
ในตอนที่เจียงอันเฉิงยังเป็นหนุ่ม เขาเคยร่วมรบในสงคราม เขารู้ดีว่าเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ทั้งสองฝ่ายจะเก็บกวาดร่างของผู้เสียชีวิตและส่งกลับไปยังบ้านเกิด แต่หากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามก็ยากจะพูด
การเสียชีวิตของบุตรชายกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกมาพออยู่แล้ว หากไม่พบร่างของบุตร เกรงว่าเขาคงรับไม่ไหว
หากดินแดนนั้นไม่สมเกียรติพอที่จะฝั่งร่างของเหล่าวีรชนผู้พลีชีพเพื่อชาติ ร่างของพวกเขาก็ควรถูกส่งกลับมาที่บ้านเกิด
แม้ประโยคข้างต้นอาจฟังดูยึดติด แต่เมื่อเป็นบุตรของตนแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดทำใจยอมรับได้
“นายท่านปั๋วโปรดวางใจ พวกเราจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อนำร่างของทหารผู้เสียสละกลับมายังแผ่นดินเกิดให้ได้” ตอนนี้ยังไม่ทราบสถานการณ์ทางใต้ที่แน่ชัด ฉะนั้นพานไห่เองจึงไม่กล้ารับประกัน ทำได้ตอบรับไปตามเรื่อง
“อย่างนั้นรึ” เจียงอันเฉิงได้ยินก็ชะงักไป
พานไห่ขอตัวออกมา
ที่ลานกลางจวนมีคนยืนออจนเต็ม ทั้งเฝิงเหล่าฮูหยิน ท่านนายเจียงสามและภรรยา รวมถึงนายท่านรองเจียงที่รีบบึ่งกลับมา
ในตอนนั้น ทั้งหมดมองมาที่เจียงอันเฉิงเป็นตาเดียว
เจียงอันเฉิงนิ่งงันเนิ่นนาน
เฝิงเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วพลางบอก “เหล่าต้า เจ้าตั้งสติหน่อยเถิด”
เดิมทีนางมิได้ดูดำดูดีหลานชายอย่างเจียงจั้นอยู่แล้ว แต่ตั้งแต่ที่เขาเข้าไปเป็นองครักษ์จินอู๋ ความสนใจของนางก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นางคิดว่าการเป็นองครักษ์จินอู๋ดีอยู่แล้ว แต่หลานชายของเขากลับไม่ชอบ และเสนอตัวไปร่วมรบอยู่ในสงคราม
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับหลานชายคนโตอย่างเจียงชัง นางคงค้านหัวชนฝา แต่เมื่อเป็นเจียงจั้น นางก็ปล่อยให้เขาเลือกทำตามใจของตัวเอง
แม้สงครามจะอันตราย แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาส เพราะหากสามารถนำชัยชนะกลับมาได้ เขาก็มีโอกาสได้รับตำแหน่งทันที ซึ่งนับว่าดีกว่าการนั่งทนทุกข์ทรมานอยู่ในหน่วยงานราชการเป็นไหนๆ
อีกอย่าง การได้เข้าไปเป็นข้าราชการก็มิได้ดีปานนั้น ในเมื่อชื่อเสียงและอำนาจอยู่เพียงชั่วคราว หากบุตรหลานที่เกิดมาขาดความมุมานะ ผ่านไปสองรุ่นยังไร้วี่แววผู้สืบสกุล วงศ์ตระกูลก็ต้องถึงคราวอวสานอยู่ดี สุดท้ายแล้วจะมีตำแหน่งใดสู้เกียรติยศที่ส่งผ่านรุ่นสู่รุ่นได้อีก
ในแผ่นดินต้าโจว ข้าราชการฝ่ายพลเรือนไม่มีโอกาสได้รับการแต่งตั้งตำแหน่ง นอกเสียจากว่าบุตรสาวของตระกูลนั้นจะได้เป็นฮองเฮาหรือไทเฮา ซึ่งทั้งราชสำนักก็มีฮองเฮาได้เพียงพระองค์เดียว
ฉะนั้นหากเทียบกันแล้ว การเป็นแม่ทัพยังได้รับโอกาสมากกว่า
ในมุมของเฝิงเหล่าฮูหยิน การที่หลานชายที่มิได้สนิทสนมกับนางเท่าใดไปร่วมต่อสู้ในสนามรบถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มจะเสี่ยง หากเขาโชคร้ายตายในสงคราม นางย่อมรู้สึกเสียใจเป็นธรรมดา แต่ความเสียใจนั้นก็มิได้ทำร้ายลึกถึงขั้นเข้ากระดูก
ดังนั้นในขณะนี้ เฝิงเหล่าฮูหยินจึงสงบนิ่งกว่าเจียงอันเฉิงมาก
หนังตาของเจียงอันเฉิงกระตุกวูบ เขาหันไปหาเฝิงเหล่าฮูหยิน “ท่านแม่พูดว่าอย่างไรนะ”
“ข้าบอกให้เจ้าตั้งสติหน่อยเถิด เจ้าคือผู้ดูแลจวนหลังนี้ เจ้าต้องเป็นคนจัดการเรื่องของจั้นเอ๋อร์ อย่าทำให้ฮ่องเต้เห็นว่าจวนของเรามิได้ภักดีต่อแผ่นดิน”
นายท่านรองเจียงกล่าวเสริม “จริงด้วย พี่ใหญ่ ถึงอย่างไรจั้นเอ๋อร์ก็เป็นคนเสนอตัวไปรบเอง ฉะนั้นสำหรับเขาแล้ว การได้พลีกายเพื่อแผ่นดินก็นับว่าคุ้ม…”
เจียงอันเฉียงดวงตาแดงก่ำ หมัดหนักลอยลิ่วเข้าที่หน้าของนายท่านรองเจียง “คุ้มที่ได้พลีชีพเพื่อชาติมารดาเจ้าสิ เจ้าคงหวังว่าฮ่องเต้จะทรงชดใช้ แล้วเจ้าเองก็จะได้ลาภลอยไปด้วยใช่หรือไม่”
กับสิ่งที่มารดาพูด เขาคงทำอะไรไม่ได้ แต่กับน้องชายที่ปากเปราะ เขาจำต้องลงหมัดสักทีให้สาแก่ใจ
อารมณ์ของเจียงอันเฉิงย่ำแย่ถึงขีดสุด และดูเหมือนว่าตอนนี้จะได้ระบายออกมาบ้างแล้ว
นายท่านรองเจียงเติบโตมาโดยการใช้ชีวิตเยี่ยงหนอนหนังสือ มีหรือจะมาเป็นคู่ปรับของเจียงอันเฉิง แม้จะหลบยังหลบไม่พ้น ครั้นจะวิ่งหนีก็หนีไม่ทัน เมื่อถูกทำร้ายเขาจึงทำได้เพียงส่งเสียงร้องโหยหวน
“เหล่าต้า นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึ เจ้าไปลงไม้ลงมือกับน้องรองของเจ้าได้อย่างไร!” ครั้นเห็นบุตรชายสุดที่รักของตัวเองถูกทำร้าย เฝิงเหล่าฮูหยินก็ตวาดด้วยความเดือดดาล
เจียงอันเฉิงทำหูทวนลม ยังคงรัวหมัดไม่ยั้ง
เฝิงเหล่าฮูหยินจนปัญญา จึงหันไปเอ็ดนายท่านเจียงสาม “เจ้าสาม เจ้าเป็นท่อนไม้รึ ทำไมไม่เข้าไปห้ามพี่ใหญ่เล่า!”
ส่วนหลานๆ ที่ยืนทื่ออยู่ตรงนั้น นางมิได้สนใจ
พวกผู้ใหญ่ทะเลาะกัน พวกเด็กๆ ไม่อาจเข้าไปห้าม
นายท่านเจียงสามเยาะเย้ยในใจ
คำพูดของพี่รองเมื่อครู่แส่หาหมัดเองหนิ ไม่โดนกับตัวถึงไม่รู้สึก สมควรเป็นที่ระบายของพี่ใหญ่
เฝิงเหล่าฮูหยินพูด สติของนายท่านเจียงสามถึงได้ค่อยๆ กลับมา เขาก้าวเท้าเข้าไปห้าม “พี่ใหญ่ อย่าทะเลาะกันเลย”
เจียงอันเฉิงถีบน้องชายคนที่สามที่ทำทีเป็นออกปากห้ามแต่ดันไม่ออกแรง มือยังคงจับน้องชายคนรองไว้แน่น และรัวหมัดหนักไม่ยั้ง
เจียงซื่อและอวี้จิ่นมาทันเห็นภาพชุลมุน
“น้องสี่ เจ้ามาแล้วรึ” เจียงอีตาแดงก่ำ น้ำตายังไม่แห้งดี
เจียงซื่อพยักหน้ากล่าวร้อง “ท่านพ่อ…”
เจียงอันเฉิงปล่อยหมัดครั้งสุดท้ายก่อนจะหันกลับไปมอง
นายท่านรองเจียฉวยจังหวะนี้ดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ เขาถลาตัวเข้าไปพิงเจียงชังผู้เป็นบุตรพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง “รีบ รีบตามหมอมาเร็วเข้า…”
พี่ใหญ่ต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ นี่หมายจะชกเขาให้ตายไปอยู่เป็นเพื่อนเจียงจั้นหรืออย่างไร
“เอ่อะ” เจียงชังผงกศีรษะเชื่องช้าประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในความฝัน
นี่น้องรองตายไปแล้วงั้นหรือ
หลังจากระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว เจียงอันเฉิงก็หยุดนิ่งงันอยู่ที่เก่า
เจียงซื่อก้าวเข้าไปหา
ตาของเจียงอันเฉิงสั่นไหว บริเวณรอบๆ ดวงตากลายเป็นสีแดง เสียงที่เปล่งแหบแห้ง “ซื่อเอ๋อร์ พี่รองของเจ้าไม่อยู่แล้ว…”
บุรุษร่างกายกำยำแข็งกร้าวเมื่อครู่ร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าบุตรสาวสุดที่รัก ไม่ต่างจากตอนที่เขาสูญเสียภรรยา