เจียงซื่อพยุงแขนเจียงอันเฉิง แต่สายตาปราดมองไปที่นายท่านรองเจียงแวบหนึ่ง
นายท่านรองแซ่เจียงขมวดคิ้วพลางสูดลมเข้าปอด เขารอให้พระชายาผู้เป็นหลานสาวเอ่ยปลอบใจ
เขาแค่พูดความจริงไม่กี่ประโยค เหตุไฉนถึงต้องลงไม้ลงมือกับเขาถึงขั้นนี้
ชายแก่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมคงเป็นเพราะความโศกเศร้าจากการสูญเสียบุตรชาย แต่บุตรสาวของเขาน่าจะเข้าใจหลักความเป็นจริงเสียบ้าง
เขายอมรับว่า ตอนได้ยินข่าวการเสียชีวิตของเจียงจั้น เขามิได้รู้สึกรู้สาเท่าใดนัก แต่ถึงกระนั้นก็มิได้แสดงออกมา แต่เหตุใดพี่ใหญ่ถึงต้องชกเขาให้ตายด้วยเล่า!
แลดูเหมือนว่าเจียงซื่อจะทราบแผนชั่วของเรือนรองมานานแล้ว
เมื่อชาติก่อน ท่านพ่อถูกขับออกจากจวน ตำแหน่งตงผิงปั๋วจึงตกแก่อารองโดยปริยาย และไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า อารองมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ดังนั้น หากเจียงซื่อเอ่ยปลอบใจนายท่านเจียงรองก็พิลึกเต็มที
นางเพียงแต่ปราดสายตาเย็นเยียบไปทางผู้เป็นอาก่อนจะหันไปกล่าวแก่บิดา “ท่านพ่อ ให้ข้าพยุงท่านเข้าไปในห้องเถิดนะเจ้าคะ”
เจียงอันเฉิงในอาการซึมกะทือเดินไปอย่างว่าง่าย
อวี้จิ่นที่เฝ้าดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดก็เดินตามไปโดยมิได้สนใจสายตาคนรอบข้าง
จากสถานะของเขา เขาไม่มีความจำเป็นต้องสนแก่หน้าผู้ใดในบริเวณนั้น มีเพียงคนเดียวที่เขาสนใจคือเจียงซื่อเท่านั้น
นายท่านรองเจียงภายใต้ใบหน้าปูดบวมช้ำเลือดช้ำหนองหันไปกล่าวกับเฝิงเหล่าฮูหยินด้วยท่าทีโกรธเคือง “ท่านแม่ ท่านดูสิ…”
ใบหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินย่ำแย่ไม่แพ้กัน แต่เพราะหลานสาวเป็นถึงพระชายาอ๋อง และหลานเขยก็มีสถานะเป็นถึงองค์ชาย บุตรชายคนโตที่มีอำนาจในการจัดการสิ่งๆ ก็กำลังตรมตรอมและพร้อมจะพังทลายได้ทุกเมื่อ แล้วนางผู้เป็นมารดาจะพูดอะไรได้
“เอาเถอะ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ รอท่านหมอมาเมื่อไหร่ก็ค่อยให้เขาไปดูอาการของเจ้าก็แล้วกัน”
นางท่านรองเจียงขยับริมฝีปากพะเยิบพะยาบ แต่แล้วก็กลืนถ้อยคำห้วงหลังลงคอ
พี่ใหญ่มีบุตรีเก่งกาจเช่นนี้ นอกจากการสงบปากสงบคำแล้ว เขาจะทำอะไรได้
แต่ว่ารอดูไปก่อนเถอะ แค่โชคเพียงชั่วครั้งชั่วคราวจะอะไรกันนักหนา พี่ใหญ่ไม่มีบุตรชาย ต่อให้ตอนนี้จะมีโชคมีลาภมากมายเพียงใด แต่หากไร้บุตรสืบสกุลแล้วไซร้ สุดท้ายก็ไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้
ครั้นคิดได้เช่นนั้น นายท่านรองเจียงก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เขาขมวดคิ้วพลางถามเจียงชังด้วยน้ำเสียงดุดัน “หมอยังไม่มาอีกรึ”
เจียงหยวน บุตรชายคนรองปาดน้ำตาพลางถาม “ท่านย่า ท่านพ่อ พี่รอง…พี่รองไม่อยู่แล้วจริงๆ หรือ”
ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน พี่รองที่เป็นองครักษ์จินอู๋ได้กลายเป็นต้นแบบของเจียงหยวน ต่อมาพี่รองไปประจำการอยู่ที่สนามรบ อีกทั้งยังให้คำมั่นต่อหน้าจักรพรรดิและเหล่าขุนนางว่า ‘บุรุษมิคิดเสียดายชีวิต เขาขอยอมพลีกายเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง’ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกชื่นชมในตัวพี่รองเป็นที่สุด
เกิดเป็นชายควรเป็นเช่นนี้ หากเทียบกันดูแล้ว พี่ใหญ่ที่เชี่ยวชาญแต่เนื้อหาในตำราสู้พี่รองไม่ได้เลยสักนิด
นายท่านรองเจียงจ้องเขม็งไปที่เจียงหยวน “อย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่!”
เจียงหยวนบุ้ยปากทั้งที่ดวงตายังแดงก่ำ “เหตุใดจู่ๆ ถึงได้กลายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ พี่รองจากไป ใจข้าก็เป็นทุกข์…”
เจียงชังเอื้อมมือไปวางบนบ่าเจียงหยวน และถอดถอนหายใจ “น้องสาม เจ้าเงียบก่อนเถอะ เรื่องน้องรองใครต่างก็ทุกข์ใจกันทั้งนั้น”
……
อีกด้าน เจียงซื่อพยุงเจียงอันเฉิงเข้าไปนั่งในห้องพลางกล่าวสะอึกสะอื้น “ท่านพ่อ ท่านวางใจได้ อาจิ่นคอยจับตาดูเรื่องของพี่รองอยู่ไม่ห่าง”
แม้นางจะโศกเศร้า แต่คนที่เจ็บปวดใจที่สุดก็คือบิดาของนาง ฉะนั้นในตอนนี้นางจึงพยายามปลอบประโลมบิดาของนางเท่าที่นางจะทำได้
เจียงอีก็ช่วยโน้มน้าวอีกแรง
เจียงอันเฉิงมองไปยังบุตรสาวทั้งสอง และมองไปที่อวี้จิ่น
อวี้จิ่นคุกเข่าก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อตามีสิ่งใดจะพูดก็เชิญบอกข้ามาได้ทันที”
เจียงอันเฉิงคล้ายกลับเพิ่งฟื้นจากอาการเซื่องซึม เขาเปล่งเสียงดัง “เรื่องที่บุรุษพลีกายเพื่อชาติ ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูด เพียงแต่ข้าไม่อาจปล่อยให้ร่างของจั้นเอ๋อร์ถูกทอดทิ้งอยู่ในต่างแดน ขอร้องท่านอ๋องช่วยสั่งให้นายทหารที่ทางใต้ค้นหาร่างของจั้นเอ๋อร์และนำร่างของเขากลับมา ให้เขาได้กลับสู่มาตุภูมิด้วยเถอะ…”
“ท่านพ่อตาโปรดวางใจ ลูกรับปากจะทำอย่างสุดความสามารถ”
เจียงอันเฉิงดวงตาแดงก่ำดึงมุมปากเล็กน้อย “เจ้าว่ามาเช่นนี้ข้าก็โล่งใจ ไม่เสียแรงที่จั้นเอ๋อร์และเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”
ครั้นได้ยินเจียงอันเฉิงกล่าวเช่นนั้น อวี้จิ่นก็ยิ่งทุกข์ใจ
เขาผูกมิตรกับเจียงจั้นก็เพราะมีจุดประสงค์แฝง ในตอนแรกเขาแค่ต้องการหาโอกาสให้ตัวเองได้เข้าใกล้อาซื่อ แต่พอนานวันเข้า แม้ปากของเขาจะบ่นเจียงจั้น แต่เขาก็ไม่เคยคิดเป็นจริงเป็นจัง
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเผชิญเหตุการณ์ด้านมืดมามากเหลือเกิน จึงทำให้เขาชอบอยู่กับคนที่มีนิสัยเช่นนี้
เจียงซื่อและอวี้จิ่นอยู่เป็นเพื่อนเจียงอันเฉิงจนฟ้ามืด และสุดท้ายทั้งคู่ก็ถูกไล่กลับไป
ผู้คนในจวนเยี่ยนอ๋องได้ทราบข่าวร้ายของพี่ชายของพระชายาแล้ว จึงไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง ด้วยเหตุนี้จวนทั้งหลังจึงเงียบสงัด ชวนให้หัวใจที่ว่างเปล่าเปลี่ยวเหงาตามไปด้วย
เจียงซื่อค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องนอน ระยะทางประหนึ่งเดินทางไกล เรี่ยวแรงในร่างถูกสูบหายเกลี้ยง
นางนั่งพิงหมอนอยู่ตรงหัวเตียง ความเศร้าโศกเสียใจที่ไม่กล้าแสดงออกต่อหน้าผู้เป็นบิดาท่วมท้นอยู่เต็มอก ดวงตาของนางจึงแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง
อวี้จิ่นนั่งลงข้างๆ เจียงซื่อ และโอบไหล่ของนางเบาๆ
เจียงซื่อเปรยตามองอวี้จิ่น “อาจิ่น เป็นเพราะข้าใช่หรือไม่ หากตอนนั้นข้ายืนกรานไม่ให้พี่รองไป พี่รองคงไม่ต้องจากไปเช่นนี้…”
อวี้จิ่นตบหลังของหญิงสาวอย่างเบามือพลางถาม “อาซื่อ หากตอนนั้นเจ้ายืนกรานรั้งเจียงจั้นไม่ให้ไป แล้วเจ้าจะรู้สึกสบายใจงั้นหรือ และเจ้าคิดว่าเจียงจั้นจะมีความสุขอย่างนั้นหรือ ไม่มีใครตัดสินใจแทนใครได้หรอก อย่าว่าแต่พี่น้องท้องเดียวกันเลย ขนาดคนเป็นพ่อแม่ยังทำไม่ได้ เจ้าน่าจะเข้าใจดี”
เจียงซื่อขบริมฝีปากเงียบงัน จนกระทั่งมีกลิ่นคาวเลือดไหลซึมที่ริมฝีปากล่างนางถึงได้หัวเราะกับตัวเอง “ใช่ ข้าเข้าใจดี”
นางเพียงแต่ไม่อาจทำใจยอมรับความจริง จึงได้สรรหาเหตุผลมาอธิบายความทุกข์ระทมเศร้าสร้อยที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นนี้
“ฉะนั้นเจ้าอย่าโทษตัวเองอีกเลย เพราะมันทำให้ข้ารู้สึกปวดใจ หากเจียงจั้นที่ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีรู้เข้า เขาจะเป็นกังวลเอาได้…”
เจียงซื่อไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป นางกำแขนเสื้ออวี้จิ่นแน่นและสะอื้นฮักปล่อยโฮออกมา
นางไม่ได้สนใจการวางตัวสงบเสงี่ยมอีกแล้ว มีเพียงการร้องไห้ออกมาสุดเสียงเท่านั้นที่พอจะช่วยบรรเทาความทุกข์ทนขมขื่นในใจได้
อาเฉี่ยวและอาหมานที่ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูปาดน้ำตากันยกใหญ่
คุณชายรองเสียชีวิตแล้ว นายหญิงทุกข์ใจถึงเพียงนี้ แล้วพวกนางจะไม่เสียใจได้อย่างไร ตั้งแต่เด็กจนโต คุณชายรองแสนดีกับนายหญิงของพวกนางอย่างไร พวกนางเห็น และพวกนางก็ซึ้งใจในส่วนนั้น
“อาเฉี่ยว ทำไมคนดีๆ อย่างคุณชายรองถึงต้องมาตายจากไปด้วยนะ” อาหมานเช็ดหางตาพลางถาม
อาเฉี่ยวสะอึกสะอื้น “ในสนามรบมีคมดาบอยู่รอบด้าน เรื่องแบบนี้ผู้ใดจะล่วงรู้…”
อาหมานเม้มปากพลางบอก “ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าคุณชายรองจากไปแล้วจริงๆ”
อาเฉี่ยวมองนางแวบหนึ่ง แต่มิได้เอ่ยคัดค้าน
นางเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน แต่เพราะข่าวนี้ถูกส่งมาจากวังหลวง ไม่มีทางเป็นเรื่องโป้ปดอย่างแน่นอน
อาหมานเผยสีหน้าจริงจัง “ข้าแอบดูมาหลายครั้งแล้วว่าโหงวเฮ้งของคุณชายรองมิใช่พวกอายุสั้น!”
อาเฉี่ยวนิ่งเงียบเนิ่นนานก่อนจะกระซิบ “ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
หญิงรับใช้ทั้งสองมองไปที่ประตูพร้อมกันและไม่ได้ส่งเสียงใดอีก
บรรยากาศอึมครึมปกคลุมอยู่หลายวัน และอวี้จิ่นก็ถูกเรียกเข้าวังอีกครั้ง
เมื่อเห็นพระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ อวี้จิ่นก็รีบถามทันที “เสด็จพ่อ มีข่าวจากทางใต้แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเฝ้าดูอาซื่อที่เอาแต่เหม่อลอยตลอดหลายวันที่ผ่านมาจนเริ่มจะทนไม่ไหว หากยังไม่มีความคืบหน้า เขาคงต้องไปคุ้มกันอยู่ที่ศาลาพักม้า เพราะผู้ส่งสารจากทางใต้มักจะถูกปล้นไปเสียก่อน
ท่าทีอดรนทนไม่ได้ของอวี้จิ่นทำให้มุมปากของจิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกวูบ เขาส่งสัญญาณให้พานไห่เป็นคนพูดแทน
พานไห่แอบถอนหายใจ
เขาเองก็ลำบากใจไม่แพ้กัน พอเป็นเรื่องยากๆ ทีไร ฝ่าบาทก็โยนมาให้เขาพูดตลอด
แต่ต่อให้เรื่องนั้นจะพูดยากเย็นเพียงใด สุดท้ายก็จำต้องบอกออกไป พานไห่ใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “มีรายงานจากทางใต้แจ้งว่า ร่างของทหารที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกบรรจุไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขณะนี้กำลังเตรียมขนย้ายกลับมายังเมืองหลวง เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร”
“ยังมีร่างของนายทหารบางคนที่ยังหาไม่พบพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือร่างของบุตรชายตงผิงปั๋วพ่ะย่ะค่ะ…”