ตอนที่คณะของคุณหนูจวินกลับมาถึงเขาจางชิงซานก็เย็นย่ำพลบค่ำแล้ว
หมู่บ้านภูเขากลางฤดูหนาวควันไฟประกอบอาหารขโมง วันนี้ทุกบ้านทุกเรือนล้วนได้แบ่งน้ำมันตะเกียง แม้เริ่มแรกไม่คุ้นชิน แต่แล้วหลิ่วเอ๋อร์ก็เดินในหมู่บ้านรอบหนึ่ง ตั้งคำถามว่าไม่จุดโคมใช่คิดละโมบน้ำมันโคมที่คุณหนูจวินของนางให้หรือไม่
น้ำมันโคมให้พวกเจ้าก็เพื่อให้พวกเจ้าจุดโคม พวกเจ้าไม่จุดอยากเหลือไว้ทำอะไร? นี่ก็ไม่ใช่ของพวกเจ้า เป็นของคุณหนูของข้า โลภมากอยากครอบครองข้าวของของคุณหนูข้าใช่หรือไม่?
แม้ตรรกะนี่ฟังดูแล้วเลอะเทอะอยู่บ้าง แต่คล้ายว่าจะถูกเหมือนกัน
ดังนั้นชาวบ้านที่เสียดายจุดโคมไม่ลงล้วนจุดโคมอย่างว่าง่าย พวกผู้หญิงถึงกับเริ่มฟุ่มเฟือยทำงานใต้แสงโคมอีกด้วย
เวลานี้แม้แสงสายัณห์เพิ่งทอดตัวลงมา ในบ้านของชาวบ้านก็จุดโคมสว่างแล้ว ยืนอยู่ไกลๆ ดูแล้วคลับคล้ายดวงดาราระยิบระยับ แลดูอบอุ่นและยังสงบเงียบ
“ลำบากแล้ว” ใต้ต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าหมู่บ้าน คุณหนูจวินอมยิ้มคำนับให้บุรุษสิบกว่าคนที่อารักขาตนเอง
เหล่าบุรุษรีบคำนับกลับเก้ๆ กังๆ มองคุณหนูจวินจากไป ตอนนี้ถึงกลับมาตามสบาย มีคนรับผิดชอบไล่ม้าไปคอกม้า
แม้ตอนแรกหลิ่วเอ๋อร์จะบอกว่าหนึ่งคนม้าหนึ่งตัว แต่ม้าที่ส่งมาไม่ได้แบ่งให้แก่ทุกคน ทว่ามีคนดูแลรักษาโดยเฉพาะ เวลาจะใช้ม้าก็มาขอรับไป
คนที่เหลือคุยเล่นพลางเดินไปทางด้านในหมู่บ้าน แล้วก็เห็นเซี่ยหย่งเดินเข้ามา
“วันนี้เป็นอย่างไร?” เขาพลันเอ่ยถาม
บุรุษคนหนึ่งสีหน้าเริงร่าทันที
“วันนี้ไม่เลวจริงๆ พบโจรยี่สิบกว่าคน” เขาเอ่ย
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ยังคิดว่าจะเดินทางเสียเปล่าเที่ยวหนึ่งแล้วเลย” บุรุษอีกคนหนึ่งก็เอ่ยอย่างดีอกดีใจเช่นกัน “นี่ไม่ได้พบนานนักแล้ว”
พลบค่ำสีหน้าของเซี่ยหย่งดูไปแล้วมืดทะมึน
ชาวบ้านคนหนึ่งยื่นมือดึงบุรุษสองคนที่กำลังวาดมือวาดไม้สีหน้ากระตือรือร้นจะเล่าต่อ
บุรุษสองคนกระอักกระอ่วนหยุดพูด
สถานการณ์เงียบอย่างประหลาดอยู่บ้าง
“หัวหน้าหมู่บ้าน พวกเรา…” บุรุษคนหนึ่งทำใจกล้าจะอธิบาย
เซี่ยหย่งกลับยกมือห้ามเขา
“สมควรแล้ว ในเมื่อกินของผู้อื่นก็ต้องทำงานให้ผู้อื่น” เขาเอ่ย “กลับไปเถอะ”
เหล่าบุรุษตอนนี้ถึงโล่งออก ดีอกดีใจเดินผ่านเซี่ยหย่งจากไป
เซี่ยหย่งยืนหยุดเท้ามองดูนอกหมู่บ้าน ลังเลครู่หนึ่งจึงเดินไปทางเรือนของคุณหนูจวิน เรือนของคุณหนูจวินโคมไฟสว่างไสวยิ่งกว่า เสียงคุยเล่นของพวกเหลยจงเหลียนดังมาจากเรือนข้างๆ น่าจะเป็นหลิ่วเอ๋อร์กับแม่ครัวไปส่งอาหารให้พวกเขา
คุณหนูจวินฝั่งนี้กลับแลดูเงียบสงบอยู่บ้าง
เซี่ยหย่งครุ่นคิดคำพูดครู่หนึ่งกำลังจะย่ำเท้ากระแอมเบาสักที
“ด้านนอกสนุกไหม?”
ในห้องเสียงสตรีคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา
เซี่ยหย่งพลันหยุดเท้า
ฮั่นชิง?
สีหน้าของเขาประหลาดใจอยู่บ้าง ฮั่นชิงนานปีปานนี้แทบจะไม่เคยลงจากเขา นับประสาอะไรกับเข้าไปในบ้านของผู้อื่น
ฮั่นชิงยังคงเป็นฝ่ายเอ่ยถามถึงข้างนอกด้วย
เซี่ยหย่งเงียบงันครู่หนึ่งก็หมุนตัวเดินออกไปแล้ว
คุณหนูจวินในห้องไม่รู้ว่าเซี่ยหย่งรีรออยู่หน้าประตูแล้วจากไป นางสยายเส้นผมที่เพิ่งสระเสร็จ มองดูจ้าวฮั่นชิงที่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะจัดการกับพู่กันหมึกกระดาษและแท่นฝนอย่างใคร่รู้
“ช่วยข้าอบผมหน่อย” นางเอ่ยเรียก
จ้าวฮั่นชิงขานอื้อ จากนั้นวางพู่กันในมือลงเดินเข้ามาขยับช่วยคุณหนูจวินรมเส้นผมเหนืออ่างไฟอย่างคุ้นเคย
“เพิ่มกิ่งไป๋กับดอกไม้แห้งกลิ่นหอมยิ่ง” นางยังเอ่ยอีก
คนร่ำรวยถึงคุ้นชินกับการทำเช่นนี้ คนทั่วๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นี่ของพวกเขาที่กระทั่งข้าวก็ยังกินไม่อิ่ม ใครยังสนใจอบเส้นผมให้แห้งอย่างไรให้ดียิ่งขึ้น
นางกับอาจารย์ตอนระหกระเหินอยู่ข้างนอกก็เพียงกลางวันสระผมตากแดดให้แห้ง มีแต่ยามกลับไปในวังถึงมีความคิดเล็กน้อยวิจิตรประณีตนานาชนิด
คุณหนูจวินมองนางทีหนึ่ง
จ้าวฮั่นชิงยังเขียนตัวอักษรได้สวยอีกด้วย แตกต่างจากตัวอักษรของอาจารย์อย่างสิ้นเชิง น่าจะเป็นเซียวจือสอนให้
แม้นางเติบโตมากับป่าเขาไม่ติดต่อคนข้างนอก ทั้งยังเชี่ยวชาญการขึ้นเขาปีนต้นไม้ยิงธนูล่าสัตว์ แต่กลับไม่โง่เขลาหยาบกระด้าง ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวล้วนแอบเผยกิริยาอันดีงาม
เซียวจือ
นางเอ่ยชื่อนี้ในหัว
มีตระกูลใหญ่ตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลไหนแซ่เซียว…เซียว? แดนเหนือ…
เซียว!
คุณหนูจวินพลันลุกขึ้นยืน เส้นผมถูกดึงเจ็บวูบ จ้าวฮั่นชิงก็ร้องตกใจเช่นกัน
“ข้าไม่ทันระวัง”
พวกนางเอ่ยพร้อมกัน ต่างขอโทษกัน พูดจบก็สบตากันทีหนึ่งแล้วหัวเราะกันทั้งคู่
“เป็นข้าคิดอะไรจนเหม่อลอย” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยพลางลูบเส้นผม “เจ้าไปดูหนังสือแพทย์ที่ข้าเขียนเถอะ ข้าทำเอง”
จ้าวฮั่นชิงขานอืมไม่เกรงใจอีกกลับไปหน้าโต๊ะอีกครั้ง
ยามกลางวันคุณหนูจวินจะพานางไปรู้จักสมุนไพร ตกค่ำยังเรียกให้นางมาอ่านหนังสือแพทย์
หนังสือแพทย์นี่ก็คือหนังสือที่คุณหนูจวินบันทึกเรียบเรียงสิ่งที่เรียนรู้จากอาจารย์ รอยามเสร็จสมบูรณ์ นางจะเขียนชื่อจ้าวจื้ออี้ แน่นอนยังต้องเติมชื่ออื่นอีกชื่อ อาจารย์ชิงซาน
แต่ตอนนี้คุณหนูจวินไม่มีกะจิตกะใจไปคิดถึงอาจารย์
เซียวรึ
หากพูดถึงแซ่เซียวที่มีชื่อเสียงที่สุดของทางเหนือ นั่นย่อมเป็นราชวงศ์ของแคว้นฉีที่ถูกชาวจินทำลาย
แคว้นฉีก็เคยเรืองอำนาจอย่างยิ่งในอดีต เยี่ยนอวิ๋นสิบหกเมืองตอนแรกก็อยู่ในมือของพวกเขา ชาวจินก็เป็นแค่ชนเผ่าใต้ปกครองเผ่าหนึ่งของพวกเขา
แน่นอนนั่นเป็นเรื่องเนิ่นนานก่อนหน้านี้ ยี่สิบกว่าปีก่อนหน้าก่อนชาวจินโจมตีเมืองหลวงต้าโจวลักพาตัวฮ่องเต้ แคว้นฉีก็ถูกชาวจินทำลายแคว้นไปก่อนแล้ว
น่าจะไม่ใช่กระมัง?
คุณหนูจวินมองจ้าวฮั่นชิงที่ตั้งใจอ่านหนังสือด้วยสีหน้าปั้นยาก
และบนเขาเวลานี้ หยางจิ่งกับเซี่ยงหย่งก็กำลังยืนอยู่นอกประตูบ้านของเซียวจือด้วยสีหน้าปั้นยากเช่นกัน
ในเรือนในห้องล้วนจุดโคมสว่าง ในห้องจุดเตาถ่านแต่หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งไม่มีความคิดจะเข้าห้อง เซียวจือที่นั่งอยู่ด้านในประตูก็ไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม
“นางบอกว่าให้คนอารักขา ที่จริงคือพาคนเหล่านี้ค้นหาโจรผู้ร้ายไปทั่ว” เซี่ยหย่งเอ่ย สีหน้าไม่สบายใจอยู่บ้าง “หลายวันนี้ฆ่าโจรผู้ร้ายในเขตเมืองชิ่งหยวนจนเกลี้ยงแล้ว ที่เหลืออยู่ก็ล้วนกลัวหนีไปแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มขมขื่นอีก
“ข้าว่าครั้งหน้าไม่แน่นางอาจไปสถานที่นอกจากเมืองชิ่งหยวนแล้ว”
“นางให้ของกินเครื่องดื่ม จ้างวานคนของพวกเราอารักขา ทุกคนออกไปกับนางก็ไม่สะดวกไม่เชื่อฟังคำสั่งของนาง” หยางจิ่งเอ่ย
เซียวจือยิ้มๆ
“กวาดล้างโจรหรือ” นางเอ่ย “นางเป็นหมอจิตใจเมตตาจริงๆ”
เอ่ยถึงตรงนี้พลันหยุดลง
“เขาคนแบบนั้น สอนลูกศิษย์คนนี้ออกมาได้อย่างไร”
เขาที่พูดคือใคร หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งก็รู้ หยางจิ่งไม่มีปฏิกิริยาอะไร เซี่ยหย่งอยากพูดก็หยุดไป
“พี่ใหญ่ ที่จริงก็จิตใจเมตตา” เขาอดไม่ได้เอ่ยขึ้น
“ในเมื่อนางอยากทำเรื่องเหล่านี้ ที่สำคัญคือนางก็ให้ค่าจ้างมากมาย” เซียวจือเอ่ย เลี่ยงประเด็นของเซี่ยหย่ง “มือหนึ่งจ่ายเงินมือหนึ่งรับของ สองฝ่ายไม่ติดค้าง ต่างฝ่ายได้สิ่งที่ต้องการ ก็ดีนี่”
นั่นก็คือเห็นด้วยแล้ว
หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งขานรับ
หลังร่างเสียงฝีเท้าดังมาพร้อมกับเสียงสตรีฮัมเพลง
เพลงที่ฮัมนี่หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งไม่ได้แปลกหู นั่นเป็นเพลงที่พวกเขามักร้องเป็นประจำเช่นกัน แต่ได้ยินจ้าวฮั่นชิงฮัมเพลงกลับเป็นครั้งแรก
ทั้งสามคนอดไม่ได้สบตากันทีหนึ่งประหลาดใจยิ่งนัก
“ท่านแม่ ท่านอาหยาง ท่านอาเซี่ย พวกท่านอยู่กันหมดเลย” จ้างฮั่นชิงเดินเข้ามา เห็นพวกเขาก็ยิ้มโบกมือ
ในมือนางถือผ้าปิดหน้าไว้
กระทั่งหน้าก็ไม่ปิดบังแล้ว?
“กลางคืนนี่นา คงไม่ทำคนกลัว” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย สองสามก้าวก็ก้าวเข้าไปในห้อง
ที่จริงสิ่งที่นางกลัวตลอดมาไม่ใช่ทำให้ผู้อื่นกลัว แต่เป็นนางหวาดกลัวตนเอง ไม่กล้ามองหน้าตนเอง เผชิญหน้ากับใบหน้าของตนเอง ตอนนี้นางไม่กลัวแล้ว
เซียวจือหันหน้ามองลูกสาวที่เข้าไปแล้วแย้มยิ้ม
หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งก็เผยรอยยิ้มบ้างจกานั้นคำนับจะขอตัวไป จ้าวฮั่นชิงพลันคิดอะไรได้ยื่นศีรษะออกมาจากด้านใน
“ใช่แล้วท่านแม่ ท่านอาทั้งสอง ตอนพี่สาวจิ่วหลิงไปข้างนอกอีกครั้ง ข้าจะตามไปด้วย” นางเอ่ยสีหน้าขัดเขินกระมิดกระเมี้ยนอยู่บ้าง พูดจบก็รีบอธิบายเสริม “จะไปในเมืองซื้อยาบางอย่าง บนเขาของพวกเราไม่มี ถือโอกาสให้ข้าไปรู้จักสมุนไพรมากกว่าเดิมที่ร้านยาด้วย”
ไม่เพียงกล้าลงเขา กล้าถอดผ้าปิดหน้า ยังกล้าออกจากเขาจางชิงซานแล้ว?
ทั้งสามคนสีหน้ายิ่งประหลาดใจ เซียวจือยิ้มแล้ว
“ข้าทุ่มเทความคิดสิบกว่าปีกลับสู้เดือนกว่าสั้นๆ ของนางไม่ได้” นางยิ้มเอ่ย “นี่ทำให้คนรู้สึกพ่ายแพ้อยู่บ้างจริงๆ”